มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 14 ไม่อาจหลีกหนีได้
นอกชิงซานมีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง
บ้านของหลิ่วสือซุ่ยอยู่ที่นี่
ชาวบ้านธรรมดาย่อมไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ชีวิตความเป็นอยู่ในหมู่บ้านมิได้ถูกรบกวนใดๆ
บิดาแซ่หลิ่วและมารดาแซ่หลิ่วยังคงทำงานทุกวัน ใช้ชีวิตเหมือนอย่างปีก่อนๆ แม้นจะแก่ชราลง แต่ร่างกายยังคงแข็งแรงอยู่ ผมดำฟันแข็งแรง ดูมีชีวิตชีวา
ภายในป่ามีผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักสองคนยืนอยู่บนยอดไม้
ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักคนหนึ่งกล่าวเย้ยหยันเล็กน้อย “จะต้องเป็นหลิ่วสือซุ่ยที่ขโมยเอายาวิเศษของชิงซานมาให้พวกเขากินแน่ อาศัยเพียงแค่เรื่องนี้ก็มีโทษถึงตายแล้ว แต่ดูแล้วเขาก็มีความกตัญญูจริงๆ”
ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักอีกคนหนึ่งใบหน้าขาวซีด กล่าวว่า “หลิ่วสือซุ่ยสังหารลั่วไหวหนาน สถานะในปู้เหล่าหลินจะต้องสูงมากอย่างแน่นอน พวกเราทำแบบนี้ ปู้เหล่าหลินจะปล่อยพวกเราหรือ?”
“กลัวอะไร? ที่นี่อยู่ใกล้ชิงซานขนาดนี้ ปู้เหล่าหลินกล้าปรากฎตัวที่ไหน?”
บำเพ็ญพรตไร้สำนักหัวเราะชั่วร้าย พลางกล่าว “พวกเรามัดพ่อแม่ของมันเอาไว้ บีบให้มันปรากฏตัวออกมา ถึงตอนนั้นค่อยฆ่าทิ้ง หรือไม่ก็ส่งตัวให้ชิงซาน รับเอาวิชาและอาวุธวิเศษจากสำนักจงโจวและชิงซาน วันหน้ายังจะมีใครกล้ามาหาเรื่องพวกเราอีก?”
เมื่อพูดจบประโยคนี้ เขาก็เตรียมจะพุ่งตัวลงไปจากยอดไม้เพื่อไปจับบิดาและมารดาแซ่หลิ่วเอาไว้ แล้วใช้วิธีชั่วร้ายบีบบังคับให้บอกเบาะแสของหลิ่วสือซุ่ย
ส่วนเรื่องที่ว่าหากบิดามารดาแซ่หลิ่วไม่รู้ถึงเบาะแสของหลิ่วสือซุ่ยจริงๆ พวกเขาควรจะทำอย่างไรเพื่อทำให้หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่าพ่อแม่ของเขาอยู่ในมือตัวเอง…เขามิได้คิดถึงเลยแม้แต่น้อย
ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือบิดามารดาแซ่หลิ่วถูกพวกเขาทรมานจนตาย ไม่มีผลเสียอย่างอื่น
ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกผิดปกติ เมื่อมองลงไปยังใต้เท้า สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
นี่เป็นช่วงปลายฤดูร้อน แต่ใบไม้บนยอดไม้กลับมีน้ำค้างแข็งจับตัว
หลังจากนั้น หว่างคิ้วของเขาพลันมีรูปรากฏขึ้นมารูหนึ่ง
จากนั้นครู่หนึ่ง โลหิตก็ไหลออกมาจากรูนั้น
บนขนคิ้วของเขามีน้ำค้างแข็งจับตัวชั้นหนึ่ง จากนั้นบนร่างกายก็ค่อยๆ มีน้ำค้างแข็งปกคลุม ลมหายใจได้หยุดลงไปแล้ว
กระทั่งความตายมาเยือน เขาก็ยังมองไม่เห็นลำแสงกระบี่ที่ทะลุผ่านศีรษะของตัวเองไปเลย
ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักอีกคนหนึ่งย่อมต้องมองไม่เห็นลำแสงกระบี่เช่นกัน
เขามองดูเพื่อนของตัวเองที่ตายลงไป ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด หวาดกลัวจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
ภายในป่ามีหิมะตกลงมา
ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักคาดเดาได้ถึงอะไรบางอย่าง ก่อนจะร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งภายในใจ หิมะไหล! หิมะไหล!
ร่างกายของเขาถูกความหนาวเย็นแข่แข็ง ไม่สามารถยืนอยู่บนยอดไม้ได้อีก ร่วงตกลงไปบนพื้น
เขาไหนเลยจะกล้าวิ่ง คุกเข่าอยู่ในพายุหิมะพลางโขกศีรษะอย่างแรงไปทางท้องฟ้าเพื่อแสดงความจริงใจของตน
ปัก! ปัก! ปัก! ปัก!
หน้าผากของเขาแตกออก เลือดสาดกระจายตามการเคลื่อนไหวของเขา
เขารู้สึกสับสน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักชิงซานถึงได้ปกป้องครอบครัวของศิษย์ที่ถูกขับออกจากสำนัก
หรือนี่จะเป็นการแสดงให้เห็นว่าอำนาจของชิงซานห้ามมิให้ใครมาละเมิด?
หิมะไหลราวน้ำตก
ความหนาวเย็นเสียดแทงกระดูก
เขารับรู้ได้ถึงเจตจำนงนั้น ไหนเลยจะกล้ารั้งรอ ล้มลุกคลุกคลานหนีออกไป ขณะเดียวกันก็นำเอาเจตจำนงนั้นออกไปด้วย
—-หมู่บ้านเป็นพื้นที่หวงห้ามของชิงซาน ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าใกล้
……
……
ในจังหวัดเจี้ยนอันมีเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง
หลิ่วสือซุ่ยสวมหมวกลี่เม่า เดินอยู่บนถนนหลักเพียงเส้นเดียวภายในเมือง
การถูกทั่วทั้งแผ่นดินตามไล่ล่านั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมาก แต่ก็มิได้ถือว่าอันตรายอะไร
เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้หลบหนีกระบี่ ข่ายพลังชิงซานก็ไม่มานั่งตามหาร่องรอยเขาอยู่ตลอดเวลา
จำนวนผู้บำเพ็ญพรตมีไม่มาก หน่วยงานทางราชการในโลกก็ยากที่จะพบตัวเขา
ขอเพียงเขาไม่ทำตัวโดดเด่น ไม่ไปสถานที่อย่างเมืองเจาเกอ ไม่เข้าใกล้สายแร่พลังวิญญาณในเขาลึกที่อาจจะมีสำนักบำเพ็ญพรต เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะถูกคนพบเข้า
การที่ปู้เหล่าหลินและพรรคมารเหล่านั้นสามารถอยู่รอดมาได้นานขนาดนี้ นั่นย่อมต้องมีเหตุผลอยู่
หลิ่วสือซุ่ยยืนอยู่หน้าแผงขายชา ในหัวครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ก่อนจะขอชาเย็นมาชามหนึ่ง
บนถนนด้านหน้าพลันมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย
เขาหันมองไป ก่อนจะเห็นม้าตัวหนึ่งกำลังตกใจ มันลากตู้โดยสารที่อยู่ด้านหลังพุ่งชนไปชนมา ดูแล้วอันตรายเป็นอย่างมาก
ลมพัดผ้าม่าน ด้านในคล้ายมีครอบครัวหนึ่งอยู่ ผู้ชายกำลังออกแรงดึงบังเหียนเพื่อให้ม้าหยุด หญิงสาวใบหน้าขาวซีด เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมอกร่ำไห้ไม่หยุด
คนธรรมดาไม่สามารถหยุดม้าที่กำลังตกใจได้ คนที่จะหยุดม้าได้จะต้องเป็นผู้บำเพ็ญพรตเท่านั้น
น้อยครั้งที่ภายในเมืองจะมีผู้บำเพ็ญพรตปรากฏตัว ทันทีที่ปรากฎตัวก็จะเป็นเรื่องที่สะดุดตาอย่างมาก
—- ดังนั้นตัวเองไม่ควรจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลิ่วสือซุ่ยคิดถึงเรื่องเหล่านี้ พลางเดินไปบนถนน
รถม้าคันนั้นดูแล้วกำลังจะชนกับข้างถนน รถเสียหายคนตาย
ลมพัดขึ้น หลิ่วสือซุ่ยปรากฏตัวขึ้นที่ข้างรถม้า ยื่นมือออกไปกอดคอม้าเอาไว้
ม้าที่อาละวาดเหมือนไฟป่าอันคุ้มคลั่งกลับถูกเขาใช้แขนที่ดูธรรมดารั้งเอาไว้ ไม่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้!
เสียงผัวะๆ ดังขึ้นเบาๆ ด้านล่างรองเท้าของเขามีฝุ่นฟุ้งขึ้นมา บนแขนเสื้อด้านซ้ายมีรอยขาดสองรอย
ม้าที่กำลังอาละวาดส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ขาหน้าอ่อนแรง คุกเข่าลงไป ถูกเขาโอบเอาไว้ในแขนซ้าย
รถม้าพลันหยุดลง ผู้ชายและหญิงสาวที่อยู่ในตู้โดยสารตกลงมา เด็กที่อยู่ในอ้อมอกของภรรยากระเด็นออกมา
หลิ่วสือซุ่ยยื่นมือไปคว้าเด็กคนนั้นเอาไว้ กอดเอาไว้ในแขนขวา
เสียงอุทานตกใจหายไป บนถนนเงียบกริบ
สายตานับร้อยคู่มองมาที่เขา
หลิ่วสือซุ่ยมั่นใจแล้วว่าม้าที่คุ้มคลั่งได้สติขึ้นมาแล้ว จึงเอาเด็กคืนให้แก่หญิงสาว จากนั้นเดินไปยังแผงชา ดื่มชาจนหมดชาม วางเงินทองแดงเอาไว้สองก้อน ก่อนจะเดินออกจากเมืองไป
ชาวบ้านบนถนนมองดูคนที่กำลังเดินออกจากเมืองไปผู้นั้น ตกตะลึงจนพูดไม่ออก จนกระทั่งคนผู้นั้นหายไปแล้ว เสียงพูดคุยจึงดังขึ้นมา
……
……
เมื่อมาถึงป่านอกเมือง หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกผิดปกติ เขามองไปยังส่วนลึกของป่าพลางกล่าวว่า “ออกมาเถอะ”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายหนุ่มสองคนและชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ดูผ่านโลกมามากก็เดินออกมา
ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มคนหนึ่งมองหลิ่วสือซุ่ยพลางกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจว่า “หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนกำลังไล่ฆ่าเจ้าอยู่? เหตุใดจึงยอมเปิดเผยร่องรอยของตัวเองเพราะเรื่องแบบนี้?”
“ข้านึกว่าเมืองเล็กอยู่ห่างไกล น้อยนักที่จะมีผู้บำเพ็ญพรตปรากฏตัว ต่อให้ถูกคนพบร่องรอย แต่ถึงตอนนั้นข้าก็หนีไปไกลแล้ว”
หลิ่วสือซุ่ยอธิบายอย่างจริงจัง
ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “พวกเราและศิษย์พี่ผู้นี้มีเรื่องจะคุยกัน อยู่ในสำนักคุยไม่สะดวก จึงนัดกันออกมาคุยกันในเมือง จึงบังเอิญเห็นภาพนั้นพอดี”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ไม่ทราบสำนักของเจ้าคือ?”
ชายหนุ่มผู้นั้นชี้ไปยังชายหนุ่มอีกคนหนึ่งพลางกล่าวว่า “พวกเราล้วนแต่เป็นศิษย์ของสำนักซานชิง”
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกคุ้นหู ในใจครุ่นคิดว่าน่าจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
ชายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าว “ข้าเป็นผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนัก”
“ทุกที่ล้วนแต่มีผู้บำเพ็ญพรตกำลังตามหาเจ้า แต่เจ้ากลับถูกพวกเราพบเข้าโดยไม่ตั้งใจ ไม่รู้ว่าพวกเราโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่”
บนใบหน้าของศิษย์สำนักซานชิงผู้นั้นเผยให้เห็นสีหน้าเศร้าใจ
ศิษย์สำนักซานชิงอีกคนยิ้มเยาะตัวเองพลางกล่าวว่า “พวกเรารู้ตัวว่ามิใช่คู่มือของเจ้า เพียงแค่คิดจะตามอย่างเงียบๆ ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกเจ้าพบเข้า”
หากหาหลิวสือซุ่ยพบ ก็มีโอกาสที่จะได้รับของรางวัลจากสำนักจงโจวและสำนักชิงซาน นี่ย่อมต้องเป็นเรื่องดี
ปัญหาอยู่ที่ว่ากระทั่งลั่วไหวหนาน หลิ่วสือซุ่ยก็ยังสังหารได้ ในเวลานี้อีกฝ่ายพบร่องรอยของพวกเขาแล้ว แล้วจะปล่อยให้พวกเขารอดชีวิตไปได้อย่างไร?
จู่ๆ ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักผู้นั้นมองหลิ่วสือซุ่ยพลางกล่าวว่า “บางทีข้าอาจจะคิดหาวิธีช่วยเจ้ายื้อเวลาได้หน่อย แต่แน่นอนว่าเจ้าต้องรับปากก่อนว่าจะไม่ฆ่าพวกเรา”
หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “ได้”
ศิษย์สำนักซานชิงสองคนนั้นไม่เข้าใจความหมายของเขา สีหน้างุนงงเล็กน้อย
จู่ๆ ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักผู้นั้นพลันลงมือ อาวุธวิเศษพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขาราวเงามืด โจมตีเข้าใส่ด้านหลังของศิษย์สำนักซานชิงทั้งสองคน
เสียงตู้มๆ ดังสนั่นสองเสียง ภายในป่ามีฝุ่นควันฟุ้งขึ้นมา
ศิษย์สำนักซานชิงสองคนยังไม่ตาย
เพราะกระบี่เล่มหนึ่งลอยนิ่งๆ อยู่กลางอากาศ
……………………