มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 91 ครึ่งชีวิตของหวังเสี่ยวหมิง
ซือเฟิงเฉินเดินเข้าไปในห้อง หยิบเอาเอกสารปึกหนาๆ ออกมาจากช่องลับภายในมุมหนึ่งของตู้เสื้อผ้า ก่อนจะหอบมาที่หน้าโต๊ะแล้วเริ่มพลิกเปิดดูอีกครั้ง
เอกสารเหล่านี้ล้วนแต่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่ว
เมื่อปีที่แล้วการสืบสวนของกรมชิงเทียนถูกระงับเอาไว้ เอกสารเหล่านี้ถูกเก็บกลับไปไว้ในห้องเก็บเอกสาร ฝุ่นจับตัวหนาเตอะ จนกระทั่งเมื่อหลายสิบวันก่อนถูกเขาแอบเอากลับมาที่บ้าน
หน้าเอกสารถูกพลิกเปิด ตัวหนังสือและภาพเหมือนที่อยู่บนเอกสารถูกเขาจดจำได้ขึ้นใจนานแล้ว นั่นคือเจ็ดสิบสี่ชีวิตและภาพเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจำนวนนับไม่ถ้วน
ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นวิ่งผ่านหน้าเขา จากนั้นทับซ้อนกับภาพเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน
“เป็นผู้บำเพ็ญพรตแล้วฆ่าคนตามอำเภอใจได้อย่างนั้นหรือ?”
ซือเฟิงเฉินปิดเอกสาร นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมาว่า “ข้าจะไม่ปล่อยให้สำนักชิงซานมีนักพรตไท่ผิงคนที่สองปรากฏออกมา”
เขามีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อสำนักชิงซาน หลายปีก่อนตอนที่จัดประชุมขึ้นที่จวนของกรมชิงเทียนในมณฑลหนานเหอ ได้เห็นความประพฤติของศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างเหล่านั้น เขาก็ยิ่งมั่นใจในความรู้สึกนี้
ที่บอกว่ารังเกียจความชั่วร้ายเหมือนศัตรู มันก็เป็นแค่เพียงความกระหายในการฆ่าฟันเท่านั้น สำนักชิงซานที่มีวิถีเช่นนี้จะต้องสร้างภัยพิบัติออกมาอย่างแน่นอน
ภัยพิบัติที่สร้างความหายนะให้กับโลกมนุษย์
พรสวรรค์ในการบำเพ็ญพรตของเจ้าล่าเยวี่ย สถานะในอนาคต นิสัยและพฤติกรรมต่างๆ ทำให้เขาคิดถึงภัยพิบัติในอดีตผู้นั้นขึ้นมา
ดังนั้นเจ้าล่าเยวี่ยจำเป็นต้องตาย
เรื่องนี้เขาไม่อาจพูดกับใครได้ เพราะเรื่องราวของนักพรตไท่ผิงนั้นเป็นความลับสุดยอดของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต แล้วก็เป็นความมัวหมองที่ร้ายแรงที่สุดของสำนักชิงซาน
หากเขาพูดเรื่องนี้ออกไปโดยอ้างเหตุผลนี้ ทุกคนจะต้องคิดว่าเขาเลอะเลือนไปแล้ว ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน จากนั้นสำนักชิงซานก็จะสังหารเขา
เดิมเขาอยากจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อทูลพระองค์ถึงความกังวลของตน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพระสนมจะไม่เรียกเขาเข้าไปอีก
เมื่อไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท เขายังจะทำอย่างไรได้อีก?
ในหนึ่งปีมานี้ เรื่องที่เขาครุ่นคิดอย่างหนักก็คือจะสังหารเจ้าล่าเยวี่ยอย่างไร แต่เขากลับหาวิธีไม่ได้
จนกระทั่งเมื่อหลายวันก่อน เขาว่างงานไม่มีอะไรทำ ขณะกำลังจัดกองเอกสารในช่วงนี้ เขาพลันพบปัญหาหนึ่งเข้า
ยาต้วนหลีที่กรมชิงเทียนเป็นคนจัดหาเข้าไปให้ภายในวัง ในช่วงหลายวันมานี้มีปริมาณการใช้ลดน้อยลงไปมาก
หลายปีมานี้ ฝ่าบาททรงโปรดปรานพระสนมหู ยาต้วนหลีถูกใช้น้อยลง ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่านี่มันหมายความว่าอย่างไร
มันทำให้เขานึกสงสัยว่าฝ่าบาททรงไม่ได้คิดที่จะปิดบังเรื่องนี้
เขาคิดหาวิธีติดต่อกับทางตำหนักขององค์รัชทายาท อีกฝ่ายตกตะลึงอย่างที่ตนเองคิดเอาไว้
ปฏิกิริยาของตำนักองค์รัชทายาททำให้เขาพบว่าองค์รัชทายาทและเหล่าขุนนางที่อยู่ข้างกายพระองค์เหล่านั้นโง่เขลาจริงๆ พวกเขามองไม่ออกเลยว่านี่เป็นการหยั่งเชิงของฝ่าบาท
องค์รัชทายาทเช่นนี้ย่อมสามารถใช้งานได้
เสียงแอ๊ดดังขึ้น ประตูหน้าบ้านเปิดออก
ซือเฟิงเฉินได้สติขึ้นมาจากความคิด เขาเก็บเอกสารกลับเข้าไป ก่อนจะเดินออกไปนอกประตู
เด็กหนุ่มที่ท่าทางเหมือนเด็กรับใช้ผู้หนึ่งหมุนตัวปิดประตู เมื่อเห็นเขาจึงกล่าวขึ้นมาอย่างดีใจ “อาจารย์ ท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ?”
ขาของเด็กหนุ่มดูไม่ค่อยสมบูรณ์ เขาหิ้วผักมาตะกร้าหนึ่ง การเดินดูค่อนข้างลำบาก
ซือเฟิงเฉินกล่าว “ข้าเคยบอกหลายครั้งแล้ว อย่าเรียกข้าว่าอาจารย์”
“ขอรับ…” เด็กหนุ่มผู้นั้นมองดูสีหน้าเขา ก่อนกล่าวขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “อาจารย์”
ซือเฟิงเฉินอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
เด็กหนุ่มผู้นั้นเห็นรอยยิ้มของเขา จึงรู้สึกยินดีขึ้นมา เสียงของเขาเองก็ดังขึ้นกว่าเดิม กล่าวว่า “ข้าซื้อผักกวางตุ้งสดๆ มา คืนนี้ผัดเนื้อแดดเดียวกินกันขอรับ”
เดิมซือเฟิงเฉินอยากบอกว่าตนเองกินมาแล้ว แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ทำน้อยหน่อยแล้วกัน”
……
……
เมื่อเห็นคนรูปร่างผอมแห้งกำลังง่วนอยู่ตรงหน้าเตา ในดวงตาของซือเฟิงเฉินพลันเผยให้เห็นความรู้สึกกังวล
เด็กผู้นั้นชื่อหวังเสี่ยวหมิง เป็นเด็กที่เขาเก็บกลับมาจากซากหมู่บ้านที่พังทลายเมื่อหลายปีก่อน
ครานั้นผู้บำเพ็ญพรตสองคนของสำนักกระบี่ซีไห่และสำนักคุนหลุนนัดประลองกันที่เขาฝูหนิว สุดท้ายก็จบลงที่การเสมอกัน
ว่ากันว่าหลังประลองเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองฝ่ายต่างพูดคุยกันอย่างมีความสุข นั่งดื่มชาเชวี่ยเสอที่มีชื่อเสียงและมีราคาแพงบนเรือเมฆ เกิดความรู้สึกเสียดายที่รู้จักกันช้าไป
เพียงแต่ผู้บำเพ็ญพรตทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าการต่อสู้ของพวกเขาได้ทำให้หน้าผาขนาดใหญ่แตกร้าว
ในคืนนั้นมีฝนตกหนัก ดินโคลนและก้อนหินไหลทะลักลงมาจากบนภูเขา กลืนกินหมู่บ้านแห่งหนึ่งไป
แต่แน่นอน ต่อให้พวกเขารู้ก็มิได้สนใจ
เรื่องราวแบบนี้ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นในแผ่นดินเฉาเทียนมาแล้วกี่ครั้ง ราชสำนักและเหล่าสำนักบำเพ็ญพรตต่างก็มีประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้มานานแล้ว
ในอีกแง่หนึ่ง กรมชิงเทียนก็คือหน่วยงานที่คอยตามเช็ดก้นให้กับเหล่าผู้บำเพ็ญพรต
ตอนนั้นซือเฟิงเฉินยังเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ระดับกลางผู้หนึ่งของกรมชิงเทียน เขาได้เห็นสภาพหมู่บ้านที่พังพินาศย่อยยับ ในใจรู้สึกหดหู่ แล้วก็มิได้รู้สึกโกรธอะไรมากนัก เพราะเขารู้สึกจนปัญญาจริงๆ
ตามปกติแล้ว ราชสำนักจะเป็นตัวแทนของทั้งสองสำนักทำการชดใช้ให้กับชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ในพื้นที่บางคนที่รักชาวบ้านถึงขนาดช่วยพวกเขาสร้างบ้านขึ้นมาใหม่
แต่ปัญหาคือชาวบ้านทั้งหมู่บ้านตายกันหมด แล้วจะชดใช้เงินทองให้กับใคร? บ้านที่สร้างมาใหม่จะเอาไว้ให้ใครอยู่?
ในขณะที่เขาเตรียมจะจากไป พลันมีเสียงร่ำไห้ที่อ่อนแรงดังออกมาจากกองหินโคลน นี่จึงทำให้เขารู้ว่าที่แท้ยังมีคนที่รอดชีวิตอยู่
ซือเฟิงเฉินรับเลี้ยงดูเด็กทารกที่ถูกก้อนหินทับจนขาหักคนนั้น เพื่อจะให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย จึงตั้งชื่อที่ธรรมดาที่สุดให้แก่เขา
นับแต่นั้นมา หวังเสี่ยวหมิงก็ติดตามเขามาโดยตลอด จากอวี้โจวมาถึงหนานเหอโจว แล้วมายังเมืองเจาเกอ คอยทำงานจิปาถะต่างๆ
ซือเฟิงเฉินไม่เคยสอนอะไรเขา กระทั่งอ่านหนังสือก็ไม่เคยสอน
ตอนนี้หวังเสี่ยวหมิงทำงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในห้องเก็บของห้องหนึ่งของกรมชิงเทียน แต่ละเดือนจะมีวันหยุดสองวัน หวังเสี่ยวหมิงก็จะกลับมาเยี่ยมเขา
“อาจารย์ ข้าวเสร็จแล้วขอรับ”
ในห้องครัวมีเสียงของหวังเสี่ยวหมิงดังออกมา
ซือเฟิงเฉินถือข้าวเปล่าชามหนึ่ง มองดูผัดผักกวางตุ้งเนื้อแดดเดียวที่น่ากินที่วางอยู่บนเตาทำอาหารจานนั้น กล่าวว่า “ต่อไปอย่าใช้เงินฟุ่มเฟือย”
ถึงแม้เงินเดือนเขาจะไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ก็เอาไปใช้กับเรื่องอื่น เขายังคงยากจนอย่างมาก ย่อมไม่มีเงินที่จะให้หวังเสี่ยวหมิง
หวังเสี่ยวหมิงยิ้มพลางกล่าว “เนื้อแดดเดียวนี้ชีสือเอ้อร์เป็นคนให้มา ไม่ต้องจ่ายเงินขอรับ”
ซือเฟิงเฉินรูปว่าชีสือเอ้อร์ที่เขาพูดถึงคือเพื่อนที่ทำงานคนหนึ่ง จึงมิได้กล่าวกระไร
หลังกินข้าวเสร็จ หวังเสี่ยวหมิงยกชาร้อนเข้ามาถ้วยหนึ่ง กล่าวว่า “อาจารย์ ดื่มชาขอรับ”
ซือเฟิงเฉินรับเอาชามาดื่ม ดวงตาหรี่เล็กลง
ชาที่ว่าเป็นชาหยาบที่ดื่มบ่อยๆ อยู่ในบ้าน แต่ขอเพียงร้อนพอ เมื่อดื่มลงไปก็จะรู้สึกสบาย
หวังเสี่ยวหมิงรู้ว่าตอนนี้ซือเฟิงเฉินอารมณ์ดี จึงถามอย่างระมัดระวังว่า “อาจารย์ เมื่อไรข้าถึงจะติดตามท่านไปเรียนรู้ได้ขอรับ?”
ซือเฟิงเฉินลืมตา มองดูเขาพลางถามว่า “เจ้าอยากจะตามข้าไปเรียนจริงๆ หรือ?”
“ใช่ขอรับ”
สีหน้าของหวังเสี่ยวหมิงจริงจัง
ซือเฟิงเฉินนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ความจริงแล้วเจ้าไม่รู้อะไร เมื่อตอนเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าเคยเชิญคนให้มาดูเจ้า หน่วยก้านเจ้าไม่เลว ถ้าไปบำเพ็ญเพียรน่าจะมีอนาคต”
หวังเสี่ยวหมิงพลันลุกขึ้นมา ก่อนตะโกนอย่างโมโหว่า “ข้าไม่บำเพ็ญเพียร! ข้าจะตามอาจารย์ไปเรียนสืบคดี”
“สืบคดีต้องใช้สมอง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอันเด็ดขาดแล้ว การวางแผนมิได้มีประโยชน์อะไรเลย สติปัญญาเองก็เช่นกัน”
ซือเฟิงเฉินมองดูดวงตาของเขา สีหน้าจริงจังกล่าวว่า “คนที่พวกเราต้องเผชิญหน้าล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญพรต หากเจ้าจะตามข้าเพื่อเรียนรู้การสืบคดี ก็ต้องไปฝึกบำเพ็ญเพียร ต้องกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา…ตอนนั้นที่ข้าไปเป็นศิษย์สำนักซานชิง ก็ด้วยคิดเช่นนี้ เสียดายที่พรสวรรค์ข้าธรรมดา เดินไปบนเส้นทางนี้มิได้ไกล แต่เจ้าไม่ใช่”
……
……
หลังจากนั้นสามวัน เจ้าล่าเยวี่ยเดินทางไปที่หุบเขาหมิงชุ่ย
หุบเขาหมิงชุ่ยชื่อนี้ธรรมดา แสดงให้เห็นว่าทิวทัศน์ก็ธรรมดาเช่นกัน ธรรมดาตรงไม่มีค่าพอให้ตั้งชื่อที่พิเศษ ยิ่งกว่านั้นเส้นทางที่เข้าไปในหุบเขาก็สูงชันเดินทางลำบาก แม้นจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ ก็มองไม่เห็นนักท่องเที่ยวแม้แต่คนเดียว
แต่ต่อให้เป็นเส้นทางที่สูงชันเดินทางลำบากแต่ไหน มันก็มิได้เป็นปัญหาอะไรกับผู้บำเพ็ญพรต ดังนั้นผู้บำเพ็ญพรตถึงได้เป็นทิวทัศน์ที่มากกว่าคนธรรมดา แต่แน่นอนว่ามีอันตรายอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
ในหุบเขาหมิงชุ่ยมีลำธารสายเล็กๆ ริมลำธารมีอารามเต๋าเล็กๆ ที่ขาดการบูรณะซ่อมแซมมาเป็นเวลานานหลายปี
นางเดินเข้าไปในอาราม ก่อนจะพบว่าที่แท้อารามแห่งนี้คือข่ายพลังแห่งหนึ่ง
…………………………………………………………