มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 75 ดอกบัวหายไปในความมืด
ในป่าพลันมีเสียงวิหคร้อง กังวานไพเราะ เสนาะหูยิ่งนัก
ในเสียงร้องจิ๊บๆ ดอกบัวสีขาวเอนไหวตามลม เกิดเป็นควันสีขาวสายหนึ่ง ภายในควันมีคนผู้หนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา
นั่นคือหญิงสาวหน้าตางดงามที่สวมชุดเบาบางผู้หนึ่ง นางเริงระบำตามการสั่นไหวของกลีบดอกบัว ท่าทางอ่อนช้อยงดงาม ร่างกายอ้อนแอ้นอรชร ดวงตาแวววาว ทำให้ใจคนรู้สึกหวั่นไหว
เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ ดวงตาของเทียนจิ้นเหรินพลันเหลือกขึ้นไป ในดวงตาสีเทาขาวเผยให้เห็นความรู้สึกหวาดกลัวเป็นยิ่งนัก
ทุกคนต่างรู้ ฉานจึคือผู้ที่มีสภาวะลึกล้ำที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน
บางทีเขาอาจจะกล้าเปรียบกับฉานจึในด้านการทำนายความลับสวรรค์ แต่ในด้านสภาวะและพลัง เขารู้ว่าตนเองมิอาจเทียบอีกฝ่ายได้
แต่ฉานจึมิได้ลงมือด้วยตนเอง เพียงแต่ทิ้งฌานเอาไว้
ตอนนี้ดูเหมือนว่าฌานที่สามารถโจมตีได้ด้วยตัวเองอันนี้จะมิได้ร้ายกาจอย่างที่คิดเอาไว้
เทียนจิ้นเหรินสงบสติอารมณ์ลง เขาหยิบเอาเหรียญทองแดงที่ใช้ในราชวงศ์ก่อนหน้านี้ออกมาสิบกว่าเหรียญ ก่อนจะโปรยไปข้างหน้า
เหรียญทองแดงเหล่านั้นตกลงไปบนพื้นโคลน บางเหรียญปักตั้งลงไปบนโคลน บางเหรียญนอนหงายอยู่บนโคลน บางเหรียญกลิ้งออกไปรอบๆ
เทียนจิ้นเหรินสืบท้าวก้าวไปข้างหน้าตามเหรียญทองแดงเหล่านั้น มิได้ถูกหญิงสาวที่เริงระบำอยู่บนดอกบัวเหล่านั้นล่อลวงเอาไว้ กระทั่งพิจารณาร่างกายตรงหน้าให้เป็นโครงกระดูก[1]ก็มิได้กระทำ
ขณะที่เขาย่างก้าว เสื้อผ้าสะบัดจนเกิดเป็นลมแผ่วเบา ค่อยๆ มีลำแสงแผ่กระจายออกมาจากในร่างกาย ให้ความรู้สึกองอาจห้าวหาญ
เสียงวิหคภายในป่าพลันแปรเปลี่ยนเป็นดังกังวานขึ้น ดอกบัวสีขาวสั่นไหวเร็วขึ้น การเคลื่อนไหวของหญิงสาวที่เต้นรำอยู่บนดอกบัวยิ่งดูเย้ายวน เสื้อผ้าค่อยๆ จางหายไป
เทียนจิ้นเหรินเลิกคิ้วขึ้นมา
ไอพลังสิบกว่าสายพวยพุ่งขึ้นมาจากรูสี่เหลี่ยมของเหรียญทองแดงเหล่านั้น ไอพลังเหล่านั้นมีกลิ่นของสุราบริสุทธิ์ แล้วยังมีกลิ่นหอมหวานของท้อและพลัม หอมหวนยิ่งนัก
เมื่อเหล่าหญิงสาวที่เต้นระดับอยู่บนดอกบัวได้กลิ่นไอพลังนี้ พวกนางพลันสูญเสียการควบคุมตัวเอง ฝีเท้าสะเปะสะปะ สายตาเหม่อลอย เดินมายังริมดอกบัวโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“อาา! อาา!”
เสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา เหล่าหญิงสาวทยอยร่วงตกลงมาจากบนดอกบัว ตกลงไปบนพื้นโคลน จากนั้นยังคงร่วงตกลงไปต่อ ไม่รู้ว่าจะตกลงไปในน้ำพุเหลือง[2]หรือว่าหุบเหวลึก
เทียนจิ้นเหรินมิได้แลมอง ยังคงเดินหน้าออกไปยังด้านนอกป่า
ทันใดนั้นเอง มีสายลมรุนแรงกระโชกขึ้นมาจากด้านนอกป่า ม้วนเอาต้นหญ้าและก้อนหินที่ถูกฝนตกใส่จนเปียกขึ้นมา ก่อนจะกระแทกไปบนกิ่งไม้ ส่งเสียงดังผัวะๆ
ดอกบัวสีขาวที่งอกออกมาจากรอยเท้าของฉานจึโบกสะบัดอย่างรุนแรง ราวกับอีกประเดี๋ยวมักจะหักลง
หลังจากนั้น ก้านบัวยังไม่หัก แรงลมพลันหายไป จู่ๆ ภายในป่าก็เงียบสงัดขึ้นมา
รูปปั้นของเทพยดาสิบกว่าองค์ปรากฏขึ้นมาบนดอกบัว
เดิมดอกบัวสีขาวเหล่านั้นมีขนาดเล็กมาก เช่นนั้นรูปปั้นของเทพที่อยู่บนดอกบัวก็ควรจะเล็กยิ่งกว่า แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด มันกลับให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก จนทำให้เกิดความรู้สึกยำเกรงขึ้นมาในใจ
รูปปั้นเหล่านั้นมีพระพุทธเจ้า มีพระโพธิสัตว์ มีมังกร มีช้าง
ร่างจริงของทวยเทพ สูงใหญ่จนแตะขอบฟ้า
ดวงตาของเทียนจิ้นเหรินหดเล็กน้อง แขนเสื้อโบกสะบัด ปลดปล่อยไอพลังสองสายที่เย็นยะเยือกและลี้ลับมหัศจรรย์
ไอพลังที่แผ่กระจายออกมาจากในเหรียญทองแดงพลันจับตัวกลายเป็นกิ่งไม้ บนกิ่งไม้มีดอกท้อสีชมพูขาวผลิบานอยู่สองสามดอก
กิ่งท้องอกยาวออกไปบนรูปปั้นเทพที่อยู่บนดอกบัว
คล้ายกับเจ้าของบ้านที่ชะโงกหน้าออกไปเพื่อไล่บัณฑิตยากจนที่มาแอบดูทิวทัศน์ในบ้านของตน
ภายใต้เสียงผัวะๆ กิ่งท้อฟาดลงไปแล้วเด้งกลับ กลีบดอกบัวกระจัดกระจาย แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำอะไรรูปปั้นเหล่านั้นได้แม้เพียงนิดเดียว
เทียนจิ้นเหรินมิได้ลนลาน เขาครุ่นคิดอย่างเงียบๆ “ช่างหัวเทพเจ้าสิ ท้ายที่สุดแล้วก็อยู่ในโลกนี้เหมือนกันนั่นแหละ ข้าไม่มานั่งพูดเรื่องสัจธรรมกับเจ้าหรอก เชิญเจ้าดับสิ้นไปพร้อมกับโลกนี้ซะ”
จากการสัมผัสดูสองสามรอบ เขาก็ได้ทำการคาดการณ์ออกมาแล้วว่าฌานที่ฉานจึทิ้งเอาไว้นี้มีความแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่
เขาตัดสินใจว่าจะไม่ออมมืออีก หากแต่จะทำลายข่ายพลังปิดกั้นที่อีกฝ่ายตั้งขึ้นมา
เสียงหวีดหวิวดังขึ้น พลังจิตที่เขาบ่มเพาะอยู่ในสำนักปัญญาชนไป๋ลู่มาเป็นเวลาหลายปีเป็นเหมือนดั่งมหานที คำรามก้องพุ่งออกไป ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
ขอบของดอกบัวค่อยๆ แห้งเหี่ยวด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นร่วงโรย
รูปปั้นเทพยดาสิ่งศักดิ์ิสิทธิ์เหล่านั้นค่อยๆ ถอยไปข้างหลัง คล้ายกำลังจะหายไปในความมืด
ปัญหาคือ ความมืดมาจากไหน?
มหานทีหยุดค้างอยู่บนท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง จากนั้นค่อยๆ เลือนลางลงราวภาพลวงตา
มิใช่ฌานที่ฉานจึทิ้งเอาไว้ทำการโจมตีกลับ
หากแต่เป็นตัวเทียนจิ้นเหรินที่หยุดการโจมตีเอง
เขาดึงสองมือกลับมาอย่างช้าๆ
สีหน้าขาวซีด
ชั่วพริบที่ความคิดเกิดดับ เขาพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ดอกบัวสีขาว หญิงสาวที่เต้นระบำ และพระโพธิสัตว์เหล่านั้น…ตนเองมองเห็นได้อย่างไร?
เหตุใด…ตนเองถึงมองเห็นได้?
บนโลกมีเรื่องราวมากมายที่ไม่จำเป็นต้องคิดจนเข้าใจ แค่เพียงคิดถึงมันได้ก็พอ
อย่างเช่นการเกิดและการตาย
เทียนจิ้นเหรินคิดขึ้นมาได้ว่าเหตุใดตนเองจึงมองเห็น แค่นี้ก็พอแล้ว
ดังนั้น เขาจึงมองไม่เห็นอีก
ดอกบัวดอกหนึ่งหายไปในความมืด
นกตัวหนึ่งกลับรัง
พระพุทธรูปเก่าแก่องค์หนึ่งปลีกตัวอยู่อย่างสันโดษ
ทุกสิ่งบนโลก ค่อยๆ สูญเสียความสามารถและแสงสว่างทั้งหมดไป
……
……
ทุกสิ่งล้วนปรุงแต่งขึ้นมา
ดอกบัวขาว หญิงสาวเต้นรำ เทพยดา นกร้อง ต้นท้อและต้นพลัมในฤดูใบไม้ผลิล้วนแต่เป็นสิ่งที่ตนเองคิดขึ้นมา
เทียนจิ้นเหรินคิดถึงคำพูดที่ฉานจึกล่าวก่อนจากไปประโยคนั้น
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจ
รูปปั้นเทพยดาหายไปหมดแล้ว มีดอกบัวอะไรที่ไหนกัน?
ดอกท้อก็ไม่มี ที่มีล้วนแต่เป็นโลหิต หยดเป็นดวงๆ กระจายอยู่บนตัวเขา
เทียนจิ้นเหรินทรุดนั่งลงไปกับพื้น ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทั่วทั้งร่างชโลมไปด้วยโลหิต ดูน่าอนาถยิ่งนัก
เด็กรับใช้เองก็มิได้จากไปไหน ที่แท้ยืนอยู่ข้างกายเขามาโดยตลอด สีหน้าตระหนกตกใจพลางตะโกนขึ้นมา “ท่านอาจารย์! ท่านเป็นอะไรขอรับ!”
โลหิตสองสายไหลออกมาจากดวงตาของเทียนจิ้นเหริน สีหน้าเขายิ่งดูขาวซีด
เสียงของเขาแผ่วเบาจนถึงที่สุด “ไปกันเถอะ”
แค่มีชีวิตรอดออกไปได้ ก็ถือว่าฉานจึเมตตาแล้ว
แต่แน่นอน หากก่อนหน้านี้เขามิได้สติขึ้นมา ยังคงดึงดันโจมตีใส่รูปปั้นเทพยดาที่กระจัดกระจายเต็มท้องฟ้า เช่นนั้นการโจมตีเหล่านั้นก็จะตกลงมาบนใจแห่งเต๋าของตัวเอง
ต่อให้เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ต้องกลายเป็นคนปัญญาอ่อนอย่างแน่นอน
เด็กรับใช้มิกล้ากล่าวกระไร พยุงเขาออกไปนอกวัดจิ้งเจวี๋ย
เทียนจิ้นเหรินมิได้กลับไปยังสวนดอกเหมยเก่า หากแต่เดินทางออกไปจากเมืองเจาเกอ
สภาวะการบำเพ็ญเพียรของเขาเสียหายอย่างหนัก ภายในสิบปีไม่สามารถทำนายความลับสวรรค์ได้อีก
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือจิตใจของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ไม่รู้เมื่อไรจึงจะฟื้นคืนเป็นปกติ
สายน้ำและเสียงอ่านหนังสือในสำนักปัญญาชนไป๋ลู่จะช่วยเขาสงบจิตใจได้หรือเปล่า?
เมื่อเทพกระบี่ที่อยู่ริมทะเลตะวันตกผู้นั้นทราบเรื่องนี้ เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
……
……
ข่าวเทียนจิ้นเหรินเดินทางออกไปจากเมืองเจาเกอสร้างความตกตะลึงให้แก่หลายๆ คน ทำให้เกิดการคาดเดาต่างๆ มากมาย
บางคนบอกว่านี่เป็นวิถีของยอดคน เสร็จเรื่องราวแล้วจากไป ปิดบังชื่อแซ่และตัวตน มิยินดีรั้งรออยู่ในโลกปุถุชน
มีคนบอกว่าเขาพยายามอย่างหนักเพื่ออนาคตของอาณาจักร ศึกษาหนทางสู่สวรรค์ ด้วยเหตุนี้จึงถูกหนทางสู่สวรรค์กลืนกินกลับ อายุขัยและสภาวะเสียหายอย่างหนัก จำเป้นต้องพักรักษาตัว
จิ๋งจิ่วย่อมต้องรู้ว่าเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูสีหน้าของเขา คล้ายจะเดาความจริงของเรื่องราวออก จึงรู้สึกตกใจ แล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สมควร เพียงแต่นางรู้สึกสงสัยว่าเขาทำได้อย่างไร
จิ๋งจิ่วมิได้อธิบาย เพียงแต่ว่าเบื้องหลังข่าวลือสองข่าวนี้น่าจะมีคนบางคนในราชสำนักและคนของสำนักกระบี่ซีไห่ช่วยกันโหมกระพือขึ้นมา จึงรู้สึกว่ายุ่งยากวุ่นวาย
ที่ว่ายุ่งยากมิได้หมายถึงสถานการณ์ยากแก้ไข หากแต่เป็นความหมายตามตัวหนังสือ
เขารู้สึกว่าการทำเรื่องเหล่านี้ คิดเรื่องเหล่านี้ล้วนแต่ยุ่งยาก
เจ้าล่าเยวี่ยเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
จากนั้นพวกเขาพลันคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาพร้อมกัน
ต่อไปถ้าจะออกมาเที่ยวนอกชิงซาน ควรจะพากู้ชิงมาด้วย
ตอนแรกเจ้าล่าเยวี่ยมิได้ทราบเรื่องนี้ ที่นางมาหาจิ๋งจิ่วนั้นเป็นเพราะข่าวอีกข่าวหนึ่ง
“เจ้ารู้เรื่องที่ฝ่าบาทจะเสด็จไปไหม?”
“ไปไหน?”
“ดูหมากล้อม”
………………………………………………………………………..
[1]พิจารณาร่างกายตรงหน้าให้เป็นโครงกระดูก คือการเจริญวิปัสสนาอย่างหนึ่งเพื่อดับกิเลสภายในใจ
[2]น้ำพุเหลือง คือ เส้นทางสายหนึ่งที่วิญญาณของคนที่ตายไปแล้วต้องเดินทางผ่านเพื่อไปรายงานตัวที่ปรโลก