มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 85 ตาสุดท้าย
ครืน!
กู่หยวนหยวนที่สติเลื่อนลอยสะดุ้งตกใจขึ้นมาเพราะเสียงฟ้าผ่า ร่างกายส่ายโงนเงนจนเกือบจะล้มลงไป เขารีบเอามือยันต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างกายเอาไว้ ตกใจจนหอบหายใจไม่หยุด
คนอื่นเองก็ถูกเสียงฟ้าผ่าดังที่ขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้ตกใจไม่น้อยเช่นกัน ต่างคนต่างเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า รู้สึกใบหน้าเปียกชื้นเล็กน้อย ถึงได้รู้ว่ามีฝนตกปรอยๆ ลงมา
เจ้าล่าเยวี่ยจ้องมองจิ๋งจิ่วที่อยู่ในศาลา ความรู้สึกกังวลใจปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนในดวงตาที่มีสีดำขาวตัดกันอย่างชัดเจนของนาง
จิ๋งจิ่วเองก็เริ่มครุ่นคิดเป็นเวลานานเป็นครั้งแรก
ตำแหน่งของหมากขาวเม็ดนั้นคือเจ็ด สิบเอ็ด เป็นหมากที่วางประชิดกับหมากตน เขาควรจะตอบโต้อย่างไร?
ก้อนเมฆบนท้องฟ้าจับตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ บนภูเขาเองก็ยิ่งมืดสลัวขึ้น สายลมค่อยๆ หนาวเย็นและรุนแรง ฝนเองก็ตกหนักขึ้น
ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ข่ายพลังบนเขาฉีผานถึงไม่แสดงความสามารถของมันออกมาอย่างเต็มที่
กลุ่มคนแตกกระจายเล็กน้อย แต่ก็กลับมารวมตัวกันเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว
พวกเขาไม่อาจตัดใจจากไปได้ ทุกคนมองไปในศาลาอีกครั้ง
จิ๋งจิ่วมองดูกระดานหมากล้อมพลางครุ่นคิด
หลังถงเหยียนวางหมากขาวเม็ดนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปริมรั้ว
แสงแดดส่องสว่างใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของเขา ดูมั่นใจยิ่งนัก
……
……
เวลาเคลื่อนผ่านไป ฟ้าดินยิ่งดูมืดสลัว
จิ๋งจิ่วขยับแล้ว
เขาคีบหมากขึ้นมาเม็ดหนึ่ง ยื่นไปบนกระดานหมาก
ไม่ว่าจะเป็นมุมในการคีบของนิ้วมือทั้งสอง หรือจะเป็นมุมของแขนที่โค้งก็ล้วนแต่สมบูรณ์แบบ
รายละเอียดทั้งหมดเหล่านี้ เขาล้วนแต่เลียนแบบมาจากหนังสือหมากล้อมขั้นพื้นฐานที่อ่านมาเมื่อตอนอยู่ที่เมืองไห่โจวเล่มนั้น
สมบูรณ์แบบจนรู้สึกไม่น่าสนใจ แต่ก็สามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ ปรากฏให้เห็น
คล้ายกับตำแหน่งที่หมากดำเม็ดนั้นวางลงไป อยู่บนจุดตัดของเส้นสองเส้นอย่างพอดิบพอดี ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่นิดเดียว
……
……
หมากสีดำวางลงไปบนกระดานอย่างเงียบๆ
สาม เก้า
ชั้นเมฆบิดตัวไปมา ขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปมีสายฟ้าปรากฏขึ้นมาเส้นหนึ่ง
ที่ตรงนั้นอยู่ไกลมาก เสียงฟ้าคำรามมิอาจส่งมาถึงบนภูเขา ทว่าแสงสายฟ้ามาสามารถมาถึงได้
สายฟ้าส่องสว่างเขาฉีผาน ถูกหมากดำที่นิ่งสงบเม็ดนั้นสะท้อนออกมา ยิ่งดูเงียบเหงาเยือกเย็น คล้ายลำแสงกระบี่สายหนึ่ง
……
……
เหอจานเลิกคิ้ว ปลายแขนเสื้อสั่นเบาๆ
เชวี่ยเหนียงมองดูหมากดำเม็ดนั้นพลางเอามือขึ้นมากุมที่หน้าอก รู้สึกทรมานเป็นยิ่งนัก คล้ายถูกคนแทงด้วยกระบี่
ซั่งจิ้วโหลวส่งเสียงอึกออกมา ใบหน้าขาวซีด มุมปากมีโลหิตไหลออกมา
……
……
ในอารามซานชิง ฉานจึมองดูหมากที่เพิ่งจะวางลงไปบนกระดานสองเม็ดนั้น นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมามองออกไปนอกหน้าต่าง
ด้านนอกหน้าต่างเมฆจับตัวหนาทึบ ปกคลุมทั่วทั้งเขาฉีผาน
“อันตรายมาก”
ฉานจึส่ายศีรษะ มิได้วางหมากลงไปบนกระดานอีก หากแต่ส่งสัญญาณบอกให้นักบวชลัทธิเต๋ามาวางแทน
……
……
บนยอดเขา เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ สีหน้าของหอกั๋วกงพลันแปรเปลี่ยนไปมา แต่ยังคงดูคร่ำเคร่ง เขากล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ทางฝ่าบาทตรัสว่ายังไงบ้าง?”
ลูกน้องคนหนึ่งก้มศีรษะกล่าวรายงานว่า “เมื่อครู่ข้าได้ติดต่อไปทางวังหลวง ฝ่าบาททรงเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการประชุมเร่งด่วน เวลานี้กำลังเตรียมเสด็จออกมาขอรับ”
เหอกั๋วกงมองลงไปยังเบื้องล่างยอดเขา ก่อนจะขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “หวังว่าหมากกระดานนี้คงจะไม่จบลงเร็วขนาดนี้หรอกนะ”
……
……
ไม่ว่าจะคาดหวังหรือไม่ยินยอม สุดท้ายการประลองหมากล้อมกระดานแรกที่เป็นที่ัจับตามองของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีนี้ที่ก็ดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว ทั้งสองฝั่งเริ่มเปิดฉากสังหารกันอย่างแท้จริง
จิ๋งจิ่วและถงเหยียนมิได้มีการครุ่นคิดอันยาวนานอีก หมากดำและหมากขาวทยอยวางลงไปบนกระดานอย่างมั่นคง หรือเรียกได้ว่าดุดัน ส่งเสียงดังชัดเจน
เสียงดังชัดเจนมิได้หมายความว่าจะเป็นเสียงที่รื่นหู บางครั้งมันก็ทำให้คนรู้สึกใจสั่นได้เหมือนกัน คล้ายเสียงกระบี่ที่ฟันลงไปบนก้อนหิน คล้ายกับเสียงอาวุธวิเศษที่กระแทกไปบนประตูเหล็ก
บนกระดานคล้ายมีเจตกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา จิตสังหารฉวัดเฉวียนไปทั่วฟ้าดิน คนที่รู้เรื่องหมากล้อม ขอเพียงสัมผัสได้ ก็จะรู้สึกหายใจลำบากขึ้นมาทันที
ในบรรดาผู้ชมที่อยู่ด้านนอกศาลา ความสามารถทางด้านหมากล้อมของกู่หยวนหยวนด้อยกว่าเหอจานและอีกสองคน แต่เขาก็ถือว่ามีความสามารถในระดับหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงหลายปีมานี้เขาติดตามเทพดาบออกไปสู้รบยังที่ราบหิมะทางเหนือ ได้เห็นความอันตรายที่แท้จริงและสนามรบที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ดังนั้นการรับรู้ของเขาจึงยิ่งมีความรุนแรง
ในดวงตาของเขา หมากสีดำและสีขาวหมุนวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นรถศึกที่อยู่บนที่ราบหิมะและทหารของแคว้นเสวี่ยที่ยืนกระจัดกระจายเต็มภูเขา
แผ่นน้ำแข็งอันแข็งแกร่งถูกบดขยี้จนแตก พายุหิมะอันรุนแรงถูกมองข้าม ม้าศึกนับพันส่งเสียงร้อง ลมพายุหวีดหวิว ทุกที่เต็มไปด้วยความคิดเข่นฆ่า ทุกที่เต็มไปด้วยความตาย
ในตอนที่เขาเห็นภาพสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยหน้าตาดุร้ายตัวหนึ่งกระโจนเข้ามา เขาก็ทนแบกรับต่อไปไม่ไหว ส่งเสียงตะโกนดังลั่นแล้วสลบไป
สถานการณ์ของเชวี่ยเหนียงและซั่งจิ้วโหลวเองก็แย่อย่างมาก สีหน้าขาวซีด มุมปากมีเลือดไหล ร่างกายโงนเงน คล้ายพร้อมจะเป็นลมล้มลงไปได้ทุกเมื่อ
เหอจานเดินไปยืนอยู่ด้านหน้าเชวี่ยเหนียงและซั่งจิ้วโหลว บดบังสายตาของเขาเอาไว้
หากพวกเขาดูหมากกระดานนี้ไม่รู้เรื่องเหมือนหลายๆ คนที่อยู่ด้านนอกศาลาก็ว่าไปอย่าง
แต่สภาวะของพวกเขาสามคนกลับสูงส่ง สามารถดูเข้าใจได้หลายส่วน ทั้งยังคิดที่จะตามความเร็วในการครุ่นคิดของจิ๋งจิ่วและถงเหยียนให้ทัน สภาพจิตใจจึงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
ตัวเขาละทิ้งหมากกระดานนี้ไปตั้งแต่ตอนที่จิ๋งจิ่วและถงเหยียนพักผ่อนแล้ว
เขามองไปยังจิ๋งจิ่วและถงเหยียนที่อยู่ในศาลา สีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก
เพียงคิดอยากจะดูหมากกระดานนี้ให้เข้าใจ ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนหนักหนาสาหัสถึงเพียงนี้ แล้วคนที่อยู่เล่นหมากกระดานนี้จะต้องแบกรับความกดดันมากขนาดไหน?
……
……
การประลองดำเนินต่อไป ความเร็วของจิ๋งจิ่วและถงเหยียนยังคงเหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนว่าจังหวะของการประลองกำลังเร็วขึ้น
ลมภายในภูเขายิ่งหนาวเย็นขึ้น ยิ่งรุนแรงขึ้น บางทีอาจเป็นเพราะก้อนเมฆบนท้องฟ้าที่จับตัวหน้าขึ้น ยิ่งมืดสลัวขึ้น
นั่นคือสัญญาณล่วงหน้าของพายุฝน
เศษต้นเจียงเหมยที่ถูกเหยียบย่ำอยู่บนพื้นถูกลดพัดจนปลิวว่อนไปทั่วทุกที่
ก้อนเมฆม้วนวนไปมา คล้ายมีมังกรดำตัวหนึ่งกำลังส่งเสียงคำรามสำแดงฤทธิ์เดชอยู่ในนั้น สายฟ้าจำนวนมากแลบแปลบปลาบออกมาจากส่วนลึกของก้อนเมฆ แสดงพลังอำนาจของตัวเองออกมาให้ประจักษ์แก่ฟ้าดิน
สายฝนพลันตกหนักขึ้น ส่งเสียงซู่ๆ ตกลงมาบนภูเขา
ในที่สุดข่ายพลังบนเขาฉีผานก็เกิดการตอบสนอง พลังที่มองไม่เห็นสายหนึ่งกระจายตัวออกมาจากส่วนลึกของหินผา พายุฝนส่วนใหญ่ถูกกันเอาไว้ด้านนอก
สายฝนที่ตกลงมาไหลไปตามหลังตาที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้ภาพทิวทัศน์ของโลกภายนอกดูบิดเบี้ยวไม่ชัดเจน ภาพเหตุการณ์นี้ดูมหัศจรรย์เป็นยิ่งนัก แต่กลับไม่มีใครสนใจดูมัน
ทุกคนต่างกำลังมองดูศาลาเตี้ยๆ หลังนั้น
ฝนบนเขาฉีผานแปรเปลี่ยนเป็นเบาบางลง ตกลงไปบนกระดานหมาก ดูคล้ายหยดน้ำค้างกระจ่างใสจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่บนหมากสีขาวและสีดำ
สถานการณ์บนกระดานได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว — ปล้นสดมภ์
สิ่งที่ปล้นคือความลับของการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน ในนั้นแอบซ่อนความอันตรายเอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วน
เสื้อผ้าของทั้งสองคนเปียกชื้นเล็กน้อย แต่ทั้งคู่กลับเหมือนมิได้สังเกต พวกเขายังคงมองไปบนกระดานอย่างตั้งใจ จมดิ่งอยู่ในสมาธิ
ตัวหมากวางลงไปบนกระดานไม่หยุด ส่งเสียงดังแปะๆ ชัดเจน สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือเสียงฟ้าคำรามที่ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย หมู่เขาคล้ายจะสั่นสะเทือนเพราะมัน
สายฟ้าแลบแปลบปลาบไม่หยุด ส่องสว่างใบหน้าของพวกเขาให้เห็นอย่างชัดเจน
ผิวพรรณบนใบหน้าของถงเหยียนเนียนลื่น เมื่อเปียกน้ำฝนเล็กน้อยก็ยิ่งทำให้ดูอ่อนเยาว์คล้ายเด็กทารกก็มิปาน ทว่าในดวงตากลับเต็มไปด้วยความหิวกระหายในชัยชนะและความมุ่งมั่นที่เด็ดเดี่ยว
จิ๋งจิ่วยังคงสงบนิ่งเช่นเคย สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อให้เป็นการขยับที่ละเอียดเล็กที่สุดก็ยังไม่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา มองดูคล้ายรูปแกะหลักหยกขาวที่สมบูรณ์แบบ
คนอื่นมองแล้วมิได้รู้สึกอะไร แต่เจ้าล่าเยวี่ยอยู่กับจิ๋งจิ่วมาเป็นเวลานาน นางสามารถมองออกถึงสภาพจิตใจของเขาในเวลานี้ แขนเสื้อทั้งสองข้างขยับเล็กน้อย
ในตอนงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน ขึ้นเขาเสินม่อ หรือว่าเจอกับกู้หานและกั้วหนานซานในงานชุมนุมซื่อเจี้ยนเมื่อปีที่แล้ว จิ๋งจิ่วล้วนแต่ดูเฉยเมยมิได้สนใจอะไร
แต่วันนี้เห็นได้ชัดว่าแตกต่างออกไป เมื่อเผชิญหน้ากับถงเหยียน เขาได้แสดงความตั้งใจและจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมา
……
……
เสียงกระแทกระหว่างตัวหมากกับกระดาน เสียงคำรามของสายฟ้ายังคงดังชัดเจน
แต่เขาฉีผานกลับทำให้คนรู้สึกเงียบสงบเป็นยิ่งนัก เพราะฝนที่ตกโปรยปรายลงมาไร้ซุ่มเสียง เพราะไม่มีใครกล้าส่งเสียง
……
……
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดพายุฝนก็หยุดลง ก้อนเมฆกระจายตัว ไม่มีเสียงฟ้าร้องอีก
แสงอาทิตย์ส่องสว่างโลกนี้อีกครั้ง หมู่เขาที่เพิ่งถูกน้ำฝนชะล้างไป ไม่ว่าจะเป็นอากาศหรือทัศนวิสัยก็ล้วนแต่สะอาดสะอ้าน
สายรุ้งแถบหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงขอบฟ้า
……
……
ลำดับการเดินหมากวนมาถึงถงเหยียน
กระทั่งคนที่มองสถานการณ์บนกระดานไม่ออกก็ยังเกิดความรู้สึกที่รุนแรงบางอย่างขึ้นมา
หมากขาวเม็ดนี้น่าจะเป็นการเดินตาสุดท้ายของหมากกระดานนี้แล้ว
ผลแพ้ชนะอยู่ที่หมากขาวเม็ดนี้
ผมสีดำที่เปียกชื้นเล็กน้อยถูกสายลมพัดจนพลิ้วไหว
บนกระดานล้วนเต็มไปด้วยน้ำ
หมากขาวเม็ดนี้จะวางลงตรงไหน?
………………………………………………………….