มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 11 โปรดตอบคำถามนี้
เมืองกุ้ยอวิ๋นเป็นเมืองธรรมดา แต่หลังผ่านไปคืนหนึ่งมันกลับกลายเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน
ตั้งแต่รุ่งสาง สายตาจำนวนนับไม่ถ้วน รถม้าบินและลำแสงกระบี่ต่างทยอยกันบินลงมาในเมือง
บรรยากาศภายในเมืองกดดันและตึงเครียดอย่างมาก กระทั่งสุนัขก็มิกล้าเห่าหอน นั่งขดหางอยู่ในโพรง
น้ำค้างเปียกชื้นบนแผ่นอิฐสะท้อนเงาคนจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากมายเท่าไรกำลังเดินค้นหาตามตรอกซอกซอย
กรมชิงเทียนเริ่มทำการสืบสวน ห้ามมิให้ชาวเมืองคนไหนออกไปจากเมือง เรือนพักหลังเล็กที่กลายเป็นเศษซากกลายเป็นพื้นที่หวงห้าม มิอนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้
ในเศษซากมีแสงสว่างของไข่มุกวิเศษสว่างขึ้นมาเป็นช่วงๆ บางครั้งก็จะได้ยินเสียงหอบหายใจหนักๆ ของสุนัขดมกลิ่น
เหล่าศิษย์ของสำนักจงโจวเฝ้าอยู่รอบด้านซากปรักหักพัง ในสายตาเต็มไปด้วยเพลิงแค้นและความเศร้าเสียใจ เมื่อมองลึกเข้าไปจะเห็นถึงความรู้สึกสับสน
ศิษย์พี่ใหญ่ตายแล้วหรือ? เป็นไปได้อย่างไร?
ชายชรารูปร่างผอมแห้งลอยอยู่บนอากาศเหนือซากบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจ้าง สีหน้าดูแย่อย่างถึงที่สุด ร่างกายแผ่ไอพลังที่ดูอึมครึมออกมา
เขาคือผู้อาวุโสแห่งสำนักจงโจวเหรินเชียนจู๋ สภาวะลึกล้ำเหนือประมาณ บรรลุสภาวะขั้นแปรจิตระดับสูงสุดนานแล้ว
ทุกคนต่างจินตนาการได้ว่าการตายของลั่วไหนหนานจะสร้างผลกระทบให้แก่สำนักจงโจวอย่างไร แล้วก็จินตนาการได้ถึงอารมณ์ของเหรินเชียนจู๋ในเวลานี้
อย่าว่าแต่พูดปลอบเลย กระทั่งมองหน้าก็ยังไม่มีใครกล้ามอง
เหรินเชียนจู๋พลันหยุดแผ่ไอพลัง มองไปยังทิศทางที่แสงอาทิตย์สีแดงปรากฏขึ้นมา กล่าวว่า “มาแล้ว”
เจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างกายเขาได้ยินเช่นนี้พลันรู้สึกงุนงง ก่อนจะมองตามเขาไป
เจ้าหน้าที่ผู้นี้คือเจ้ากรมชิงเทียนจางอี๋อ้าย เป็นคนสำคัญในราชสำนัก เมื่อได้ยินข่าวร้ายจึงรีบเดินทางมาทันที
ก็เหมือนกับเจ้ากรมชิงเทียนคนก่อนๆ เขาเองก็เติบโตมาจากสำนักจงโจว
ภายใต้แสงอาทิตย์สีแดงทางฝั่งตะวันออกมีเกี้ยวเล็กม่านสีเขียวหลังหนึ่งปรากฏขึ้นมา
จางอี๋อ้ายมิรู้ว่าคนในเกี้ยวคือผู้ใด ในใจครุ่นคิดว่าหรือเกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ขึ้น เจ้าสำนักและฮูหยินของสำนักจงโจวก็ยังไม่มา?
สภาวะของเหรินเชียนจู๋ลึกล้ำ สถานะเองก็สูงส่งอย่างมาก แต่เขากลับแสดงความเคารพต่อเกี้ยวหลังเล็กหลังนั้นอย่างมาก กล่าวว่า “รบกวนผู้อาวุโสด้วยขอรับ”
สายลมยามเช้าพัดผ่านผ้าม่านสีเขียว ภายในเกี้ยวมีเสียงที่อ่อนโยนลอยออกมา ขอให้สหายสำนักจงโจวอย่าได้เศร้าเสียใจ จากนั้นก็บอกว่านางต้องการตรวจสอบดูอย่างเงียบๆ
เหรินเชียนจู๋พาเกี้ยวเล็กผ้าม่านเขียวเข้าไปในซากปรักหักพักของเรือนเล็กหลังนั้น จากนั้นก็พาศิษย์ของสำนักหลบออกมายังด้านนอกถนน
จางอี๋อ้ายกล่าวถามเสียงเบาๆ “ศิษย์พี่ ท่านนั้นคือ?”
เหรินเชียนจู๋กล่าวว่า “ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย”
จางอี๋อ้ายได้ยินพลันตกตะลึง ในใจครุ่นคิดว่าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมีสถานะสูงส่งแค่ไหน แต่ก็ยังรีบรุดมายังเมืองกุ้ยอวิ๋นรวดเร็วขนาดนี้ นี่จะต้องเป็นเพราะเจ้าสำนักจงโจวเป็นคนออกหน้าไหว้วานด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
สายตาเขาทอดข้ามกำแพงที่พังลงมาครึ่งหนึ่ง มองไปยังเกี้ยวเล็กที่มีผ้าม่านสีเขียว ในใจเกิดความหวังขึ้นมา — ฆาตกรปกปิดกลิ่นอายต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม กรมชิงเทียนใช้ของวิเศษชนิดต่างๆ ก็ไม่สามารถตรวจหาร่องรอยใดๆ ได้ น่าจะเป็นยอดฝีมือในวงการนักฆ่า แต่สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเชี่ยวชาญวิชาเชื่อมต่อสองโลก จะต้องพบเจอเบาะแสแน่นอน
“เหตุใดเมื่อคืนนี้ในเมืองถึงได้มีผู้บำเพ็ญพรตเยอะขนาดนี้?” เหรินเชียนจู๋ถาม
จางอี๋อ้ายได้รับรายงานมาจากลูกน้อง จึงเล่าเรื่องภายในงานประมูลของหอเจินชี่ให้ฟัง
เหรินเชียนจู๋สีหน้าเย็นยะเยือกขึ้นเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าจะไปดูคนเหล่านั้นหน่อย”
จางอี๋อ้ายคิดถึงเรื่องยุ่งยากนั้นขึ้นมา จึงกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “เรื่องอื่นน่ะไม่เป็นไร เพียงเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อของชิงซานอยู่ที่นั่นด้วย ขอศิษย์พี่อย่าได้วู่วาม”
เหรินเชียนจู๋ได้ยินเช่นนี้จึงตกตะลึงเล็กน้อย กล่าวถามว่า “เหตุใดนางถึงมาอยู่ที่นี่?”
ในเวลานี้เกี้ยวเล็กผ้าม่านเขียวได้ออกมาจากซากปรักหักพังแล้ว
จางอี๋อ้ายยังไม่ทันได้ตอบ รีบเดินมายังหน้าเกี้ยวพร้อมกับเหรินเชียนจู๋
“มีร่องรอยของเพลิงปีศาจ แล้วยังมีกลิ่นอายของพลังปีศาจโลหิต น่าจะเป็นฝีมือพรรคมาร เพียงแต่ยังมีปัญหาอีกสองข้อที่ข้าไม่เข้าใจ”
เสียงอันอ่อนโยนภายในเกี้ยวค่อยๆ เบาลง คล้ายว่าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยผู้นี้ก็รู้สึกแปลกใจเช่นเดียวกัน
สีหน้าของจางอี๋อ้ายและเหรินเชียนจู๋แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง มิกล้ากล่าวคำพูดใดๆ ออกมา
“ในนั้นมีเจตน์กระบี่สายหนึ่งที่เบาบางอย่างมาก แต่…มันเป็นของชิงซาน ส่วนเจตน์กระบี่อีกสายหนึ่งเห็นๆ อยู่ว่าแปลกหน้า แต่ข้ากลับรู้สึกเหมือนว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จางอี๋อ้ายพลันรู้สึกว่าสายลมยามเช้าที่ตกกระทบลงบนใบหน้านั้นช่างหนาวเย็นเป็นยิ่งนัก คล้ายดั่งบาดลึกลงไปในผิวหนัง
ในอดีตเจ้าล่าเยวี่ยเคยถูกผู้อาวุโสขั้นจิตก่อรูปของสำนักจงโจวลอบสังหารในหุบเขาหมิงชุ่ย เกิดเป็นความวุ่นวายครั้งใหญ่
แต่วันนี้ลั่วไหวหนานได้ตายลงแล้ว!
เขาเติบโตมาจากสำนักจงโจว แต่กลับเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก เขาย่อมต้องไม่ยอมให้เรื่องราวดำเนินไปในทิศทางนั้นอย่างแน่นอน
เหรินเชียนจู๋ได้ยินประโยคนี้ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นเฉยชาขึ้นกว่าเดิม หรือเรียกได้ว่าเย็นชา เขาโน้มกายคารวะเกี้ยวเล็กผ้าม่านเขียวหลังนั้น พลางกล่าวว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสขอรับ”
ภายในเกี้ยวมีเสียงถอนใจดังออกมา ก่อนจะบินทวนสายลมยามเช้าขึ้นไป จากนั้นค่อยๆ หายไปในท้องฟ้าสีแดงยามรุ่งอรุณ
จางอี๋อ้ายมิได้ลังเล เขาหมุนตัวมาขวางไว้ด้านหน้าของเหรินเชียนจู๋ จ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ได้โปรดใจเย็นก่อน!”
เหรินเชียนจู๋ส่งเสียงเหอะ สะบัดแขนเสื้อสองข้างด้วยความโกรธ
จางอี๋อ้ายยากที่รั้งต่อไปได้ จำต้องหลีกทางอย่างจนปัญญา
ร่างกายของเหรินเชียนจู๋พลันหายไปจากตำแหน่งที่เขายืนอยู่แต่เดิม
……
……
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ
ภายในหอเจินชี่ที่อยู่ห่างออกมาสิบลี้มีลมสายหนึ่งพัดขึ้นมา
ร่างกายของเหรินเชียนจู๋ปรากฏขึ้น เขามองขึ้นไปด้านบนพร้อมตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าล่าเยวี่ยออกมา!”
เสียงตะโกนนี้ดังสนั่นราวสายฟ้าฟาด เป็นเวลานานก็ยังไม่หยุดลง
ภายในหอเกิดเป็นลมคุ้มคลั่ง เสาคานส่งเสียงดังออดแอด ป้ายด้านหน้าร่วงตกลงมา ฝุ่นควันคละคลุ้ง ราวกับจะถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น
เจ้าแห่งหอเจินชี่เพิ่งจะเดินทางมาถึงที่นี่ในช่วงรุ่งสาง และกำลังปวดหัวกับเรื่องนี้อยู่ เมื่อพบว่ามีคนมาก่อความวุ่นวาย เขาจึงโมโหถึงขีดสุด สะบัดแขนเสื้อเดินมายังริมรั้ว จากนั้นมองลงมายังเบื้องล่าง ทันทีที่เห็นเหรินเชียนจู๋ สีหน้าเขาพลันแปรเปลี่ยน รีบคุกเข่าลงไปกับพื้นทันที
ผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ เห็นภาพเหตุการณ์นี้ จึงคาดเดาได้ถึงสถานะของชายชราผู้นี้ สีหน้าเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว รีบทำการคารวะพลางหลีกทาง จากนั้นมองขึ้นไปยังด้านบนหอ
ชั้นบนสุดของหอมีเสียงเปิดประตูดังขึ้น
เจ้าล่าเยวี่ยก้าวออกมา กู้ชิงเดินตามอยู่ด้านหลังนาง
นางเดินมาริมรั้ว สายตามองลงมายังผู้อาวุโสของสำนักจงโจวผู้นั้น สีหน้าเฉยชา
……
……
“เมื่อคืนยามจึชู[1] เจ้าอยู่ที่ไหน?”
เหรินเชียนจู๋จ้องมองเจ้าล่าเยวี่ยที่อยู่ด้านบนพลางถาม สายตาเย็นยะเยือกจนถึงขีดสุด
ยามจึชูคือเวลาที่ศิษย์สำนักเป่ยซีที่เฝ้าอยู่ด้านนอกยืนยันมา แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่ทั้งเมืองกุ้ยอวิ๋นได้ยินเสียงดังสนั่น
แล้วก็เป็นช่วงเวลาตายของลั่วไหวหนาน
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้กล่าวกระไร
“ท่านมาขอความช่วยเหลือหรือว่ามาสอบปากคำ?”
กู้ชิงสืบเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว มายังริมรั้วพลางกล่าวว่า “หากเป็นอย่างแรก บางทีพวกข้าอาจจะให้ความร่วมมือได้ แต่หากเป็นอย่างหลัง ท่านมีสิทธิ์อะไรมาถามเช่นนั้น?”
เหรินเชียนจู๋มิได้สนใจเขา หากแต่จ้องมองเจ้าล่าเยวี่ย พลางกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ในบรรดาคนร้ายที่ัสังหารศิษย์หลานลั่วได้ทิ้งเจตน์กระบี่ของชิงซานเอาไว้ เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ภายในหอและเหล่าผู้ดูแลหอเจินชี่พลันตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“เจ้ากับสำนักจงโจวของข้ามีความแค้นต่อกัน แล้วเจ้ายังมาอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้อย่างพอดิบพอดีอีก ข้าย่อมต้องมาถามเจ้าแน่นอน”
เหรินเชียนจู๋จ้องมองเจ้าล่าเยวี่ยพลางตะคอกเสียงดัง “เจ้าตอบไม่ได้หรือว่าไม่กล้าตอบ? อย่าคิดนะว่าเจ้าเป็นเจ้าแห่งยอดเขาของชิงซานแล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไร!”
ผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมการประมูลอยากจะอธิบายว่าเหตุใดเจ้าล่าเยวี่ยถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ แต่เมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันของผู้อาวุโสขั้นแปรจิต พวกเขากลับพูดอะไรไม่ออก
ลมพัดขึ้นแผ่วเบา ในที่สุดเจ้ากรมชิงเทียนก็เดินทางมาถึง เขาเดินเข้ามาด้านหลังเหรินเชียนจู๋ กล่าวเสียงเบาๆ สองสามประโยค
เหรินเชียนจู๋หรี่ตาลงเล็กน้อย แรงกดดันที่แผ่ออกมาแผ่วเบาลงไปเล็กน้อย
ศิษย์สำนักจงโจวและเหล่าเจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียนเองก็รีบตามเข้ามา ก่อนจะทราบถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้
— ในงานประมูลของหอเจินชี่เมื่อคืนนี้มีการประมูลหญ้าสามพิสุทธิ์
ทั่วทั้งโลกบำเพ็ญพรตต่างทราบดีว่าเจ้าล่าเยวี่ยต้องการหญ้าสามพิสุทธิ์เพื่อใช้ในการบรรลุเข้าสู่ขั้นคเนจร เช่นนั้นการที่นางปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็ย่อมเป็นเรื่องสมควร
สำนักชิงซานตามหาหญ้าสามพิสุทธิ์มาหลายวันแล้ว
“ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนแต่ต้องมีลำดับก่อนหลัง”
กู้ชิงกล่าวเสียงราบเรียบ “สิ่งที่ผู้อาวุโสควรจะถามก็คือเหตุใดเมื่อคืนนี้ ศิษย์พี่ลั่วไหวหนานถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่เมืองนี้พอดี มิใช่พวกข้า”
คำพูดประโยคนี้ฟังดูมีเหตุผล แล้วก็ไม่มีเหตุผล
เพราะลั่วไหวหนานตายไปแล้ว เขาไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้
“เช่นนั้นเจตน์กระบี่ของชิงซานสายนั้นจะอธิบายอย่างไร?”
เหรินเชียนจู๋เก็บอารมณ์ แต่ยังคงจ้องมองดวงตาของเจ้าล่าเยวี่ย พร้อมที่จะปล่อยการโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรงดุจสายฟ้าออกไปทุกเมื่อ
เขาเป็นยอดฝีมือที่บรรลุสถาวะขั้นแปรจิตระดับสูงสุดแล้ว ไม่ว่าพรสวรรค์ของเจ้าล่าเยวี่ยจะสูงส่งเพียงใด ก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น
ศิษย์สำนักจงโจวเหล่านั้นก็มองขึ้นไปยังยอดหอ สายตาทั้งระมัดระวังและโกรธแค้น
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้ตอบคำถามนี้ คนที่ตอบสำนักจงโจวคือ….เสียงหวีดของกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน
ฟิ้วๆๆๆๆ!
ลำแสงกระบี่สิบกว่าสายปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าของเมืองกุ้ยอวิ๋น
ศิษย์สำนักชิงซานมาถึงแล้ว
………………………………………………………………..
[1]ยามจึชู คือเวลาห้าทุ่ม