มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 92 เจ้าล่าเยวี่ยเจอการลอบสังหารครั้งแรก
ผู้บำเพ็ญพรตยากที่จะถูกลอบโจมตีได้ เพราะพวกเขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังชีวิตในธรรมชาติได้รวดเร็ว
เจ้าล่าเยวี่ยเชี่ยวชาญในการคำนวณคาดการณ์ อีกทั้งใจแห่งกระบี่เปิดกว้างและฉลาดเฉลียว นางย่อมต้องยิ่งเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ แต่ในตอนที่เดินเข้ามาในอารามเต๋า นางกลับมิได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติใดๆ มิใช่เป็นเพราะนางอยากจะมาเจอผู้สืบทอดของเหลียนซานเยวี่ยจึงมีอาการเหม่อลอย หากแต่เป็นเพราะข่ายพลังแห่งนี้ไม่มีความคิดเข่นฆ่าใดๆ เลย จืดจางจนถึงที่สุด หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับภูเขาและน้ำ ยากที่พบเห็นได้
สามารถเอาข่ายพลังที่เปลี่ยนแปลงบรรยากาศบนฟ้าดินหลอมรวมเข้าไปกับฟ้าดินอีกที วิธีการเช่นนี้ทั้งลี้ลับและพบเห็นได้น้อยมาก
มีเพียงสำนักฝ่ายธรรมะที่มีรากฐานอันลึกซึ้งยาวนานจึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้
กระบี่ส่งเสียงร้อง อารามเต๋าที่ผุพังถูกส่องสว่างจนกลายเป็นสีแดงเพลิง ราวกับแสงอาทิตย์ยามเย็นมาเยือนก่อนเวลา หมู่ไม้ที่อยู่ในหุบเขาคล้ายถูกแผดเผาจนลุกไหม้
กระบี่มิคำถึงพุ่งออกไปในอากาศด้วยความเร็วที่สุดจะจินตนาการ ก่อนจะฟันออกไปเป็นเส้นตรงจำนวนนับไม่ถ้วนรอบกายนาง คล้ายต้องการจะฟันอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไรอย่างนั้น
เส้นตรงที่หนาแน่นเหล่านี้ก่อตัวกลายเป็นม่านพลังแถบหนึ่ง ปกป้องคุ้มครองนางเอาไว้ด้านใน
เจ้าล่าเยวี่ยทราบดีว่าคนที่ลอบโจมตีตนจะต้องมิใช่ผู้บำเพ็ญพรตธรรมดา และตนเองมิใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย
ความมั่นใจในตนเองและความหยิ่งทะนงมิได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการวิเคราะห์ของนาง
นางมิได้คิดที่จะค้นหาศัตรูจากนั้นโจมตีกลับ หากแต่รีบใช้กระบวนท่าคุ้มครองตัวเองที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาทันที
นี่มิใช่กระบวนท่าที่อยู่ในเคล็ดกระบี่เก้ามรณา หากแต่เป็นกระบวนท่าที่นักพรตจิ่งหยางคิดค้นขึ้นมาโดยอิงจากพลังเต๋าบางอย่างของสำนักแม้ชีสุ่ยเยวี่ย ได้ยินว่าเกี่ยวของกับหนอนประหลาดชนิดหนึ่งที่ชื่อไหมฟ้า
นี่คือสิ่งที่จิ๋งจิ่วเล่าให้ฟังตอนที่สอนกระบวนท่านี้ให้นาง
“นี่คือกระบี่มิคำนึงที่นักพรตจิ่งหยางทิ้งเอาไว้ให้อย่างนั้นหรือ? ยอดเยี่ยมอย่างที่คิดเอาไว้ ทั้งกระบวนท่า การรับมือและการตัดสินใจของเจ้าเองก็ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน”
ท่ามกลางลำแสงสีแดงราวดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า คนชุดดำผู้หนึ่งเดินออกมา
คลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากตัวชายชุดดำนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก บนใบหน้าปิดบังไว้ด้วยผ้าสีดำ อีกทั้งเขาน่าจะใช้วิชาบางอย่างเปลี่ยนแปลงใบหน้าด้วย
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูอีกฝ่ายผ่านตาข่ายกระบี่ มิได้กล่าวกระไร
นางพอจะคาดเดาสถานะที่แท้จริงของคนผู้นี้ได้ สถานะในสำนักนั้นน่าจะค่อนข้างสูงทีเดียว เพราะเขาเอามือไพล่หลัง ดูมั่นใจในตัวเองเป็นยิ่งนัก อีกทั้งยังหยิ่งผยอง
คนชุดดำกล่าว “สมแล้วที่เป็นเจ้าล่าเยวี่ยที่ร่ำลือกัน แต่น่าเสียดาย ด้วยสภาวะของเจ้าในตอนนี้ กระบวนท่าที่ทรงพลังเช่นนี้อย่างมากก็ช่วยยื้อเวลาให้เจ้าได้แค่ไม่กี่สิบอึดใจเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อใช้กระบวนท่านี้แล้ว เจ้าก็ไม่สามารถใช้กระบี่ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมสำนักได้ พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าได้พาตัวเองมาตกอยู่ในทางตันแล้ว มีชีวิตนานขึ้นอีกเพียงนิดจะมีประโยชน์อะไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าสิ่งที่คนชุดดำกล่าวมามีเหตุผล ขณะเดียวกันก็เป็นการล่อลวงอย่างหนึ่ง
หนานว่างและศิษย์ชิงซานยังอยู่ที่เมืองเจาเกอ ห่างจากที่นี่ประมาณสองร้อยกว่าลี้ หารีบรุดมาที่นี่ด้วยความเร็วสูงสุดก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไรนัก
ปัญหาอยู่ที่ว่า หากนางส่งกระบี่ออกไปขอความช่วยเหลือ นางที่ไม่มีกระบี่อยู่ข้างกายจะยื้อเวลาได้นานเท่าไร? เผลอๆ อาจจะถูกสังหารภายในพริบตาก็เป็นได้
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้กล่าวกระไร เพราะไม่มีประโยชน์ การถ่วงเวลาก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน
ปราณกระบี่ของนางกำลังไหลออกไปอย่างรวดเร็ว
แสงสีแดงค่อยๆ เข้มขึ้น อารามเต๋าร้างที่ถูกแสงสีแดงปกคลุมเกิดความรู้สึกงดงามเหมือนผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
ทิวทัศน์งดงามมิใช่เรื่องดี เพราะนี่แสดงให้เห็นความความเร็วของกระบี่มิคำนึงกำลังแปรเปลี่ยนเป็นช้าลง สีจึงยิ่งดูสดใหม่
และเป็นเพราะช้าลง กระบี่มิคำนึงจึงเริ่มส่งเสียงหวีดร้อง ก่อเกิดเป็นลมกระบี่ขึ้นมา
กำแพงอารามร้างถูกลมกระบี่วาดผ่าน เศษฝุ่นร่วงตกลงมา
พระพุทธรูปดินเหนียวที่ประดิษฐานอยู่ในอารามถูกลมฝนและวันเวลากัดเซาะมาอย่างยาวนาน ส่วนเศียรพระที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวกำลังหดสั้นลงด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ดินทรายร่วงตกลงพื้น ดูคล้ายนาฬิกาทราย เวลาค่อยๆ เดินไปยังปลายอีกด้านหนึ่ง
ในขณะที่เศียรพระดินเหนียวกำลังถูกเสียดสีจนราบเรียบ เจ้าล่าเยวี่ยพลันขยับ
มือขวาของนางยื่นออกมาข้างหน้า
แสงสีแดงที่ส่องสว่างไปทั่วทั้งอารามพลันหดกลับมาอยู่ในมือของนาง คล้ายแปรเปลี่ยนเป็นตะวันสีแดงดวงหนึ่ง
นางคว้าจับกระบี่มิคำนึงเอาไว้ ร่างกายพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แทงไปยังคนชุดดำ
—-กระบี่อยู่ในมือ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกวิชาอันแข็งแกร่งของอีกฝ่ายส่งผลกระทบ
เมื่อครั้งที่อยู่ในศาลเจ้าเทพทะเลนอกเมืองไห่โจว นางก็ใช้กระบวนท่านี้สังหารคนของปู้เหล่าหลินผู้นั้น
คนชุดดำดูเยือกเย็น เขาน่าจะคาดเดากระบวนท่านี้ของนางได้ล่วงหน้าแล้ว จึงหลบลำแสงกระบี่หลายสายนี้ได้อย่างง่ายดาย จากนั้นฟาดฝ่ามือลงไปฝ่ามือหนึ่ง
สิ่งที่ฟาดลงไปมือฝ่ามือ แต่สิ่งที่ลอยขึ้นมากลับเป็นแขนเสื้อทั้งสองข้าง
อาจเป็นเพราะหวาดกลัวต่อความร้ายกาจของกระบี่มิคำนึง แล้วก็อาจจะเป็นเพราะไม่อยากทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ เขาจึงไม่ใช้อาวุธวิเศษ
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เจ้าล่าเยวี่ยจะสามารถต่อกรได้
แขนเสื้อทั้งสองข้างของคนชุดดำม้วนขึ้นมา ดูคล้ายคลื่นในเวลาค่ำคืนที่ดำมืดคล้ายน้ำหมึก
สายลมอันรุนแรงส่งเสียงหวีดร้อง พุ่งตามแขนเสื้อออกไป ดุดันรุนแรงเป็นยิ่งนัก แต่กลิ่นอายของพลังกลับมีความน่าเกรงขาม ดูแล้วน่าจะเป็นวิชาของสำนักฝ่ายธรรมะที่มีรากฐานอันยาวนาน ยิ่งใหญ่สง่างาม
เสียงตู้มดังขึ้นมา เจ้าล่าเยวี่ยกระเด็นลอยออกไป ก่อนจะกระแทกกับกำแพงของอารามอย่างแรง
ร่างกายของนางร่วงตามเศษอิฐลงมาราวกับสายฝน ตกลงมาบนพื้น มุมปากมีโลหิตสดๆ ไหลทะลักออกมา
คนชุดดำเพียงสะบัดแขนเสื้อหนึ่งทีหนึ่งก็ทำลายกระบวนท่าคนกระบี่รวมเป็นหนึ่งของนางได้
สภาวะของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไปจริงๆ อาศัยเพียงใจแห่งเต๋า ความกระหายในการต่อสู้และความกล้านั้นไม่อาจชดเชยได้
แต่สีหน้าของนางยังคงเรียบเฉย บนใบหน้ามิได้มีร่องรอยความหวาดกลัวใดๆ เพราะนี่คือเรื่องที่นางคิดเอาไว้แต่แรกแล้ว
ขณะที่นางกระแทกเข้าไปกับกำแพง กระบี่มิคำนึงที่ถูกกระแทกจนกระเด็นออกไปราวกับก้อนหินพลันเหมือนได้รับพลังชีวิตใหม่อีกครั้ง มันพุ่งทะลุหลังคาอารามออกไป!
ฟ้าว!
กระบี่มิคำนึงบินออกไปยังขอบฟ้า ก่อนจะหายลับตาไปอย่างรวดเร็ว คงเหลือแค่เพียงเงาสีแดงสายหนึ่ง
นี่คือการใช้กระบี่ส่งข่าว
คนชุดดำมิได้สนใจ เพราะนี้เป็นเรื่องที่เขาคิดเอาไว้แต่แรกเช่นกัน หรือพูดอีกอย่างคือเป็นเรื่องที่เขาหวังจะให้เกิดขึ้น
ต่อให้สภาวะของเจ้าล่าเยวี่ยจะสูงส่งกว่าในข้อมูลที่ได้รับมา ถึงแม้จะบรรลุถึงขั้นมิประจักษ์ระดับสูง แต่ระยะทางที่สามารถควบคุมกระบี่ได้ก็แค่ไม่กี่ลี้เท่านั้น
หากนางอยากจะใช้กระบี่ส่งข่าวไปให้เหล่าศิษย์ชิงซานที่อยู่ในเมืองเจาเกอ นางก็ได้แต่ต้องใช้วิธีนั้น ฝืนตัดขาดการเชื่อมต่อกับกระบี่มิคำนึง แล้วปล่อยให้มันบินออกไปเอง
แต่วิธีนี้จะทำให้เจ้าของกระบี่ได้รับผลสะท้อนกลับและได้รับบาดเจ็บสาหัส ยิ่งไปกว่านั้นหากคิดอยากจะเชื่อมต่อกับกระบี่บินใหม่อีกครั้ง ก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการฟูมฟักและฝึกฝนอีกนาน ถือว่าไม่คุ้มค่าเป็นยิ่งนัก
มีแต่ตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ร้ายแรงอย่างยิ่งยวด หรือตอนที่รู้ว่าจะต้องตายอย่างแน่นอน ศิษย์ชิงซานจึงจะตัดสินใจทำเช่นนี้
แต่แน่นอน หากวันนี้เจ้าล่าเยวี่ยมีชีวิตรอดไปได้ ค่าตอบแทนเช่นนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ในตอนที่กระบี่มิคำนึงบินออกไป นางจะใช้อะไรมาป้องกันการโจมตีของอีกฝ่าย? หรือนางมั่นใจว่าตนเองจะต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว?
คนชุดดำคิดว่าเป็นอย่างหลัง
เขาฟาดฝ่ามือไปที่เจ้าล่าเยวี่ย
อากาศพลันเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ลำแสงที่ตกลงมาจากบนหลังคาถูกหักเหจนดูยุ่งเหยิงไปหมด
พลังที่ทรงพลังและต่อเนื่องสายหนึ่งสะท้อนกลับไปมาในอารามไม่หยุด ซ้อนทับกันเหมือนหมู่เขา บดขยี้ไปยังด้านหน้า
แต่พลังที่รุนแรงนี้กลับมิได้ส่งผลกระทบต่อตัวอารามเลย กำแพงที่ทรุดโทรมเหล่านั้นไม่มีรอยแตก กระทั่งเศษฝุ่นก็มิได้ร่วงตกลงมา
ระดับการควบคุมที่ละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงสภาวะอันน่ากลัวของคนชุดดำผู้นี้และเรื่องบางเรื่อง
ในเวลาเช่นนี้ หากยังมามัวจงใจควบคุมพลังเช่นนี้ ก็นับว่าโง่เขลายิ่งนัก
ดังนั้นความจริงแล้วก็คือคนชุดดำมิได้จงใจควบคุมมัน หากแต่ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ
ในกระบวนท่าจะต้องแฝงเอาไว้ด้วยวิถีแห่งธรรมชาติอย่างแน่นอน เจ้าล่าเยวี่ยยิ่งมั่นใจถึงที่มาของอีกฝ่าย ดวงตายิ่งเปล่งประกาย
ในตอนที่ฝ่ามือของคนชุดดำมาถึงตรงหน้าเจ้าล่าเยวี่ย ฝ่ามือได้เปลี่ยนกลายเป็นกำปั้น
ภูเขานับหมื่นกลั่นตัวกลายเป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็สามารถจินตนาการได้แล้วว่ามันหนักอึ้งเพียงใด
ต่อให้เป็นกำแพงเมืองเจาเกอ เกรงว่าคงต้องถูกหมัดนี้ของเขาต่อยจนทะลุแน่
สิ่งที่ศิษย์ชิงซานไม่ชอบมากที่สุดก็คือถูกศัตรูประชิดตัว ในสถานการณ์เช่นนั้นกระบี่บินจะถูกบังคับให้ต้องทำการป้องกัน มิอาจโรมรันสังหารศัตรูได้อย่างอิสระ เท่ากับถูกมัดอยู่บนมือของตัวเอง
คนชุดดำใช้สายตาที่คล้ายกำลังมองดูคนตายมองเจ้าล่าเยวี่ย
กระทั่งกระบี่ก็ยังไงมี แล้วจะทำอะไรได้?
เจ้าล่าเยวี่ยยกสองมือขึ้นไปทางกำปั้นนั้น
เสียงผัวะดังขึ้นเบาๆ
ในมือของนางมีเจตน์กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา
เจตน์กระบี่เหล่านี้ทั้งบริสุทธิ์ ทั้งแหลมคม
กำแพงอารามที่ทรุดโทรมและหลังคาถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ก่อนจะถล่มลงมาบนพื้น
………………………………………………………………….