มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 96 เริ่มสืบสวนในแสงสีแดง
หุบเขาหมิงชุ่ยไม่เคยมีชื่อเสียงเหมือนอย่างวันนี้มาก่อน แล้วก็ไม่เคยคึกคักเหมือนเช่นวันนี้
ริมธารทั้งสองฝั่ง ป่าภายในหุบเขา ทุกที่้ล้วนเต็มไปด้วยคน เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยดังสลับกันไม่ขาดสาย
กองทัพเสินเว่ยของราชสำนักปิดตายปลายทั้งสองฝั่งของหุบเขาเป็นระยะทางยาวหลายสิบลี้ ลำแสงกระบี่ที่ดุดันและลำแสงของอาวุธวิเศษส่องแสงตัดกันไปมาบนท้องฟ้า
ที่นี่กลายเป็นเขตหวงห้าม
อย่างน้อยมีทหารและแรงงานชาวบ้านนับหลายหมื่นกำลังค้นหาร่องรอยที่เล็กละเอียดที่สุดในรัศมีสองร้อยลี้
เจ้าหน้านี้ที่ของกรมชิงเทียนตรวจสอบอยู่ในพื้นที่ที่สำคัญที่สุดสองสามแห่ง
ไม่ว่าจะเป็นด้านในซากปรักหักพังของอารามเต๋าริมลำธาร ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขา ทุกที่ล้วนแต่มีเจ้าหน้าที่เดินไปเดินมา
ศพของเว่ยเฉิงจึยังคงวางอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท แข็งทื่อราวก้อนหิน
ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรหรือเมืองเจาเกอ สถานะของเขาล้วนแต่ไม่ต่ำต้อย แต่เวลานี้กลับกลายเป็นศพนอนอยู่ในป่ามาครึ่งวันโดยไม่มีใครสนใจ
เพราะเรื่องนี้มันใหญ่อย่างมาก จึงไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนย้ายศพ ด้วยเกรงว่าจะไปทำลายเบาะแสเข้า
ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่าเบื้องหลังการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของมารชั่วดินแดนหมิงนั้นมีแผ่นชั่วอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง เพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนทั้งแแผ่นดินแล้ว
ผู้อาวุโสขั้นจิตก่อรูปของสำนักจงโจววางแผนสังหารเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อของสำนักชิงซาน
ด้วยสถานะของเจ้าล่าเยวี่ยในเวลานี้ เรื่องที่นางถูกลอบสังหารย่อมต้องถูกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือราชสำนักจำเป็นต้องแสดงท่าทีให้ความสำคัญอย่างมากออกมา เพราะทุกคนต่างกังวลเรื่องการตอบสนองของชิงซาน
ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของกรมชิงซานที่ถูกกีดกันจนไร้อำนาจ ซือเฟิงเฉินย่อมต้องถูกผลักให้ออกไปรับมือคดีที่ยากลำบาก แต่อาจจะไม่ได้รับความดีความชอบเช่นนี้
เขาดึงสายตากลับมาจากศพของเว่ยเฉิงจึ ก่อนจะเดินไปยังริมผา สายตามองดูผืนป่าที่ค่อยๆ มีดวงไฟนับหมื่นสว่างขึ้นมา นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร
เจ้าล่าเยวี่ยยังไม่ตาย
แต่มือสังหารของปู้เหล่าหลินกลับตาย ตายด้วยน้ำมือของมารชั่วดินแดนหมิงที่มิได้ย่างกรายเข้ามาในแผ่นดินเป็นเวลาหลายปีแล้ว!
มือสังหารคนนั้นคือผู้อาวุโสของสำนักจงโจว!
สถานการณ์ดำเนินไปไกลกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้
เรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ไม่รู้กี่เท่า
ซือเฟิงเฉินรู้สึกว่าในป่าที่อยู่ไกลออกไป คล้ายมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องตนเองอยู่
ในดวงตาคู่นั้นไม่มีอารมณ์ใดๆ
ร่างกายเขาค่อยๆ รู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา
……
……
ในเมืองเจาเกอ
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองดูกระบี่มิคำนึงที่นอนสงบนิ่งอยู่ในมือ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นที่ส่องประกาย กระบี่มิคำนึงยิ่งดูแดงยิ่งขึ้น คล้ายเพิ่งจะสังหารคนมาอย่างไรอย่างนั้น
ในช่วงเวลาที่วิกฤติที่สุด เจ้าล่าเยวี่ยได้ตัดการเชื่อมต่อกับกระบี่มิคำนึง ให้มันบินกลับมาขอความเชื่อเหลือจากเพื่อนร่วมสำนักในเมืองเจาเกอ
กระบี่มิคำนึงนำข้อความกลับมาส่งยังเรือนซีซาน ทำภารกิจของตนเองเสร็จเรียบร้อย เมื่อไม่รู้จะกลับไปยังที่ใด ก็ย่อมต้องบินตามกลิ่นอายกลับมาอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง
ในเวลานี้ เขาทราบแล้วว่าเจ้าล่าเยวี่ยเกิดเรื่อง
แต่ด้วยสภาวะและความเร็วในการขี่กระบี่ของเขาในตอนนี้ ต่อให้รีบไปก็ไม่ทันการ ดังนั้นเขาจึงไม่ไป
เช่นนั้นหลังจากนี้ ไม่ว่าเจ้าล่าเยวี่ยจะยังมีชีวิตอยู่หรือตาย เขาก็ไม่ต้องไป เพียงแค่รอคอยผลลัพธ์ก็พอ
กำแพงด้านหลังชั้นวางหนังสือเปิดออกอย่างไร้ซุ่มเสียง ลู่กั๋วกงเดินออกมาจากด้านใน สีหน้าเคร่งเครียด มุมขมับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เขาเดินมาด้านหลังจิ๋งจิ่ว กล่าวรายงานว่า “ท่านเจ้าแห่งยอดเขาถูกส่งกลับไปยังเรือนตระกูลเจ้า ราชองครักษ์จินมาคอยคุ้มครองด้วยตนเอง คนอื่นๆ กลับไปยังเรือนซีซานแล้วขอรับ”
หลังได้ทราบเรื่องนี้ในตอนที่อยู่ที่วัดไท่ฉาง กระทั่งเขาซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความใจเย็นทำอะไรเรียบง่าย ก็ยังตกใจจนพูดอะไรไม่ออกเป็นเวลานาน จากนั้นรีบเดินทางเข้าไปในวัง
มิใช่เป็นเพราะความสัมพันธ์ของเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่ว หากแต่เป็นเพราะสถานะของเจ้าล่าเยวี่ยและความสำคัญของเรื่องนี้
หากสำนักชิงซานไม่สามารถใจเย็นได้ สำนักจงโจวจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? โลกแห่งการบำเพ็ญพรตโกลาหลขึ้นมา ราชสำนักจะอยู่นิ่งได้อย่างไร? ประชาชนบนโลกจะทำอย่างไร?
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวอะไร
เขายืนอยู่ท่ามกลางแสงสีแดง
ลู่กั๋วกงไม่ทราบว่านั่นคือแสงสีแดงที่กระบี่มิคำนึงปล่อยออกมา เขาคิดว่าเป็นแสงอาทิตย์ยามเย็นที่สองเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่าง
เมื่อมองดูแผ่นหลังของจิ๋งจิ่ว เขารู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด เอวของเขาโค้งงอขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ในความคิดของเขา จิ๋งจิ่วน่าจะเป็นผู้สืบทอดของเจ้าของป้ายไม้นี้ อายุยังน้อย สภาวะก็มิได้สูงอะไรนัก
แต่มิรู้เป็นเพราะเหตุใด จิ๋งจิ่วเพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆ แบบนี้ แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันทางจิตใจอันหนักหน่วง
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่เป็นไรก็ดี เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
ลู่กั๋วกงมิกล้ากล่าวอะไรมาก หลังทำการคารวะแล้วก็เดินลงทางลับใต้ดินกลับไป
จิ๋งจิ่วเดินออกมาจากหน้าต่าง สองมือสะบัดเบาๆ กระบี่มิคำนึงเปลี่ยนกลับเป็นโซ่กระบี่อีกครั้ง ก่อนจะลอยมาอยู่บนข้อมือของแล้วเปลี่ยนกลับเป็นสร้อยข้อมือ
เขาเดินมาที่หน้าชั้นหนังสือ หยิบกระบี่เหล็กไปสะพายไว้ด้านหลัง จากนั้นเดินออกจากเรือนไป
……
……
เรือนตระกูลเจ้าแสงไฟส่องสว่าง
บนถนนไม่มีคน แต่บรรยากาศที่ตึงเครียดและเยียบเย็นกลับอบอวลจนคล้ายจะจับต้องได้
ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือของราชสำนักมากน้อยเท่าไรแอบซ่อนตัวอยู่ในความมืด แต่แน่นอนว่าย่อมต้องมีศิษย์ของสำนักชิงซานด้วยเช่นกัน
จิ๋งจิ่วเดินมาถึงหน้าประตูบ้านตระกูลเจ้า เหยียบขึ้นไปบนบันไดหิน ไอพลังที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดบนถนนเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ก่อนจะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
ประตูบ้านถูกเปิดออก ผู้ดูแลคนนั้นมองดูเขาด้วยสีหน้าที่ระมัดระวังและหวาดกลัว พลางกล่าวว่า “วันนี้ในบ้านมีเรื่อง..”
คำพูดยังมิทันกล่าวจบ เขามองเห็นใบหน้านั้น จึงคิดถึงข่าวลือที่มาจากทางเรือนอีกหลังหนึ่งเมื่อสามวันก่อน สีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบเปิดทางเชิญจิ๋งจิ่วเข้ามา
ในบ้านตระกูลเจ้าเงียบสงัด เหล่าสาวใช้และคนใช้ผู้ชายน่าจะถูกสั่งให้อยู่แต่ในห้องของตน จึงมองไม่เห็นใคร แล้วก็ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาเหมือนอย่างปกติด้วย
เมื่อมาถึงด้านนอกเรือนเล็กที่อยู่ด้านในสุด ผู้ดูแลคนนั้นถอยออกไป จิ๋งจิ่วเดินเข้าไป ก่อนจะมองเห็นชายรูปร่างอ้วนเตี้ยผู้หนึ่ง
ชายอ้วนเตี้ยสวมชุดสีทอง สองแสงระยิบระยับในช่วงเวลายามค่ำคืน
แต่แน่นอน ต่อให้เขาไม่สวมเสื้อชุดนี้ ตัวเขาก็ยังคงมีแสงสีทองเปล่งประกายออกมา เพราะไอพลังของเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังสว่างไสว
จิ๋งจิ่วทราบว่าคนผู้นี้คือราชองครักษ์จินแห่งวังหลวง สองครั้งก่อนมิได้เห็นเขาอยู่ข้างกายฮ่องเต้ แต่เคยได้ยินฮ่องเต้ตรัสถึงเขา ว่ากันว่าจงรักภักดีต่อราชวงศ์เป็นอย่างมาก
ดูเหมือนสภาวะและความสามารถของราชองครักษ์จินจะไม่เลวจริงๆ
คืนนี้เขามาคอยคุ้มครองเจ้าล่าเยวี่ย เพราะฝ่าบาททรงต้องการแสดงออกว่าพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
แต่แน่นอน จิ๋งจิ่วรู้ว่านี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงเริ่มสงสัยบางคนแล้วเช่นกัน
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจคนผู้นี้ เขามองไปยังบิดาของเจ้าล่าเยวี่ยที่เดินออกมา พยักหน้าทักทายเล็กน้อย สายตาหยุดอยู่บนใบหน้าฮูหยินครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง
……
……
บรรยากาศในเรือนซีซานนั้นมีความตึงเครียดมากกว่าเรือนตระกูลเจ้า แล้วก็มีความกดดันมากกว่าด้วย ทุกอย่างเงียบสงัด แม้นในห้องจะมีคนอยู่มากมาย
หนานว่างนั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าเย็นยะเยือกราวน้ำแข็ง ศิษย์ที่ไม่ได้ไปเรือนตระกูลเจ้าล้วนแต่อยู่ที่นี่ สีหน้าล้วนเคร่งเครียด
เหอกั๋วกงเป็นตัวแทนราชสำนักเดินทางมาที่นี่ ตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงตอนนี้มิได้จากไปไหน คนที่มาที่นี่พร้อมกับเขายังมีสมณะสูงศักดิ์ของวัดกั่วเฉิง
การที่เลือกสมณะรูปนี้มานั้นมีความน่าสนใจอย่างมาก เพราะสมณะรูปนี้คือหัวหน้าอารามหลี่ว์ถัง ซึ่งมีความสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิดกับสำนักชิงซาน
เจ้ากรมชิงเทียนรีบเดินทางกลับมาจากหุบเขาหมิงชุ่ย สีหน้าคร่ำเครียดเป็นอย่างมาก เขายกมือคารวะไปรอบด้าน ก่อนจะรายงานสถานการณ์ล่าสุดออกมารอบหนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “เมื่อใช้คันฉ่องลายสวรรค์ที่ยืมมาจากในวังทำการตรวจสอบดูอีกครั้ง พบว่าคนที่ฆ่าเว่ยเฉิงจึคือเพลิงแห่งหมิงจริงๆ ขอรับ ยิ่งไปกว่านั้นระดับยังสูงอย่างมากด้วย ส่วนเรื่องหลังจากนั้นยังต้องสืบต่อไปอีกขอรับ”
หนานว่างกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากได้ยิน”
เหอกั๋วกงรีบกล่าว “ราชองครักษ์จินมาคุ้มครองด้วยตัวเอง เจ้าแห่งยอดเขาจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ เมืองเจาเกอปลอดภัยเป็นอย่างมาก ส่วนเรื่องคดีนั้น กรมชิงเทียนจะต้องจัดการสืบสวนอย่างเต็มที่แน่นอน”
หนานว่ามองดูเขาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน พลางกล่าวว่า “คนที่คิดจะทำร้ายเจ้าแห่งยอดเขาของชิงซานคือผู้อาวุโสของสำนักจงโจวของพวกท่าน มีใครไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของสำนักจงโจวกับราชสำนักบ้าง? ในกองทัพเสินเว่ยมีศิษย์นอกสำนักของเขาอวิ๋นเมิ่งอยู่เท่าไร? หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้ากรมชิงเทียนท่านนี้ก็เป็นศิษย์ของสำนักจงโจวใช่หรือเปล่า? ตอนนี้ท่านมาบอกข้าว่าเมืองเจาเกอปลอดภัยอย่างมาก? ส่วนเรื่องคดี ท่านมอบหมายให้กรมชิงซานไปจัดการ มันไม่เท่ากับว่ามอบหมายให้สำนักจงโจวไปจัดการเองหรอกหรือ? แล้วอย่างนี้ยังจะสืบหาอะไรอีก!”
……………………………………………………………