มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 83 รูปหมากที่ดูไม่เข้าใจ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ไป๋เจ่าได้มาถึงริมศาลา นางยืนอยู่ในวงล้อมของศิษย์ร่วมสำนักอย่างเงียบๆ
สายลมพัดผ่านผ้าคลุมหน้า เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูงดงามและบอบบางของนาง
สองคิ้วของนางขมวดเล็กน้อย คล้ายกำลังกังวลอะไรบางอย่าง
ศิษย์ของสำนักจงโจวคนอื่นมิได้กังวลว่าถงเหยียนจะแพ้การประลอง สีหน้าราบเรียบ มีเพียงเซี่ยงหว่านซูที่กำลังคำนวณสถานการณ์บนกระดานอย่างจริงจัง
กั้วตงยืนอยู่ด้านนอกกลุ่มคน อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกลุ่มของเจ้าล่าเยวี่ย ในตอนที่ทุกคนต่างมองไปที่ด้านในของศาลา นางกลับมองดูเจ้าล่าเยวี่ย
เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่านางกำลังมองดูตนเอง หากเป็นเวลาปกติ นางจะต้องมองตอบกลับไปเป็นแน่ แต่ในเวลานี้นางมองไปที่จิ๋งจิ่วเท่านั้น
เซ่อเซ่อดูแล้วรู้สึกเบื่อ นางยื่นปลาย่างที่อยู่ในมือไปตรงหน้าเจ้าล่าเยวี่ย พลางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ไม่ต้องรังเกียจ อร่อยจริงๆ นะ”
เจ้าล่าเยวี่ยส่ายศีรษะ ปกตินางไม่ค่อยกินอะไรเท่าไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ชิงซานหรือว่าข้างนอก
เมื่อเห็นภาพนี้ บนใบหน้าของกั้วตงเผยให้เห็นสีหน้าพึงพอใจ
เหอจานพลันตะโกนออกมา “ทำไมถึงเดินแบบนี้? ไม่มีเหตุผลเลย”
ผู้คนที่อยู่รอบๆ พากันมองไปในศาลา ในใจครุ่นคิดว่าเป็นใครที่เดินหมากพลาด?
ภายในศาลา จิ๋งจิ่วและถงเหยียนคล้ายมิได้ยินเสียงพูดของเขา ทั้งคู่ยังคงมองดูกระดานหมากล้อมอย่างเงียบๆ
หมากตาเมื่อครู่จิ๋งจิ่วเป็นคนเดิน หลายคนมองว่าการเดินตานี้ัทั้งปกติและปลอดภัย จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเหอจานจึงมีปฏิกิริยาที่รุนแรงถึงเพียงนี้
ถงเหยียนทำการตอบโต้ของตัวเองออกมา วางหมากขาวลงไป คล้ายมิได้คิดอะไร
หมากตานี้ก็ธรรมดาและปลอดภัยอย่างมาก
ใครจะคิดบ้างว่าเหอจานจะตะโกนออกมาอีก “นี่ยิ่งไม่มีเหตุผลเลย!”
สายตาหลายคู่มองไปที่เขา
ผู้คนไม่เข้าใจว่าเหตุใดยอดฝีมือทางวิถีหมากล้อมผู้นี้ ถึงได้มีปฏิกิริยาต่อการเดินหมากที่ธรรมดาสองตานี้ถึงเพียงนี้
ในเวลานี้ จิ๋งจิ่ววางหมากสีดำลงไปอีกเม็ด
เหอจานจ้องมองดูกระดานหมากล้อม มิได้สนใจคนที่กำลังจ้องมองตัวเองอยู่เลย เขากล่าวอย่างตกใจว่า “ยังเดินแบบนี้ได้อีกหรือ?”
หมากขาวเม็ดต่อมาของถงเหยียนวางลงไปยังอีกที่หนึ่ง
เหอจานควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ เขาตะโกนออกมาติดต่อกันว่า “บ้าไปแล้ว! พวกเจ้าสองคนบ้าไปแล้ว!”
เขาขยับตัวไปมา ตะโกนเสียงดัง บนเขาฉีผานที่เงียบสงบ ตัวเขาดูสะดุดตาอย่างมาก
กั้วตงดึงสายตากลับมาจากเจ้าล่าเยวี่ย ก่อนจะกล่าวกับเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ปกติเจ้าพูดมากแบบนี้หรือ?”
การส่งเสียงตะโกนโวยวายอยู่ข้างๆ เวลามีคนเล่นหมากล้อมอยู่ ย่อมต้องเป็นเรื่องที่ไม่น่าดูอย่างมาก
เหอจานไหนเลยจะไม่เข้าใจถึงเรื่องนี้ เพียงแต่วันนี้ได้มาเห็นการวางหมากเช่นนี้ เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จริงๆ
“ก็ได้ ข้าไม่พูดแล้ว”
เขายกไหสุราขึ้นมา ก่อนจะกรอกสุราลงไปในปากอึกใหญ่
สุรากระดูกมังกรที่หาได้ยาก เมื่ออยู่ในปากเขากลับรู้สึกขมฝาด
เพราะสุราที่เขาดื่มคือสุรากลุ้มใจ
ความกลุ้มใจที่ว่ามิใช่ความอึดอัดที่ไม่สามารถพูดจาได้ หากแต่เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายได้จนทำให้รู้สึกกลัดกลุ้ม
……
……
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเหอจาน อีกทั้งสังเกตดูสีหน้าของเชวี่ยเหนียง ซั่งจิ้วโหลว กู่หยวนหยวน ในที่สุดคนอื่นๆ ที่ชมการประลองหมากก็เข้าใจอะไรบางอย่าง — ที่แท้การประลองหมากในศาลากระดานนี้มิได้ปกติธรรมดาเหมือนอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้เสียแล้ว ในนั้นไม่รู้แอบซ่อนความตกตะลึงเอาไว้มากน้อยเท่าไร เพียงแต่ด้วยระดับทางวิถีหมากล้อมของพวกเขา ทำให้ยากที่จะดูให้เข้าใจได้
เมื่อเข้าใจในจุดนี้ ผู้คนพากันตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาพากันมองไปยังกระดานหมากล้อมที่อยู่ในศาลากระดานนั้น หวังว่าจะสามารถค้นพบความมหัศจรรย์ที่แอบซ่อนอยู่เหล่านั้น
เพียงแต่ไม่ว่าพวกเขาจะตั้งใจดูอย่างไร พยายามคิดคำนวณมากแค่ไหน พวกเขาก็ยังมองไม่เห็นอะไรที่มันพิเศษ
นี่มันก็เป็นแค่หมากต้นกระดานธรรมดาๆ มิใช่หรือ?
……
……
ภายในอารามซานชิง
ฉานจึนั่งขัดสมาธิอยู่บนอาสนะ เท้าที่เปลือยเปล่าทั้งสองข้างโผล่ออกมาจากใต้จีวร กระดิกไปมาไม่หยุด คล้ายกำลังเคาะตามจังหวะอะไรบางอย่าง
สายตาเขามองไปยังกระดานหมากล้อมที่ตั้งอยู่ข้างหน้า
สองข้างของกระดานมีโหลใส่หมากตั้งอยู่สองโหล
ด้านนอกดอกสือหนานกำลังเบ่งบาน ส่งกลิ่นตลบอบอวล เห็นๆ อยู่ว่าเป็นกลิ่นหอม แต่กลับหอมจนใกล้เคียงคำว่าเหม็น
อาจเป็นเพราะเหตุผลอื่น เขาจึงขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดเขาก็หยุดการครุ่นคิดอันยาวนาน ก่อนจะหยิบหมากสีดำเม็ดหนึ่งวางไปบนกระดาน
ขณะที่เขาถอนใจออกมาและเตรียมจะลุกขึ้น เขาพลันสังเกตเห็นสีหน้าของนักบวชลัทธิเต๋าผู้นั้นดูแปลกๆ
“ทำไมหรือ?”
นักพรตลัทธิเต๋าผู้นั้นลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “หมากตานี้…เหมือนจะไม่ได้วางตรงนี้ขอรับ”
ฉานจึได้ยินเช่นนี้พลันงุนงงไปเล็กน้อย ก่อนจะมองดูกระดานหมากล้อมใหม่อีกครั้ง
……
……
บนยอดเขาฉีผาน
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าวยิ้มๆ กับเหอกั๋วกงว่า “กั๋วกง ท่านคิดว่าหมากกระดานนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
เหอกั๋วกงมองเขา พลางกล่าวว่า “เป็นอย่างไรหรือ? ลึกซึ้งขนาดนี้ข้าจะดูรู้เรื่องได้อย่างไร”
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นมิได้เกรงกลัว ยังคงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นท่านพนันฝั่งใครหรือขอรับ?”
งานชุมนุมเหมยฮุ่ยเป็นงานชุมนุมขนาดใหญ่ของผู้บำเพ็ญพรต แต่มันก็ส่งผลกระทบไปถึงโลกปุถุชนด้วย เรื่องอื่นไม่รู่เป็นอย่างไร แต่บ่อนพนันในเมืองเจาเกอจะต้องมีความเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
เหอกั๋วกงตบหลังเจ้าหน้าที่คนนั้นไปทีหนึ่ง ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ ก็ต้องพนันข้างถงเหยียนสิ ถึงแม้จะได้ไม่เท่าไร แต่ยังไงก็ชนะแน่นอนไม่ใช่หรือ?”
……
……
วัดไท่ฉางว่างงาน
ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ได้รับเงินเดือนจากราชสำนัก อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาได้ชื่อว่าเป็นขุนนางที่ปราศจากการทุจริต จิ๋งซางจึงพยายามระวังไม่ให้ตนเองแสดงออกว่าขยันขันแข็งมากเกินไปมาโดยตลอด
แต่น้อยครั้งนักที่เขาจะนั่งจ้องมองชาที่อยู่ในถ้วยแล้วเหม่อลอยเป็นเวลานานขนาดนี้เหมือนอย่างวันนี้
สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถนั่งต่อไปได้ เขาบอกกับผู้ช่วย จากนั้นเดินออกไปจากจวน
เมื่อเห็นแผ่นหลังของเขาหายลับไปบนถนน เสียงพูดคุยภายในจวนพลันดังขึ้นมา
จิ๋งซางมีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เมื่อครั้งยังเล็กถูกส่งออกไปจากเมืองเจาเกอ ไม่รู้ว่าไปยังที่ใด เดิมตระกูลจิ๋งปกปิดเรื่องนี้เอาไว้อย่างมิดชิด แต่ในแวดวงขุนนางไหนเลยจะมีความลับที่แท้จริงได้ หลายปีก่อนมีหลายคนคล้ายจะทราบว่าลูกชายคนเล็กของตระกูลจิ๋งผู้นั้นน่าจะเข้าไปอยู่ในสำนักใหญ่แห่งหนึ่ง
ปีนี้มีการจัดการชุมนุมเหมยฮุ่ยขึ้น บ่อนพนันในเมืองเจาเกอก็เพิ่มจำนวนขึ้นมาเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นชื่อจิ๋งจิ่ว คนที่รู้เรื่องย่อมต้องคิดโยงไปถึงลูกชายคนเล็กของตระกูลจิ๋งผู้นั้น
“ใครจะไปคิดบ้างว่าน้องชายของเขาจะกลายเป็นอาจารย์เซียนแห่งสำนักชิงซาน มีคนคอยหนุนหลังเช่นนี้ ใครยังอยากจะทำงานตามปกติอีก นี่ยังเช้าอยู่เลยก็กลับไปเสียแล้ว”
“ผู้บำเพ็ญพรตตัดอารมณ์ละความรู้สึก ความสัมพันธ์กับครอบครัวตัวเองในโลกปุถุชนมีน้อยนิด อาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าไร อีกอย่าง เป็นแค่ศิษย์ชิงซานเท่านั้น มิใช่ผู้ยิ่งใหญ่อะไร”
“แต่อย่างน้อยราชสำนักก็ไม่มาเข้มงวดอะไรมาก ยิ่งไปกว่านั้นญาติของตัวเองยังมีชีวิตอยู่ ยังไงก็ต้องมีประโยชน์อยู่บ้าง เจ้าไม่เห็นหรือว่าหลายปีมานี้ตระกูลเจ้ามีชื่อเสียงขนาดไหน?”
“ใช่ เมื่อตอนปีใหม่ข้าไปเยี่ยมท่านเจ้ามา จุ๊ๆ…ของดีๆ ที่อยู่ในเรือนกองเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ เลย ได้ยินว่าทางมณฑลหนานเหอส่งมาให้”
……
……
จิ๋งซางมิได้รู้เลยว่าเพื่อนร่วมงานกำลังนินทาอะไรตนเองลับหลัง แต่ต่อให้รู้ เขาก็ไม่มีอารมณ์มานั่งสนใจ
ในเมืองเจาเกอข่าวสารแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรเรื่องที่เกิดขึ้นบนเขาฉีผานก็รู้มาถึงหูเขา
ในตอนที่เขาทราบว่าคู่ต่อสู้กระดานแรกของจิ๋งจิ่วคือถงเหยียน ภายในหัวของเขาพลันมีเสียงวิ้งขึ้นมาทันที เรียกได้ว่าเกือบเป็นลมหมดสติไป
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจิ๋งจิ่วย่อมไม่อาจถือเป็นพี่น้องจริงๆ ได้ ต่อให้จิ๋งจิ่วพ่ายแพ้ มันก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบอะไรถึงอนาคตของเขา เพียงแต่….
เขาครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้มาตลอดทาง เหงื่อเย็นๆ เปียกท่วมเสื้อผ้า สีหน้าดูเหม่อลอย ในตอนที่เขาได้สติขึ้นมา ก็พบว่าตนเองได้เดินเข้ามาในเรือนของเฉิงกั๋วกงแล้ว
ทั่วทั้งเมืองเจาเกอต่างทราบดีว่าเฉิงกั๋วกงชื่นชอบหมากล้อม บ่อนรับพนันการประลองหมากล้อมในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยที่มีระดับสูงสุดและปลอดภัยสูงสุดนั้นอยู่ที่นี่
ผู้ดูแลคนหนึ่งสังเกตเห็นเขา จึงเดินเข้ามากล่าวว่า “ในที่สุดท่านก็มา เชิญเข้ามาเลยขอรับ”
จิ๋งซางหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เขาลังเลอยู่ครู่ ก่อนจะกล่าวถามเสียงเบาว่า “ตอนนี้ยังถอนเดิมพันได้หรือเปล่า?”
ผู้ดูแลคนนั้นยิ้มๆ มองดูเขา มิได้กล่าวกระไร
………………………………………………………………