มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 10 ความตายเหมือนควันที่ลอยล่องขึ้นมา
จิตทารกของลั่วไหวหนานหยุดดิ้นรน
ตาข่ายแสงที่เหมือนกระดานหมากล้อมนั้นก็มิได้หดเล็กลงอีก
จิตทารกลอยอยู่เหนือขวดเล็กสีเขียว เมื่อเห็นถงเหยียนเดินมาถึงหน้าโต๊ะ บนใบหน้าเผยให้เห็นอารมณ์ที่ไม่เข้าใจ
อารมณ์เช่นนี้ดูจืดจาง เพราะจิตทารกเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ เดิมมันก็จืดจางอยู่แล้ว
ถงเหยียนนั่งลงบนม้าหิน สองตาอยู่ระดับเดียวกับจิตทารกพอดี
ใบหน้าของถงเหยียนคล้ายคลึงกับลั่วไหวหนาน แต่ดูอ่อนเยาว์กว่าอย่างเห็นได้ชัด ภาพจิตทารกเผชิญหน้ากับใบหน้าของถงเหยียนในระยะใกล้ดูค่อนข้างน่าสนใจ
“ที่แท้เจ้าก็แอบฝึกจนกลายเป็นจิตทารกขึ้นมาได้แล้ว มิน่าในสามปีนี้จึงมิค่อยได้อยู่ที่เขาอวิ๋นเมิ่ง ดูเหมือนนี่จะเป็นทางถอยเส้นสุดท้ายที่เจ้าเตรียมเอาไว้ให้ตัวเองสินะ?”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร ยังไม่รีบปล่อยข้าไปอีก?”
“ข้าหมายความว่าเจ้าทำให้ศิษย์น้องตาย ดังนั้นจิตใจจึงไม่สงบ รู้สึกผิดบาป หวาดกลัวเป็นอย่างมาก กระทั่งฝึกจนจิตก่อเป็นทารกก็ยังมิกล้าให้อาจารย์ทั้งสองท่านรับรู้”
ลั่วไหวหนานนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ศิษย์น้องต้องมาตายเพราะช่วยข้า จะบอกว่าข้าทำให้นางต้องตายก็ดูมิผิดนัก”
ถงเหยียนส่ายศีรษะ กล่าวว่า “เจ้าเข้าใจความหมายของข้า ไยต้องกล่าวคำพูดเหล่านี้อีก”
จิตทารกกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “หรือเจ้าอยากจะบอกว่าข้าฆ่าศิษย์น้อง!”
ถงเหยียนกล่าว “หากมิได้เป็นเช่นนั้น แล้วเจ้ากลัวอะไร? เหตุใดฝึกจนกลายเป็นจิตทารกแล้วต้องปิดบังทุกคนด้วย?”
จิตทารกจ้องดวงตาเขา กล่าวว่า “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? เหตุใดข้าต้องฆ่าศิษย์น้องด้วย?”
ถงเหยียนกล่าว “ย่อมเป็นเพราะตราประทับหมื่นลี้”
จิตทารกเผยให้เห็นสีหน้าขบขัน กล่าวว่า “ตราประทับหมื่นลี้มีสองชิ้น!”
“กระทั่งอาจารย์ก็ยังไม่ทราบว่าเจ้าสำนักได้แอบเอาตราประทับหมื่นลี้ของเขามอบให้ศิษย์น้องเอาไว้ ตราประทับอันนี้ย่อมต้องเตรียมเอาไว้ให้เจ้า หากกระทั่งเจ้าเองก็ยังไม่ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ เช่นนั้นเจ้าก็มีเหตุผลที่จะสังหารคนเพื่อชิงตราประทับ นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่มากกว่านั้น นั่นคือถึงแม้ตราประทับหมื่นลี้จะมีสองชิ้น แต่พวกเจ้ามีสามคน จะแบ่งกันอย่างไร?”
น้ำเสียงของถงเหยียนราบเรียบ สีหน้าเองก็นิ่งเฉย คล้ายกำลังบรรยายเรื่องราวที่เป็นเรื่องปกติเรื่องหนึ่ง
จิตทารกยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “ล้วนแต่เป็นข้ออ้างทั้งนั้น เจ้าก็แค่อิจฉาข้า เพราะศิษย์น้องยอมตายเพื่อให้ข้ามีชีวิตรอด!”
ถงเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “จากเรื่องราวที่เจ้าเล่ามาแล้ว คนที่ข้าอิจฉาควรจะเป็นจิ๋งจิ่วต่างหาก”
จิตทารกกล่าว “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ถงเหยียนกล่าว “เจ้าสำนักรักเจ้ามาก อาจารย์เองก็เสียใจอย่างมาก มิได้สงสัยเจ้าเลย แต่ข้าไม่เหมือนกัน ข้าไม่ชอบเจ้า ช่วงเวลาสามปีนี้้ข้าเก็บตัวก็เพราะครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ คิดว่าเจ้าจะแสดงเป็นคนอย่างไรในเรื่องนี้ หลังคิดเข้าใจแล้ว ข้าก็เริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะฆ่าเจ้าอย่างเงียบๆ ได้”
ภายในถ้ำพลันเงียบสงัด
ไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้นเป็นเวลาครู่ใหญ่
เส้นแสงที่สะท้อนออกมาจากขวดสีเขียวมรกตเหล่านั้นทำให้ผนังหินดูคล้ายดินแดนหมิงก็มิปาน
เดิมแสงจากจิตทารกของลั่วไหวหนานก็สลัวอยู่แล้ว ในเวลานี้ถูกแสงสีเขียวฉาบลงไปจึงทำให้ยิ่งดูน่ากลัว
“กับดักนี้…เจ้าเป็นคนวางมันขึ้นมาจริงๆ ด้วยสินะ”
“ถูกต้อง มิได้เกี่ยวอะไรกับพวกกั้วหนานซานเลย ความจริงแล้วกับดักนี้ง่ายอย่างมาก ข้าเพียงแค่พูดอะไรสองสามประโยคบนยอดเขาเหลี่ยงว่าง คนฉลาดที่ไม่ชอบทำอะไรตามปกติอย่างหม่าหวาย่อมต้องคิดถึงวิธีนี้ได้แน่นอน”
น้ำเสียงของถงเหยียนเรียบเฉย มิได้มีทีท่าเย้ยหยัน
จิตทารกนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ไอหมูอ้วนนั้นถูกเจ้าชักไยเหมือนหุ่นเชิด แต่กลับยังหลงลำพองอวดดี”
ถงเหยียนกล่าวว่า “หลิ่วสือซุ่ยสามารถสังหารกั้วหนานซานได้ ศิษย์สำนักเดียวกันห้ำหั่นกันนั้นเป็นเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นอย่างมาก แต่หม่าหวาจะต้องเสนอชื่อเจ้าแน่นอน เพราะเขาอยากจะเอาใจเจ้า”
จิตทารกกล่าว “เรื่องที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้ มีอะไรให้น่าเอาใจ?”
ถงเหยียนกล่าว “หม่าหวารู้ว่าเจ้าชอบมีชื่อเสียง จะต้องรับขอเสนอของเขาแน่ กระทั่งอาจจะกล่าวขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำ ข้าเคยแล้วบอกว่าเขาเป็นคนฉลาดจริงๆ”
จิตทารกกล่าว “ข้าไม่เข้าใจ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหลิ่วสือซุ่ยจะใช้โอกาสนี้สังหารข้าจริงๆ?”
“ในตอนที่หลิ่วสือซุ่ยถูกขับออกจากชิงซาน การแสดงออกของจิ๋งจิ่วได้ยืนยันถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาแล้ว”
ถงเหยียนกล่าว “พวกเราต่างรู้ว่าหลิ่วสือซุ่ยเป็นคนอย่างไร ดังนั้นถึงได้เลือกให้เขาไปยังปู้เหล่าหลิน แล้วคนแบบนี้จะไม่ทำอะไรเพื่อจิ๋งจิ่วได้อย่างไร?”
จิตทารกกล่าวว่า “แต่ปัญหาคือเขารู้ได้อย่างไรว่าข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของจิ๋งจิ่ว? แล้วยังมีเจ้าล่าเยวี่ยอีก ข้ารู้ว่าเจ้าเคยไปยังยอดเขาเสินม่อ แล้วเจ้าไปพูดกล่อมนางได้อย่างไร?”
ถงเหยียนกล่าว “ข้าไม่จำเป็นต้องพูดกล่อมนาง เพราะนางไม่เคยเชื่อเรื่องที่เจ้าเล่ามาอยู่แล้ว หลิ่วสือซุ่ยรู้จักจิ๋งจิ่วดี ย่อมต้องไม่มีทางเชื่อเช่นกัน”
จิตทารกกล่าว “หรือว่าเจ้าเองก็รู้จักจิ๋งจิ่วดี?”
ถงเหยียนกล่าว “ข้าเคยเล่นหมากล้อมกับเขา ข้าไม่เคยเจอคนที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน”
จิตทารกกล่าวเยาะเย้ยเล็กน้อย “สมแล้วที่เป็นคนเล่นหมากล้อม ชอบที่จะครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ แต่ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าจะวางแผนฆ่าข้าเพื่อจิ๋งจิ่ว”
ถงเหยียนกล่าว “ข้าทำเพื่อศิษย์น้อง”
จิตทารกนิ่งเงียบไปครู่ จู่ๆ พลันกล่าวขึ้นมาว่า “อย่าฆ่าข้า”
ถงเหยียนกล่าว “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีเหตุผลอะไรมากล่อมข้าได้”
จิตทารกกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ถ้าความดีความชั่วสามารถนับได้ ข้าจะต้องเป็นคนดีอย่างแน่นอน เพราะข้าทำเรื่องดีเอาไว้นับไม่ถ้วน เพียงแค่เคยทำเรื่องไม่ดีเรื่องเดียวเท่านั้น ถึงแม้นจะทำเพื่อให้การตายของศิษย์น้องมีคุณค่ามากขึ้น แต่เจ้าก็ควรจะไว้ชีวิตข้า ตอนนี้ข้าสำนึกผิดจริงๆ แล้ว หรือสามปีที่ผ่านมาข้ายังพิสูจน์ตัวเองไม่พอ?”
ถงเหยียนกล่าว “นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าคิดไม่เข้าใจเช่นกัน เจ้าทำเรื่องที่ไร้ยางอายเช่นนี้ เหตุใดถึงยังสามารถรักษาใจแห่งเต๋าเอาไว้ได้? การแสดงออกของเจ้าในช่วงสามปีนี้แปลกประหลาดเกินไป รวมไปถึงเรื่องที่เจ้าเห็นด้วยกับแผนการของยอดเขาเหลี่ยงว่าง ยอมถูกหลิ่วสือซุ่ยทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ตัวเจ้าที่เป็นแบบนี้กล้าหาญเกินไป คล้ายคิดอยากจะเป็นคนอย่างเทพดาบจริงๆ นั่นเพราะเหตุใด?”
จิตทารกกล่าวถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้เจ้าคิดออกหรือยังว่าเป็นเพราะเหตุใด? ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน”
ถงเหยียนกล่าว “เป็นเพราะเจ้ากระหายความเจ็บปวดและการถูกทำร้าย เพื่อใช้มันลดทอนความรู้สึกผิดบาปในอดีต ถึงได้ทำให้ใจแห่งเต๋าของเจ้าสงบลงได้”
จิตทารกนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ กล่าวว่า “อย่างนี้นี่เอง”
“เพราะเหตุใด? ตอนนี้เจ้าสามารถเผชิญหน้ากับความตายได้อย่างไม่หวาดหวั่น แต่ตอนนั้นกลับเลือกที่จะทำเรื่องที่น่าขายหน้าเช่นนั้น?”
ถงเหยียนจ้องมองดวงตาของจิตทารกพลางกล่าวถาม
จิตทารกของลั่วไหวหนานเกิดขึ้นมาใหม่ อ่อนแอเป็นยิ่งนัก ในกับดักนี้ควรจะตายไปแต่แรกแล้ว ที่เขายังสามารถรอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้ได้เป็นเพราะถงเหยียนอยากจะรู้คำตอบ
จิตทารกถอนใจพลางกล่าว “ต่อหน้าความเป็นความตาย เร่าร้อนง่าย ใจเย็นยาก”
ถงเหยียนกล่าว “เจ้าอยู่ในท้องหนอนนานเท่าไร?”
“ถ้าเอาตรงๆ ก็ไม่ถึงครึ่งวัน แต่ความรู้สึกข้ากลับเหมือนครึ่งชีวิต
ลั่วไหวหนานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวต่อว่า “สภาวะการบำเพ็ญเพียรยิ่งสูง อารมณ์ก็ยิ่งน้อยลง แต่อารมณ์เช่นนี้ข้ากลับสลัดทิ้งไปไม่ได้”
อารมณ์ที่ว่าก็คือความหวาดกลัวในความตายของตัวเอง
การอุทิศตนอันงดงาม การเสียสละอันกล้าหาญ ต่างก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน
ลั่วไหวหนานไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง เขาเพียงแต่ทำการตัดสินใจของตัวเองออกไป
“ความจริงในตอนที่เจ้าถามคำถามนี้กับข้า ข้าถึงได้เข้าใจแล้วว่าตัวเองนั้นมิได้ผิด ผู้บำเพ็ญพรตนั้นควรจะปรารถนาในการมีชีวิตอยู่และหวาดกลัวต่อความตาย”
เขากล่าวว่า “ความผิดพลาดเพียงหนึ่งเดียวของข้าก็คือ ข้าไม่ควรจะเผชิญหน้ากับการทดสอบความเป็นความตายอย่างโง่เขลาและไร้ซึ่งความหวาดกลัว หากแต่ควรจะหลบหลีกไปให้ไกล”
ถงเหยียนกล่าว “บางทีสิ่งที่เจ้าพูดมาอาจจะมีเหตุผล แต่ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย แต่กลับไม่ผ่านการทดสอบ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน”
ลั่วไหวหนานนิ่งเงียบไปนาน ก่อนกล่าวว่า “หากชาติหน้ามีจริง หวังว่าจะยังได้พบกันอีก”
เปลือกตาของถงเหยียนตกลงเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “อย่าดีกว่า”
เส้นลำแสงหลายสิบเส้นที่เป็นเหมือนกระดานหมากล้อมตกลงไปด้านล่าง
เสียงซู่ๆ ดังขึ้นติดต่อกัน
ควันสายหนึ่งลอยล่องขึ้นมา
……………………….