มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 15 เจอแบบนี้ทุกวัน ใครจะมีชีวิตอยู่ต่อได้
อาวุธวิเศษที่ชั่วร้ายนั้นถูกฟันขาดเป็นสองท่าน ตกลงบนพื้น คล้ายอสรพิษที่ถูกฆ่าอย่างไรอย่างนั้น
ศิษย์สำนักซานชิงสองคนทั้งโกรธและตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขามองผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักพลางตะโกนว่า “ศิษย์พี่เฉิน ท่านคิดจะทำอะไร!”
ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักแซ่เฉินผู้นั้นใบหน้าขาวซีด เขามองหลิ่วสือซุ่ยอย่างตกตะลึง พลางกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดเจ้าจึงขวางข้า?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ฆ่าสหายสองคนปิดปาก เสร็จแล้วค่อยช่วยข้าปกปิดร่องรอย จากนั้นก็ป้ายสีเรื่องฆ่าคนมาที่ข้า?”
ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักผู้นั้นรีบแก้ต่างอย่างร้อนใจ “แบบนี้เจ้าถึงจะเชื่อข้า มิใช่หรือ?”
“ตามหลักแล้ว ข้าควรจะรับเอาไว้นั่นแหละ”
หลิ่วสือซุ่ยมองเขา พลางกล่าว “แต่ข้าไม่ชอบแบบนี้”
ครั้นกล่าวจบประโยคนี้ ในส่วนลึกของดวงตาของเขาพลันมีเพลิงปีศาจสองดวงลุกโชนขึ้นมา เป็นสีแดงฉาน ไอพลังที่แผ่กระจายออกมาจากร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นคุ้มคลั่ง
ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักผู้นั้นร้องอุทานตกใจ พลางเรียกอาวุธวิเศษออกมา ด้วยคิดจะขี่มันบินหนีไป
ตู้มๆๆๆ!
หมัดแสงสิบกว่าสายพุ่งออกมาจากรอบตัวหลิ่วสือซุ่ย โจมตีเข้าใส่ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักผู้นั้น
หมัดเหล่านั้นมิใช่หมัดจริงๆ สีแดงสีดำสลับปะปน นั่นคือวิชาปีศาจโลหิตที่ขับเคลื่อนด้วยเพลิงปีศาจ!
ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยหมัดเพลิงปีศาจ แล้วผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักจะหนีไปได้อย่างไร
เสียงที่เหมือนโจมตีลงไปบนหนังสัตว์หนาๆ ดังรัวขึ้นมา บนร่างกายของผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักมีรอยยุบปรากฏขึ้นมาสิบกว่ารอย ร่วงตกลงไปบนพื้นอย่างแรง สิ้นใจไปในทันที
หลิ่วสือซุ่ยมองไปทางศิษย์ซานชิงทั้งสองคน
ศิษย์ซานชิงใบหน้าขาวซีด แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะหลบหนี มือร่ายเคล็ดกระบี่พลางกล่าว “ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงช่วยพวกข้า แต่ตอนนี้เชิญลงมือเถอะ!”
หลิ่วสือซุ่ยถาม “เหตุใดพวกเจ้าต้องการฆ่าข้า?”
ศิษย์สำนักซานชิงกล่าว “มารชั่วที่ทรยศสำนักไปเข้ากับพรรคมาร ทั้งยังสังหารผู้อาวุโสฝ่ายธรรมมะเหมือนอย่างเจ้า ไม่ว่าใครก็มีสิทธิ์ลงโทษทั้งนั้น!”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “กล่าวมีเหตุผล พวกเจ้ามิใช่มารชั่ว อย่างนั้นเหตุใดข้าต้องฆ่าพวกเจ้า?”
……
……
หลิ่วสือซุ่ยกลับมายังเมือง สองมือหิ้วศิษย์สำนักซานชิงทั้งสองคนที่สลบไสล คล้ายกับหิ้วไก่มาสองตัว
ด้วยรถม้าที่เสียหายอย่างหนักคันนั้น เขาหาโรงเตี๊ยมที่ครอบครัวนั้นพักจนเจอ จากนั้นให้เถ้าแก่ที่มีสีหน้าหวาดกลัวพาไปยังห้องพักของพวกเขา
ประตูห้องเปิดออก ชายคนนั้นขยี้ดวงตา เมื่อพบว่าเป็นอาจารย์เซียนที่เมื่อครู่เพิ่งจะช่วยชีวิตครอบครัวของตัวเองไว้ ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความยินดี รีบคุกเข่าลงไปกับพื้น
หญิงสาวผู้นั้นก็รีบคุกเข่าลงไปกับพื้นเช่นกัน พลางกดศีรษะบุตรของตนลงไป กล่าวขอบคุณไม่หยุด
“รบกวนพวกเจ้าช่วยดูแลพวกเขาด้วย ไว้พวกเขาตื่นขึ้นมาแล้วค่อยบอกพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น”
หลิ่วสือซุ่ยวางศิษย์ซานชิงที่สลบไสลสองคนนั้นลงกับพื้น พร้อมทั้งทิ้งเศษเงินไว้นิดหน่อย ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
……
……
ไม่อาจขี่กระบี่ได้ เพราะลำแสงกระบี่สะดุดตาเกินไป
ไม่อาจเดินได้ เพราะช้าเกินไป
ไม่อาจเดินในที่ที่คึกคักเกินไปได้ เพราะจะถูกคนพบได้ง่าย
แล้วก็ไม่อาจเดินบนหน้าผาที่สูงชันและเงียบสงัดได้ เพราะที่นั่นจะพบผู้บำเพ็ญพรตได้ง่าย
ดังนั้นหลิ่วสือซุ่ยจึงเลือกที่จะวิ่งไปในป่าที่อยู่ไม่ไกลจากถนนหลวงด้วยความเร็วสูง
แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือในสถานที่แบบนี้จะพบกับคนกลุ่มหนึ่งได้ง่าย นั่นก็คือโจร
เขาหยุดฝีเท้า มองดูโจรสิบกว่าคนที่นั่งร่ำสุรากินเนื้ออยู่รอบกองไฟ สีหน้าดูงุนงงเล็กน้อย
ด้านหลังโจรเหล่านั้นมีรถคันหนึ่ง ไม่มีศพ แต่ได้กลิ่นคาวเลือดอย่างชัดเจน
โจรสิบกว่าคนมองดูเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว ไม่มีใครกล่าวอะไร พวกเขาต่างรู้ดี คนที่กล้าเดินไปมาคนเดียวในป่าลึกเช่นนี้ จะต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวถาม “พวกเจ้าปล้นสินค้าฆ่าคน?”
โจรคนหนึ่งตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขารีบกล่าวว่า “เปล่าขอรับ! ไม่กล้าขอรับ! พวกเราเพียงแต่ปล้นรถขนผ้าไหมคันนี้มา พ่อค้าได้รับบาดเจ็บ ยังไม่ตายขอรับ!”
โจรอีกคนหนึ่งกล่าวเสียงสั่นว่า “พ่อค้าอยู่บนถนนหลวงที่ห่างออกไปสิบลี้ อาจารย์เซียนไปดูได้ขอรับ!”
สายตาของหลิ่วสือซุ่ยมองไปยังดาบที่โจรเหล่านั้นใช้เฉือนเนื้อแพะ
บนดาบเหล่านั้นก็เปื้อนเลือดอยู่เช่นกัน
โจรสองคนนั้นร้อนใจจนเส้นเลือดปูดขึ้นมา กล่าวเสียงดังว่า “เลือดแพะ! เป็นเลือดแพะขอรับ!”
ศิษย์สำนักซานชิงสองคนนั้นกับผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักที่ตายไปยังไม่ได้แจ้งไปยังที่อื่น ขอเพียงตัวเองไม่ทำอะไรวุ่นวาย ก็น่าจะปลอดภัย
อย่างน้อยก็ก่อนที่ศิษย์สำนักซานชิงสองคนนั้นจะตื่นขึ้นมาในวันพรุ่งนี้
หลิ่วสือซุ่ยคิดเช่นนี้ พลางเตรียมจะจากไป แต่จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่าถ้าหากครอบครัวที่อยู่ในเมืองนั้นมาเจอกับโจรพวกนี้ระหว่างทาง เกรงว่าคงจะมีอันตรายเป็นแน่
เขาถามว่า “ใครคือหัวหน้า?”
เหล่าโจรกระวนกระวายและหวาดกลัว ไม่มีเสียงตอบ แต่หลายคนต่างเหลือบมองไปยังชายหน้าตาน่ากลัวผู้หนึ่ง
ชายผู้นั้นถลึงตากลับไปอย่างดุร้าย ก่อนจะหยิบเอาดาบที่อยู่บนแพะย่างมา พลางตะโกนอย่างสิ้นหวังแล้วฟันไปทางหลิ่วสือซุ่ย
เสียงหนึ่งดังชัดเจน ศีรษะของโจรผู้นั้นหายไป ก่อนจะเอนตัวล้มตึงไปกับพื้น
“ต่อไปอย่าเป็นโจรอีก แบบนั้นมันไม่ดี อีกทั้งยังอันตรายด้วย”
หลิ่วสือซุ่ยชี้ไปยังศพไร้ศีรษะที่นอนอยู่บนพื้น ก่อนกล่าวกับพวกโจรว่า “พวกเจ้าดู เหมือนอย่างนี้”
เดิมเขายังเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่เหล่าโจรส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ต่างวิ่งกระจัดกรจายเข้าไปในป่าราวกับฝูงสัตว์
หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิด แต่ก็มิได้ตามไปไล่ฆ่า
ร่องรอยของเขากำลังจะเปิดเผยออกมาแล้ว
เขาไม่อาจไปยังจุดติดต่อของปู้เหล่าหลินได้
ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
เพลิงปีศาจพุ่งออกมาจากใต้เท้าเขา
ลมพัดขึ้นมา ภายในป่ามีเงาสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา
หลังจากนั้นไม่กี่อึกใจ เขาก็กลายเป็นจุดสีดำเล็กๆ ที่อยู่ในภูเขาแห่งนี้
……
……
หลังจากนั้นสองวัน
ด้านล่างภูเขาไร้ซื่อแห่งหนึ่งมีแก่งน้ำอยู่สายหนึ่ง ภูเขาสูงชัน น้ำไหลเชี่ยว
ภายในแก่งน้ำมีก้อนหินเล็กบ้างใหญ่บ้างตั้งกระจัดกระจาย สายน้ำกระแทกไปบนก้อนหิน ส่งเสียงโครมๆ ราวสายฟ้าฟาด
จู่ๆ ในเสียงสายน้ำที่ดังราวสายฟ้าฟาดก็มีเสียงกระแทกทึบๆ ดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง คล้ายกับกระสอบที่ใส่ข้าวสารจนเต็มตกจากบนกำแพงเมืองลงมายังพื้นถนน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลิ่วสือซุ่ยก็ลอยขึ้นมาจากในแก่งน้ำ จากนั้นซ่อนตัวอยู่ในซอกหินอย่างยากลำบาก เพื่อที่จะได้ไม่ถูกคนบนฟ้าและนกประหลาดพบเข้า
ทั่วทั้งร่ายกายเขาเปียกชื้น ใบหน้าขาวซีด บนเสื้อฟ้ายังมีรอยเลือดหลงเหลืออยู่ หน้าอกยุบลงไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บสาหัส
รอยยุบบนหน้าอกของเขามิได้เกิดจากการกระแทกกับก้อนหินในแก่งน้ำ หากแต่ถูกอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งโจมตีเข้า
เมื่อคืนเขาถูกผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักจำนวนหนึ่งตามไล่ล่า ทั้งสองฝ่ายเปิดฉากต่อสู้กันอย่างดุเดือด สุดท้ายเขาก็ถูกบีบจนไม่มีทางถอย
ในตอนที่เห็นว่ากำลังจะถูกล้อมสังหาร เขากัดฟันกระโดดลงไปในแม้น้ำใต้ดินสายหนึ่งที่อยู่ในภูเขา
ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักเหล่านั้นไม่กล้าไล่ตามลงไปในสภาพแวดล้อมที่มืดมิดเช่นนั้น จึงได้แต่ต้องคิดหาทางอื่น
แม่น้ำใต้ดินไหลผ่านใจกลางเทือกเขา แตกแขนงออกเป็นหลายสาย หนึ่งในนั้นไหลออกมาจากในหน้าผาของภูเขาไร้ชื่อแห่งนี้
เขาเชื่อว่าผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักที่แข็งแกร่งเหล่านั้นน่าจะไม่สามารถล่วงรู้ตำแหน่งของตนเองได้
ถึงแม้จะโชคดีมีชีวิตรอดต่อไป แต่มันก็มิได้หมายความว่าปลอดภัย เขาสามารถรับรู้ได้ถึงอันตรายที่ยังมีอยู่
สายตาเขามองลอดซอกหินขึ้นไปบนท้องฟ้า
ไกลออกไปคล้ายมองเห็นลำแสงกระบี่
ไม่รู้ว่าเป็นสำนักชิงซานหรือว่าสำนักอู๋เอินเหมิน ที่นี่น่าจะห่างจากไห่โจวไม่ไกล ความเป็นไปได้ที่จะเป็นยอดฝีมือของสำนักกระบี่ซีไห่ก็มีสูงมาก
หากในเวลานี้เขาถูกยอดฝีมือเหล่านั้นพบเข้า เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
บัณฑิตชราผู้หนึ่งพลันปรากฏกายขึ้นในแก่งน้ำ
เขามองดูหลิ่วสือซุ่ยที่อยู่ในซอกหินพลางกล่าวทอดถอนใจว่า “ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดคนอย่างเจ้าถึงมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้”
หลิ่วสือซุ่ยยิ้มขึ้นมาอย่างดีใจ เห็นฟันสีขาว
…………………………….