มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 79 ไฟกองนั้นบนกระดานหมาก
“กู่หยวนหยวน บิดาของเขาเป็นแม่ทัพของกองทัพเจิงเป่ย หลายปีก่อนไม่รู้เพราะเหตุใดถึงถูกสำนักเฟิงเตาแย่งตัวไป ในตอนนั้นเกิดความวุ่นวายเป็นอย่างมาก”
ศิษย์พี่ชุ่ยกล่าวเสียงเบาๆ “มีคนบอกว่าท่านเทพดาบแห่งสำนักเฟิงเตาชื่นชมความสามารถทางหมากล้อมของเขา คิดอยากให้เขาเป็นตัวแทนสำนักเฟิงเตาลงประลองในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย เพื่อให้มีหน้ามีตาบ้าง”
ในที่สุดก็ได้ยินชื่อของสำนักเฟิงเตาในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยค่อนข้างแปลกใจ และรู้สึกค่อนข้างสนใจ
เด็กหนุ่มที่ชื่อกู่หยวนหยวนสีหน้ายโสโอหัง เทียบกับทูตที่ทำตัวเรียบง่ายเก็บซ่อนความสามารถที่เคยไปร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนของชิงซานในอดีตแล้ว เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อดูแบบนี้แล้ว เชวี่ยเหนียงแห่งสำนักจิ้งจง ซั่งจิ้วโหลวแห่งเรือนอี้เหมา กู่หยวนหยวนแห่งสำนักเฟิงเตาก็คือตัวเก็งในศึกประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยปีนี้
หลายคนมองว่า ระดับทางวิถีหมากล้อมของพวกเขาเหนือกว่าคนที่ถูกยกย่องว่าเป็นยอดฝีมือของอาณาจักรมาก มีความเป็นไปได้ที่จะคุกคามถึงถงเหยียน
ผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยย่อมไม่อยากเจอกับผู้แข็งแกร่งทางวิถีหมากล้อมเช่นนี้ตั้งแต่เริ่ม ดังนั้นบริเวณป่าตรงนี้จึงดูวังเวงแบบนี้
คำพูดของบัณฑิตแห่งเรือนอี้เหมาและกู่หยวนหยวนทำให้เซ่อเซ่อโมโหอย่างมาก นางกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “คนพวกนี้เป็นอะไรกัน?”
เจ้าล่าเยวี่ยนึกถึงถงเหยียนที่อยู่นอกสวนดอกเหมยเก่าในวันนั้น พลางกล่าวว่า “หัวสมองของคนที่ชอบเล่นหมากล้อมไม่ค่อยจะเหมือนคนอื่นน่ะ”
เจตนาเดิมของนางหมายความว่าคนที่ชื่นชอบเล่นหมากล้อมนั้นจะให้ความสำคัญกับเรื่องแพ้ชนะ วิธีคิดไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญพรตธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อคนอื่นฟังแล้วอาจจะทำให้เข้าใจผิดเป็นความหมายอื่นได้
ดวงตาของเซ่อเซ่อเป็นประกายขึ้นมา คิดว่าสมแล้วที่พี่สาวคนนี้เป็นเจ้าแห่งยอดเขาของชิงซาน คำพูดนี้กล่าวได้แข็งกร้าวดุดันเป็นยิ่งนัก
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ซั่งจิ้วโหลวและกู่หยวนหยวน และยังมีผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ไกลออกไปต่างรู้สึกโมโห กระทั่งเชวี่ยเหนียงแห่งสำนักจิ้งจงก็ยังหัวเราะเจื่อนๆ ออกมา แต่จะยังอย่างไรได้?
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร แล้วก็มิได้รั้งอยู่ในป่า หากแต่เดินต่อไปข้างหน้า
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ผู้บำเพ็ญพรตบางคนส่ายศีรษะอย่างผิดหวัง สีหน้ายิ้มเยาะบนใบหน้าของกู่หยวนหยวนยิ่งชัดเจนมากขึ้น
ในแถบหนึ่งของภูเขาเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียว แต่มิได้แน่นขนัดอะไรนัก สามารถบังแดดได้ แล้วก็พอจะมีแสงแดดลอดลงมาได้ ลำธารเล็กๆ สายหนึ่งไหลผ่านหมู่ไม้ ริมธารมีต้นหญ้าเขียวขจี ทิวทัศน์งดงามเป็นอย่างมาก
จิ๋งจิ่วหยุดฝีเท้า กล่าวว่า “ลำธารใสดี ตรงนี้แล้วกัน”
เซ่อเซ่อมองไปรอบๆ พบว่าบริเวณใกลเคียงไม่มีศาลา อดรู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาไม่ได้ ในใจครุ่นคิดว่านี่มิใช่ที่ที่ให้เจ้ามาเที่ยวเล่นนะ เจ้าคิดจะไปศาลาไหนกันแน่?
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูพื้นหญ้าที่อยู่ริมธาร ในใจครุ่นคิดหรือว่าเตรียมจะมานอนอาบแดดจริงๆ?
“ขอบคุณนะ”
จิ๋งจิ่วกล่าวกับศิษย์พี่ชุ่ย ถึงแม้เขาจะมิได้ตั้งใจฟัง แล้วก็มิได้สนใจยอดฝีมือที่เข้าร่วมประลองหมากล้อมเหล่านั้นก็ตาม
ศิษย์พี่ชุ่ยยิ้มเล็กน้อย
เซ่อเซ่อกล่าวถามอย่างไม่ค่อยเชื่อว่า “เจ้าจำได้หมดแล้ว?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “จำได้หมดแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ เชี่ยวชาญในการหลอกสาวน้อยจริงๆ ด้วย
“ยังมีคนที่ร้ายกาจอีกคนหนึ่ง”
เซ่อเซ่อกล่าวอย่างจริงจังว่า “ตอนนี้เขายังไม่มา อีกประเดี๋ยวถ้าเจอแล้วข้าจะบอกเจ้า”
เวลาค่อยๆ เดินหน้าไป คนบนภูเขาก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะไม่มีใครพูดอะไรเสียงดัง แต่เสียงก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นวุ่นวายขึ้น
มีหลายคนสังเกตเห็นว่าสำนักชิงซานยังไม่ปรากฏตัวบนภูเขา
……
……
ภายในเรือนซีซาน
เยาซงซานกล่าวอย่างลังเล “อาจารย์อา ถึงแม้ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยที่ผ่านมาพวกเราแทบจะไม่ได้ลงแข่งในรายการศิลปะทั้งสี่ แต่วันนี้อาจารย์อาเล็กลงประลองมิใช่หรือขอรับ?”
เหล่าศิษย์ชิงซานต่างยืนอยู่ในเรือนพัก รอหนานว่างออกคำสั่ง
หนานว่างกล่าวว่า “ข้าไม่รู้เรื่องหมากล้อม แล้วก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้ต่อให้มีคนไปช่วยเยอะแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ พวกเจ้าไปก็หาได้มีประโยชน์อะไรไป รังแต่จะไปรบกวนสมาธิของเขาเปล่าๆ”
เหล่าศิษย์ชิงซานได้ฟังเช่นนี้จึงรู้สึกจนปัญญา ในใจครุ่นคิดถึงแม้นจะเป็นเช่นนั้น แต่ไปดูหน่อยก็ได้นี่นา
เพราะการแพ้ชนะในการประลองหมากล้อมวันนี้มิใช่เรื่องของจิ๋งจิ่วเพียงคนเดียว แล้วก็มิได้เป็นเรื่องของยอดเขาเสินม่อเท่านั้น หากแต่เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของสำนักชิงซานทั้งสำนัก
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ อีกประเดี๋ยวไว้จิ๋งจิ่วผ่านเข้ารอบสุดท้ายแล้ว พวกเราค่อยไปดูก็ยังมิสาย”
หนานว่างเดินไปบนบันไดหิน มองไปยังหมู่เขาที่อยู่ไกลออกไป กล่าวว่า “หากเขาแพ้ตั้งแต่เริ่ม…เช่นนั้นพวกเราจะไปทำไมให้ขายหน้าคนอื่น?”
เหล่าศิษย์ยิ่งจนปัญญา ในใจครุ่นคิดหรือว่าอาจารย์อาคิดว่าจิ๋งจิ่วจะสามารถเอาชนะยอดฝีมือทางวิถีหมากล้อมจำนวนมากขนาดนั้น แล้วเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าถงเหยียนในตอนสุดท้ายได้จริงๆ?
หนานว่างรู้ว่าเหล่าศิษย์กำลังคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้? ก่อนที่เขาจะเอาชนะกู้หาน และหักกระบี่ของกั้วหนานซาน หรือพวกเจ้าคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้?”
เหล่าศิษย์ได้ยินเช่นนี้จึงตกตะลึงเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าเป็นดั่งว่าจริงๆ ทันใดนั้นเกิดความรู้สึกเชื่อใจในตัวจิ๋งจิ่วขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
……
……
บนเขาฉีผานวุ่นวายขึ้นมาเล็กน้อย เสียงพูดคุยดังขึ้นมา สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังที่ที่หนึ่ง
เมื่อเห็นสาวน้อยที่อยู่บนทางขึ้นเขาผู้นั้น กู่หยวนหยวนไหนเลยยังจะวางท่าทีไม่สนใจเหมือนก่อนนี้ได้ สีหน้าเขาตื่นเต้นจนถึงขีดสุด พลางกล่าวงึมงำกับตนเองขึ้นมา
“ศิษย์น้องตงเอ๋อร์มาได้ยังไง? คงไม่ใช่ว่านางจะเข้ามาในศาลาด้วยหรอกนะ?”
ความตื่นเต้นของเขานั้นมาจากความคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะได้เข้าร่วมการประลองหมากล้อม แล้วก็มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากขึ้น ทั้งยังหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกเสียใจเพราะพ่ายแพ้ตนเอง
เด็กสาวคนนั้นคืออันดับหนึ่งในการประลองพิณของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย กั้วตงแห่งสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
จิ๋งจิ่วยืนมองสายน้ำอยู่ริมธาร ครั้นได้ยินชื่อนี้ปรากฏขึ้นมาในการพูดคุย เขาจึงหมุนตัวกลับไปมอง
ใบหน้ากั้วตงนั้นธรรมดาอย่างที่ร่ำลือกัน สายตาเองก็มิได้มีอะไรที่พิเศษ มีเพียงจมูกที่ดูโด่งที่ดึงดูดสายตาเท่านั้น
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เด็กสาวที่ธรรมดาผู้นี้กลับทำให้จิ๋งจิ่วมองดูอยู่เป็นเวลานาน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมองดูอย่างตั้งใจด้วย
เจ้าล่าเยวี่ยเองก็มองไป จากนั้นพลันคิดถึงเสียงพิณที่ได้ยินตอนที่อยู่ตรงเขาด้านหลังสวนดอกเหมยในวันนั้น
……
……
เขาฉีผานวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง เสียงพูดคุยยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม เพราะคนจากสำนักจงโจวมาแล้ว
สายลมพัดผ่านผ้าแพรสีขาว ทำให้ใบหน้างดงามที่อยู่ภายในนั้นยิ่งดูมีชีวิตชีวา เห็นๆ อยู่ว่ามิได้มีกลิ่นหอมใดๆ แต่หลายคนกลับคล้ายได้กลิ่นอย่างไรอย่างนั้น
ภายใต้การห้อมล้อมของศิษย์ร่วมสำนัก เด็กสาวผู้นั้นค่อยๆ ก้าวย่างอยู่บนทางเดินขึ้นเขา ทรวดทรงและท่าทางดูบอบบาง อ้อนแอ้นอรชรคล้ายหมอกควัน
เมื่อเห็นภาพนี้ เซ่อเซ่อพลันส่งเสียงเหอะออกมาเบาๆ มิได้กล่าวกระไร
นางคือบุตรสาวของเจ้าสำนักเสวียนหลิง ไป๋เจ่าเป็นบุตรสาวของเจ้าสำนักจงโจว หากทำให้คนเห็นความไม่พอใจของนาง ใครจะรู้บ้างว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
นางอายุยังน้อย แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
ลั่วไหวหนานยังคงไม่มา
สายหมอกขยับเล็กน้อย คนสองคนปรากฏกายขึ้น ถงเหยียนและเซี่ยงหว่านซูเดินขึ้นมาบนทางขึ้นเขาพร้อมกัน
ในฐานะที่เป็นจุดเด่นที่สุดของการประลองหมากล้อมครั้งนี้ เขาย่อมต้องมาถึงลานประลองเป็นคนสุดท้าย
เสียงคารวะดังขึ้นเป็นทอดๆ
การต้อนรับนั้นแตกต่างจากจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยก่อนหน้านี้ ครั้งนี้ไม่ว่าความสัมพันธ์กับสำนักจงโจวจะใกล้ชิดหรือห่างไกล ทุกคนล้วนแต่ทำการคารวะให้แก่ถงเหยียน
นี่มิใช่เป็นการแสดงความเคารพต่อสำนักจงโจว หากแต่เป็นการแสดงความเคารพต่อตัวเขา
ระดับวิถีหมากล้อมของถงเหยียนสูงส่งจนยากบรรยายได้ ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมายังไม่เคยพ่ายแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว หลายวันก่อนเอาชนะยอดฝีมือของเมืองเจาเกอได้ติดต่อกัน พิสูจน์สถานะที่ไร้คู่ต่อกรของตัวเองได้อีกครา แต่ถ้ามีเพียงเท่านี้ก็ว่าไปอย่าง ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขาใช้หมากล้อมนำพาตัวเองเข้าสู่ธรรมวิถี จากนั้นใช้ธรรมวิถีมาฟูมฟักหมากล้อม ยกระดับวิถีของหมากล้อมให้สูงขึ้นไปอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนด้วยตัวคนเดียว
อย่างเช่นเชวี่ยเหนียงแห่งสำนักจิ้งจง ซั่งจิ้วโหลวแห่งเรือนอี้เหมา กู่หยวนหยวนแห่งสำนักเฟิงเตา ผู้มีชื่อเสียงทางวิถีหมากล้อมที่มีอายุน้อยเหล่านี้ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลทางความคิดและรูปแบบการเล่นหมากล้อมของเขา ใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ระดับฝีมือทางวิถีหมากล้อมก็ก้าวข้ามยอดฝีมือของอาณาจักรและผู้อาวุโสในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตเหล่านั้นไปไกล เรียกได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยไหน ระดับฝีมือของพวกเขาก็ล้วนแต่สามารถบดขยี้ทุกคนได้ แต่เวลานี้ยอดฝีมืออย่างพวกเขากลับทำได้เพียงไล่ตามรอยเท้าของถงเหยียน
หากว่ากันตามวิถีหมากแล้ว ถงเหยียนนั้นเรียกได้ว่าเป็นเทพแห่งหมาก
ผู้บำเพ็ญพรตที่มายังภูเขาฉีผานในวันนี้ ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนที่ชื่นชอบหมากล้อมและคนที่รู้เรื่องหมากล้อม แล้วจะพวกเขาจะไม่แสดงความเคารพอย่างสูงสุดต่อคนแบบนี้ได้อย่างไร?
ถงเหยียนเดินขึ้นมาบนเขา
สายตานับไม่ถ้วนมองตาม
เขาเดินผ่านทะเลไผ่ ป่าสน ทุ่งดอกไม้ มาถึงพื้นที่โล่งบริเวณหน้าผา
ที่นี่มีศาลาอยู่สามหลัง ด้านหน้าศาลามีคนยืนอยู่สามคน
นอกจากถงเหยียนและอีกคนหนึ่งแล้ว อีกสามคนที่เหลือคือคนที่มีความสามารถทางวิถีหมากล้อมแข็งแกร่งที่สุดในโลก
……
……
“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
ซั่งจิ้วโหลววางม้วนหนังสือที่อยู่ในมือไปแต่แรกแล้ว สายตาที่มองดูถงเหยียนเต็มไปด้วยความรู้สึกเร่าร้อนอย่างที่ยากจะพบเห็นได้ในบรรดาลูกศิษย์ของเรือนอี้เหมา
ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยสองครั้งที่ผ่านมา ครั้งหนึ่งเขาผ่านไปถึงรอบสี่คนสุดท้าย อีกครั้งหนึ่งผ่านเข้าไปถึงรอบสิบหกคนสุดท้าย ทุกครั้งล้วนแต่พ่ายให้กับถงเหยียน
ถ้าจะถามว่าในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ใครอยากเอาชนะถงเหยียนมากที่สุด นอกจากคนผู้นั้นแล้วก็ต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน
ถงเหยียนหยุดฝีเท้า มองดูเขาแล้วถามว่า “เจ้ารอข้าอยู่?”
ซั่งจิ้วเหลวสูดหายใจลึก กล่าวว่า “ถูกต้อง ครั้งนี้ข้าจะต้องเอาชนะเจ้าให้ได้”
ถงเหยียนกล่าว “พวกการเขียนพู่กันหรือวาดภาพ ขอเพียงฝึกฝนให้หนักก็จะสามารถทำมันออกมาให้ดีที่สุดได้ ดังนั้นลูกศิษย์ของเรือนอี้เหมาอย่างพวกเจ้าจึงถนัดเรื่องเหล่านี้ แต่หมากล้อมมันต้องใช้พรสวรรค์ แล้วเจ้าจะเอาชนะข้าได้อย่างไร?”
…………………………………………………..