มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 95 คนผู้นั้นตกนกอยู่ริมผา
คนชุดดำไหนเลยจะกล้ารั้งรอ เขารีบเก็บอาวุธวิเศษ หมุนตัวหนีไป
เขากระโดนขึ้นไปกลางอากาศ เท้าเหยียบไปบนกิ่งไม้ ร่างกายหายไปทันที ไม่สนใจเรื่องจะถูกคนมาพบเห็น เตรียมบินหนีไป
ใครจะคิดบ้างว่าในชั่วขณะที่ปลายเท้าของเขากำลังจะลอยออกจากกิ่งไม้ ท้องฟ้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม
ด้านบนยอดไม้มีหมอกสีดำสายหนึ่ง ดูคล้ายรอคอยเขาอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด
หมอกสีดำสายหนึ่งตกลงมาบนใบหน้าเขา
เบื้องหน้าคนชุดดำพลันมืดมิด
ร่างกายเขาดิ่งร่วงลงมา ตกลงไปกองใบไม้ กลายเป็นร่างไร้ชีวิต
หมอกดำสั่นไหวเบาๆ ตามแรงลม แต่กลับไม่สลายหายไป ภายในหมอกคล้ายมีใบหน้าที่ขาวซีดอยู่ในนั้น
ลมค่อยๆ แรงขึ้น หมอกดำลงมาเดินอยู่เงียบๆ อยู่บนพื้นด้านล่าง ดูคล้ายชายหลังคาของวัดไท่ฉางหลังจากที่ถูกสายฝนชะล้าง — นั่นคือเขามังกรชางหลง[1]
หมอกดำมุดเข้าไปในรอยแตกของหน้าผา ดูแล้วคล้ายกำลังจะหายไป แต่ทันใดนั้นมันกลับบิดม้วนอย่างรุนแรงขึ้นมา
เดิมใบหน้าขาวซีดที่อยู่ในหมอกนั้นมีสีหน้าที่เฉยเมยราบเรียบ มิได้มีอารมณ์ใดๆ แต่ในเวลานี้มันกลับบิดเบี้ยวขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธและความตกตะลึง
มือยักษ์ข้างหนึ่งไม่รู้ปรากฏขึ้นมาจากไหน…คว้าจับหมอกดำสายนั้นเอาไว้
มือยักษ์ข้างนั้นมีสีเขียว
สีเขียวที่ว่านั้นสดใหม่คล้ายกับต้นหญ้า แต่ก็ดูคล้ายศพที่เน่าเปื่อย
เห็นๆ อยู่ว่านั้นเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่กลับรวมเป็นหนึ่งเข้าด้วยกันบนมือยักษ์ข้างนั้น ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง
มือยักษ์สีเขียวกำมือ
หมอกสีดำพยายามดิ้นรนคิดอยากจะหนี แต่กลับไม่สามารถทำได้
ไม่นาน เสียงร้องด้วยความโกรธดังขึ้นอย่างแผ่วเบา หมอกดำพลันสลายหายไป แตกสลายกลายเป็นเพลิงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน
เพลิงวิญญาณเหล่านี้มีระดับชั้นที่สูง ถึงแม้จะเดินทางไกลนับหมื่นๆ ลี้จากดินแดนแห่งหมิงมาจนถึงแผ่นดินเฉาเทียน แต่มันยังคงรักษาสภาพที่ไร้สีเอาไว้ได้อยู่
หากปล่อยให้เพลิงวิญญาณเหล่านี้กระจายตัวอยู่บนภูเขา ก็ยากที่จะถูกผู้บำเพ็ญพรตของมนุษย์มาพบได้ ผ่านไปอีกหลายร้อยปีก็มีโอกาสกลายเป็นวิญญาณร้าย
ที่น่าเสียดายก็คือเพลิงวิญญาณเหล่านี้มิได้โชคดีเหมือนอย่างเพลิงวิญญาณบนยอดเขาเสินม่อเหล่านั้น พวกมันไหลตามสายลมอันรุนแรงสายหนึ่งเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งพร้อมกับเศษหมอกดำที่เหลือ
หมอกดำหายไปจนหมด ทัศนวิสัยกลับมาชัดเจนอีกครั้ง ที่แท้ถ้ำแห่งนั้นคือปากปากหนึ่ง
ในปากปากนั้นมีฟันซี่เล็กๆ งอกอยู่เป็นจำนวนมาก
จมูกของคนผู้นั้นทั้งใหญ่ทั้งกลม ปลายจมูกค่อนข้างแดง ดูคล้ายกับผลแครอทที่ยังไม่โตเต็มที่
ดวงตาของคนผู้นั้นหลุบลึกเหมือนรู
คนผู้นั้นคือชายชราตัวเตี้ย บนร่างกายไร้ซึ่งไอพลัง แต่กลับให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
หลังกลืนกินเพลิงวิญญาณเหล่านั้นจนหมด ชายชราก็มิได้หยุดรั้งรอ แขนทั้งสองข้างสะบัดขึ้น ร่างกายพุ่งทะลุป่าทึบอย่างไร้ซุ่มเสียงราวกับนกยักษ์ตัวหนึ่ง เพียงพริบตาก็กลายเป็นจุดดำเล็กๆ ตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้ง ก็มาอยู่ริมผาที่อยู่ห่างจากเมืองเจาเกอออกมาหลายร้อยลี้
ริมผามีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่
ในมือของชายหนุ่มถือคันเบ็ดไม้ไผ่อยู่คันหนึ่ง ปลายคันเบ็ดมีเชือกเส้นเล็กๆ มัดอยู่ เชือกเส้นเล็กห้อยตกลงไปยังเมฆที่ลอยอยู่ตรงหน้าผา ดูคล้ายกำลังตกปลา
ในเมฆจะมีปลาได้อย่างไร? หรือเขากำลังตกนก?
“นับถือนับถือ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำให้ดินแดนหมิงมารับใช้เจ้าได้ด้วย”
ชายชราตัวเตี้ยมองชายหนุ่มผู้นั้นพลางกล่าวว่า “สามารถสังหารผู้อาวุโสขั้นจิตก่อรูปของสำนักจงโจวจากระยะไกลขนาดนี้ ฝีมือเจ้าปีศาจน้อยของดินแดนหมิงนี่ไม่เลวทีเดียว”
ชายหนุ่มมิได้เหลียวกลับมา สายตาจ้องมองเมฆที่ไหลเอื่อยอยู่ด้านล่างหน้าผา สีหน้ามีสมาธิอย่างมาก
ก้อนเมฆค่อยๆ ปั่นป่วน คล้ายมีจุดสีดำกำลังเคลื่อนผ่านอยู่ด้านใน
นกที่มองไม่เห็นเหล่านั้นกำลังจ้องมองอาหารที่ผูกอยู่บนสายเบ็ด ส่งเสียงร้องอ๊ากอ๊าก ดูหิวกระหายเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มมองดูความวุ่นวายที่อยู่ในเมฆพลางส่ายศีรษะ จากนั้นจึงเริ่มตอบคำถามของชายชรา
“ฝีมือของศิษย์อันดับสามของหมิงซือย่อมต้องไม่ธรรมดา — แม้นจะกล้าส่งแค่เงามาก็ตาม — ไม่อย่างนั้นทำไมข้าถึงต้องขอให้เจ้าลงมือด้วย?”
ชายชราส่งเสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจออกมา จากนั้นกล่าวว่า “เมื่อไรเจ้าถึงจะตกเอาหมิงซือออกมาได้? ข้าไม่ได้เจอเขานานแล้ว คนบนโลกก็ไม่ได้เจอเขานานแล้ว นึกๆ ดูแล้วคงจะน่าสนุกทีเดียว”
ชายหนุ่มกล่าว “ต่างก็เป็นชายแก่ผู้น่าสงสารที่ถูกสำนักชิงซานของข้าเล่นงานจนขวัญหนีดีฝ่อ เจ้าไม่กล้าปรากฏตัว แล้วเขาจะกล้าปรากฏตัวได้อย่างไร?”
ชายแก่นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าชิงซานไม่รู้ว่าข้าออกมาแล้ว?”
“โลกนี้ใครรู้จักชิงซานดีที่สุด?”
ชายหนุ่มเอาคันเบ็ดเสียบไปในซอกหินที่อยู่ริมผา ก่อนจะหมุนตัวมองดูชายชรา จากนั้นยกหัวแม่มือชี้ไปที่หน้าของตน พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไง ข้า…”
เดิมเขามีใบหน้าที่ดูเย็นชาเฉยเมย แต่เป็นเพราะรอยยิ้มนั้นจึงทำให้ใบหน้าดูน่ารักขึ้นมาทันที ทั้งยังให้ความรู้สึกที่ดูเป็นมิตรด้วย
ชายชรามองดูใบหน้านั้น ไม่รู้พลันคิดถึงเรื่องใด เขาถอนใจพลางกล่าวว่า “ข้าหลบอยู่ใต้ดินมาหลายร้อยปี โลกนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก คนอย่างเจ้ากลับได้แต่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ดูแล้วช่างน่าเศร้าเสียจริง”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว กล่าวว่า “พูดมากไปแล้ว”
ชายชราพลันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าอยากกินคนสักสองสามคน ตอนนี้รู้สึกหิวขึ้นมาหน่อยแล้ว เพลิงวิญญาณพวกนั้นไม่มีรสชาติเลย ถึงจะไม่ได้เด็กสาว กินผู้ชายสักสองสามคนก็ยังดี”
“ก็ได้”
ชายหนุ่มรู้สึกจนปัญญา เขาเก็บคันเบ็ดขึ้น พาชายชราเดินออกไปนอกหน้าผา
ชายชราเดินตามติดๆ
ชายหนุ่มเหลือบมองดูเขา กล่าวว่า “ทำไมตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนกำลังเลี้ยงหมาตัวหนึ่งเลย?”
“โฮ่งๆ”
ชายชรากล่าวเอาใจว่า “ขอเพียงเจ้าทำลายชิงซาน กำจัดปัญหาในอนาคตของข้าได้ จะให้ข้าเป็นหมาให้เจ้าไปอีกสามร้อยปีก็ย่อมได้”
ชายหนุ่มกล่าว “อย่างนั้นเจ้าก็ต้องปกป้องข้าก่อน อย่าปล่อยให้ข้าถูกศิษย์ทรยศสองคนนั่นฆ่าได้”
ชายชรายิ้มเจื่อนพลางกล่าว “ตอนนี้ข้าสู้พวกเขาไม่ได้”
“พวกเราถึงต้องรีบหน่อยไง”
ชายหนุ่มถอนใจ ยื่นมือไปลูบหัวชายชรา
ก้อนเมฆที่อยู่ด้านล่างหน้าผาค่อยๆ หยุดนิ่ง เหล่าวิหคค่อยๆ หายไปจนหมด
……
……
ภายในป่าถูกลำแสงกระบี่อันเย็นยะเยือกส่องสว่าง ก่อนจะตามมาด้วยแสงสีทองอันเจิดจ้า
หนานว่างและราชองครักษ์จินมาถึงที่เกิดเหตุเป็นคนแรก ศิษย์ชิงซานที่เหลือทยอยตามมาทีหลัง
เมื่อเห็นศพของคนชุดดำ สีหน้าพวกเขาพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
บนมือของคนชุดดำมีรอยบาดแผลจากกระบี่อยู่ ไอพลังของอาวุธวิเศษยังคงหลงเหลืออยู่อย่างชัดเจน น่าจะเป็นมือสังหารที่ต้องการจะฆ่าเจ้าล่าเยวี่ย
เพียงแต่เหตุใดเขาจึงมาตายอยู่ตรงนี้?
หนานว่างสะบัดแขนเสื้อ
ผ้าที่อยู่บนใบหน้าคนชุดดำถูกดึงออก
ลมหายใจของเขาหยุดลงไปแล้ว ใบหน้าที่ถูกพลังเปลี่ยนแปลงย่อมมิอาจคงอยู่ได้ ใบหน้าที่แท้จริงจึงเผยโฉมออกมา
“เว่ยเฉิงจึ?”
ราชองครักษ์จินตกใจ
สีหน้าของหนานว่างดูแย่อย่างมาก
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
คนที่อยากจะฆ่าเจ้าล่าเยวี่ยนั้นเป็นคนของสำนักจงโจวจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้อาวุโสขั้นจิตก่อรูป
หนานว่างถามว่า “เขาตายได้ยังไง?”
ราชองครักษ์โบกมือ วัตถุที่ดูเหมือนผงทองปลิวกระจายปกคลุมพื้นที่รอบๆ ไปร้อยกว่าจ้าง
ผงทองค่อยๆ หายไป พอจะมองเห็นเป็นภาพบางอย่าง ดูเลือนลางเป็นอย่างมาก แต่จากกลิ่นอายของมันสามารถวิเคราะห์ได้ว่านั่นคือสิ่งใด
เพลิงวิญญาณ!
เหล่าศิษย์ชิงซานพากันส่งเสียงอุทานตกใจออกมา
มารชั่วดินแดนหมิงมาปรากฏตัวที่นี่อย่างนั้นหรือ!
“แข็งแกร่งมาก ด้อยกว่าท่านและข้าไม่เท่าไร อีกทั้งยังเป็นเพียงร่างแยกด้วย”
ราชองครักษ์จินรับรู้ได้ถึงไอพลังที่ยังหลงเหลือของเพลิงวิญญาณ จึงกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
หนานว่างมิได้กล่าวกระไร
มิน่าผู้อาวุโสขั้นจิตก่อรูปของสำนักจงโจวอย่างเว่ยเฉิงจึถึงได้ถูกฆ่าตายเพียงแค่เผชิญหน้า กระทั่งขั้นจิตก่อรูปก็ยังมิอาจหนีได้
เหล่าศิษย์สำนักชิงซานสบตากันมิกล่าวกระไร บรรยากาศอึมครึมยิ่งอีก อีกทั้งยังแปลกประหลาดด้วย
……………………………………………………….
มังกรชางหลง[1] คือหนึ่งในสี่พญามังกร เป็นผู้ปกครองทะเลตะวันออก