มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 16 ปู้เหล่าหลินที่มีคนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
บัณฑิตชราคนนี้ก็คือผู้อาวุโสจากเรือนอี้เหมาที่พาตัวหลิ่วสือซุ่ยออกมาจากหมู่บ้านเมื่อตอนนั้น
คำพูดประโยคนั้นคือการทอดถอนใจของเขา มิใช่ว่าต้องการให้หลิ่วสือซุ่ยตอบคำถาม
หลิ่วสือซุ่ยปีนขึ้นมาจากในซอกหิน มองดูลำแสงกระบี่ที่อยู่บนฟ้า
บัณฑิตชราหยิบเอาพู่กันออกมา จุ่มน้ำสะอาดในแก่งน้ำ ก่อนจะขีดเขียนตัวอักษรไปบนอากาศ
แสงแวววาวสายหนึ่งสว่างวาบขึ้นมา ร่างกายของเขากับหลิ่วสือซุ่ยหายไป
ผ่านไปไม่นาน ลำแสงกระบี่สองสายก็พุ่งลงมายังริมแก่งน้ำ
ผู้บำเพ็ญพรตวัยกลางคนสองคนปรากฏตัวขึ้น คนหนึ่งคือผู้อาวุโสแห่งยอดเขาปี้หูของชิงซาน นามเหลยหมิง บรรลุสภาวะขั้นคเนจรระดับกลางไปแล้ว อีกคนหนึ่งคือยอดฝีมือของสำนักกระบี่ซีไห่ นามเฉียนซือไฉ
เฉียนซือไฉยิ้มเยาะพลางกล่าว “หนีไปอีกแล้ว ดูเหมือนอยู่ในภูเขามานาน จะถนัดขุดโพรงจริงๆ ด้วย”
คำพูดนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการเสียดสีสำนักชิงซาน เหลยหมิงเหลือบมองเขา กล่าวด้วยใบหน้าราบเรียบว่า “อย่างนั้นพวกที่อยู่ริมทะเลมานานก็น่าจะถนัดจับปลาใช่ไหม?”
เฉียนซือไฉส่งเสียงเหอะออกมา มิได้สนใจเขาอีก
หลังตรวจสอบจนมั่นใจว่ากลิ่นอายของหลิ่วสือซุ่ยได้หายไปแล้ว ทั้งสองคนก็เก็บจิตจำแนกแห่งกระบี่ แยกย้ายกลับไปรายงานสำนักของตน
……
……
ภายในถ้ำสะอาดสะอ้าน ไข่มุกราตรีเปล่งแสงสลัวออกมา
หลิ่วสือซุ่ยตื่นขึ้นมาจากภวังค์ก่อนจะมองไปรอบๆ ในใจครุ่นคิดว่าไม่รู้ว่าเป็นถ้ำของยอดฝีมือท่านไหน ผนึกปิดกั้นแข็งแกร่งอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าจะตกอยู่ในมือของปู้เหล่าหลิน
บัณฑิตชราส่งยาสีแดงเม็ดหนึ่งให้
หลิ่วสือซุ่ยรับเอายามา หยิบเอาถ้วยน้ำที่อยู่บนโต๊ะมากินยา ปรับลมปราณเล็กน้อยสลายตัวยา ก่อนจะมองบัณฑิตชราพลางยิ้มขอบคุณ
ในอดีตบัณฑิตชราแห่งเรือนอี้เหมาผู้นี้กับเว่ยเฉิงจึแห่งสำนักจงโจวได้พาตัวเขามาจากในหมู่บ้าน
ตอนนี้เว่ยเฉิงจึได้ตายไปหลายปีแล้ว บัณฑิตชรากลายเป็นคนรู้จักเพียงคนเดียวของเขาในปู้เหล่าหลิน
บัณฑิตชราถอนหายใจพลางกล่าว “นิสัยอย่างเจ้า ช้าเร็วก็ต้องถูกพบเข้า”
หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องใด จึงเกาศีรษะพลางกล่าว “รู้ว่าไม่ควรยุ่ง แต่ร่างกายมันควบคุมไม่ได้”
บัณฑิตชรากล่าวว่า “หลายปีก่อนจับเจ้ามา ดูเหมือนจะตัดสินใจถูกต้อง คนอย่างเจ้าไม่ควรจะเดินไปมาบนโลก”
หลิ่วสือซุ่ยถามอย่างใคร่รู้ “ในสายตาของท่าน ข้าเป็นคนแบบไหน?”
บัณฑิตชรากล่าว “เอาเป็นว่าไม่ควรจะเป็นคนของปู้เหล่าหลิน”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ในปู้เหล่าหลินมีผู้อาวุโสอย่างท่าน เช่นนั้นจะมีคนแบบไหนมันก็ไม่แปลก”
สถานที่อย่างเรือนอี้เหมา กลับมีนักฆ่าของปู้เหล่าหลินอยู่ นั่นย่อมต้องมีเรื่องราวความเป็นมาให้บอกเล่าอย่างแน่นอน
ในถ้ำไม่มีสุรา บัณฑิตชราเองก็ไม่มีอารมณ์จะมานั่งเล่าเรื่อง เขาสั่งกำชับสองสามประโยคก่อนจากไป
หลังจากนั้นสิบกว่าวัน อาการบาดเจ็บของหลิ่วสือซุ่ยดีขึ้น เขาเปิดผนึกปิดกั้นเดินออกมานอกถ้ำ มองเห็นหมู่เขาเขียวขจี ในใจครุ่นคิดว่าที่นี่คือที่ใด?
มีลมพัดมาจากในป่า ไหลขึ้นมาตามหน้าผา พัดดอกไม้ที่อยู่ด้านนอกถ้ำ ตกลงมาบนใบหน้าเขา
เขาได้กลิ่นเค็มที่อยู่ในสายลม แล้วยังมีกลิ่นคาวจางๆ เขาถึงได้รู้ว่าที่นี่อยู่ห่างจากทะเลไม่ไกลแล้ว
ทะเลด้านนั้นน่าจะเป็นทะเลตะวันตก
ลมทะเลพัดมา บัณฑิตชราปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง กล่าวว่า “ไปกันเถอะ”
หลิ่วสือซุ่ยไม่ได้ถามว่าจะไปที่ใด เขาเก็บข้าวของอย่างเงียบๆ แวะไปปัสสาวะในป่าด้านนอกถ้ำ ก่อนจะเดินตามบัณฑิตชราลงไปจากเขา
ด้านล่างขุนเขาสีเขียวมีหุบเขาที่มืดสลัว
ทั้งสองคนใช้เวลาหลายวันเดินทะลุหุบเขาที่มืดสลัว จากนั้นเข้าไปยังทางใต้ดินที่มืดสลัวยิ่งกว่าเดิมเส้นหนึ่ง
พวกเขาเดินไปอีกหลายวัน ในที่สุดก็เดินออกมาจากทางใต้ดิน กลับขึ้นมายังพื้นดิน
เสียงคลื่นทะเลกระแทกโขดหินคล้ายดังอยู่ใกล้ๆ หู
เบื้องหน้าคือกองหิมะจำนวนนับไม่ถ้วน
หลิ่วสือซุ่ยมองดูทะเลตะวันตกที่อยู่ท่ามกลางความมืดอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในศาลเจ้าเทพทะเลที่ผุพังแห่งนั้น
บนกำแพงที่เปียกชื้นมีดอกเกลือจับตัวกลายเป็นภาพที่ดูแปลกประหลาดอย่างมาก
ธรณีประตูที่ทำจากไม้ถูกลมทะเลกัดเซาะผุพังไปมากกว่าครึ่ง ดูแล้วค่อนข้างน่าขยะแขยง
นี่ล้วนแต่เป็นภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
บัณฑิตชรามิได้ตามเขาเข้าไปในศาลเจ้า
ภายในศาลเจ้าเก่ามีเพียงเขาและเทพทะเลองค์นั้น
แสงดาวสาดส่องลงไปบนทะเล ส่องประกายระยิบระยับเบาบาง ก่อนจะตกกระทบไปบนใบหน้าของเทพทะเล
เวลานี้หลิ่วสือซุ่ยถึงได้พบว่าที่แท้รูปปั้นเทพทะเลองค์นี้คือคนจริงๆ
ใบหน้าของเทพทะเลดูไม่มีอะไรพิเศษ ร่างกายสวมชุดสีดำ แต่กลับแผ่กลิ่นอายของความสูงศักดิ์และความยิ่งใหญ่ออกมา มีความรู้สึกเหมือนราชากำลังจ้องมองดูประชาชน
“ท่านก็คือ….” หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิดว่าควรจะเรียกอีกฝ่ายอย่างไร จากนั้นกล่าวว่า “หัวหน้าของปู้เหล่าหลิน?”
“จะเรียกแบบนั้นก็ได้”
เสียงของคนชุดดำฟังดูเลื่อนลอย คล้ายดังมาที่ไกลๆ
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวถามว่า “เหตุใดถึงต้องการพบข้า?”
คนชุดดำกล่าว “ข้าอยากรู้ว่าเจ้าสังหารลั่วไหวหนานได้อย่างไร”
หลิ่วสือซุ่ยไม่แม้แต่จะคิด กล่าวว่า “ความลับ”
เห็นได้ชัดว่าคำตอบนี้เหนือไปจากที่คนชุดดำคิดเอาไว้ในตอนแรก เขางุนงงเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะขึ้นมา พลางกล่าวถามว่า “อีกคนที่ออกกระบี่คือใคร?”
หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิดอย่างจริงจัง กล่าวว่า “มองไม่ออก”
คนชุดดำกล่าวถามว่า “กระบี่พรหมจรรย์อยู่ในมือเจ้า?”
หลิ่วสือซุ่ยถึงได้รู้ว่ากระบี่ที่เจ้าล่าเยวี่ยมอบให้ตนมามีนามว่าพรหมจรรย์
สีหน้าและการตอบสนองของเขาล้วนแต่ดูเป็นจริง
เพราะเดิมมันก็เป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว
เขามองดูคนชุดดำพลางกล่าว “กระบี่เล่มนั้นเป็นของข้า”
คนชุดดำมองเขาเงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “อย่างนั้นก็เป็นของเจ้า”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ขอบคุณ”
คนชุดดำกล่าวว่า “เช่นนั้นอย่างน้อยเจ้าก็ควรบอกข้าหน่อย ในเมื่อเจ้าฆ่าแต่คนชั่ว เหตุในจึงฆ่าลั่วไหวหนาน?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “เพราะสำหรับข้าแล้ว เขาก็คือคนชั่ว”
คนชุดดำโน้มตัวลงมาเล็กน้อย ทั้งรู้สึกประหลาดใจและสนใจในการพูดของเขา “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “คุณชายไม่อาจกลับมาจากที่ราบหิมะได้ ข้าคิดว่าเป็นเพราะเขา”
คนชุดดำคล้ายครุ่นคิดอะไร ก่อนกล่าวว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าจึงดังดันคิดว่าเขาทำร้ายจิ๋งจิ่ว แต่มันก็มีเหตุผลอย่างมากทีเดียว”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ขอบคุณ”
การขอบคุณก่อนหน้านี้ เป็นการขอบคุณที่อีกฝ่ายไม่คิดอาศัยสภาวะบีบบังคับเอากระบี่พรหมจรรย์ไป
การขอบคุณครั้งนี้เป็นการขอบคุณที่อีกฝ่ายยอมรับในเหตุผลของตน
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเหตุใดหลายปีก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่ยอมพบเจ้า? นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอ อีกทั้งข้าไม่ค่อยเชื่อเจ้า”
คนชุดดำมองหลิ่วสือซุ่ย ในหัวคิดถึงปีศาจกุ่ยมู่หลิงที่อยู่ในแม่น้ำจั๋วเมื่อหลายปีก่อน ในใจครุ่นคิดว่าถึงแม้ชีวิตของเจ้าจะถูกข้าเปลี่ยนแปลงก็ตาม
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ข้าไม่เข้าใจความหมายของท่าน”
คนชุดดำกล่าว “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเชื่อใจ ลำพังแค่ที่เจ้าบอกว่าจะฆ่าแต่คนที่เจ้ายินดีฆ่า สำหรับข้ามันจะมีประโยชน์อันใด? ปู้เหล่าหลินมิใช่วัดกั่วเฉิง”
หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิด กล่าวว่า “คนที่พวกท่านอยากฆ่ามีมากมาย ยังไงในนั้นก็ต้องมีคนที่เหมาะกับข้า”
เหมาะที่เขาจะไปฆ่า
คนชุดดำกล่าว “ช่างเป็นคนหนุ่มที่น่าสนใจจริงๆ แต่ว่าตอนนี้เรื่องเหล่านี้มันมิใช่ปัญหาอีกแล้ว เพราะเจ้าได้พิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ของตัวเอง แล้วก็พิสูจน์ตัวเองแล้ว”
หลิ่วสือซุ่ยเข้าใจความหมายของเขา นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร
“ต่อให้ในตอนที่ออกมาจากหมู่บ้านเจ้าจะยังมีความคิดอื่น แต่ตอนนี้เจ้าฆ่าลั่วไหวหนาน นับแต่นี้ก็ได้แต่ต้องเดินอยู่ในเงามืด”
คนชุดดำมองเขาเงียบๆ พลางกล่าว “เจ้ายินดี?”
ภายในศาลเจ้าตกอยู่ในความเงียบ
เสียงคลื่นซัดสาดฟังดูน่าหวาดกลัวกว่าเสียงลมที่พัดผ่านต้นสน
หลิ่วสือซุ่ยคิดถึงบ่อน้ำในหมู่บ้าน คิดถึงลำแสงกระบี่บนยอดเขาเหลี่ยงว่าง
เขากล่าวว่า “ข้าต้องการวิชาที่ดีที่สุด หินผลึก ยาวิเศษและถ้ำที่ปลอดภัย ภารกิจใดๆ ล้วนแต่ข้าเป็นคนตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับ”
คนชุดดำกล่าว “หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นกล้าเสนอข้อเรียกร้องแบบนี้ ข้าคงจะทำให้ดวงวิญญาณมันมอดไหม้ไปซะ แต่ในเมื่อเป็นเจ้า ต่อให้เป็นคำขอที่ไร้สาระเพียงใด ข้าก็ยอมรับได้”
หลิ่วสือซุ่ยจ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าวถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงให้ความสำคัญกับข้าถึงเพียงนี้?”
คนชุดดำกล่าว “เพราะพรสวรรค์และอดีตของเจ้า ที่สำคัญที่สุดก็คือนิสัยของเจ้า ผู้บำเพ็ญพรตที่ดื้อรั้นเหมือนอย่างเจ้า ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
หลิ่วสือซุ่ยยังคงไม่เข้าใจ เขากล่าวถามว่า “สำหรับปู้เหล่าหลินแล้ว นิสัยแบบนี้มันสำคัญมาก?”
คนชุดดำกล่าว “สำหรับปู้เหล่าหลินแล้วไม่สำคัญ แต่สำหรับวิถีกระบี่มันสำคัญอย่างมาก”
หลิ่วสือซุ่ยคล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เขากล่าวว่า “ท่านจะให้ข้าฝึกกระบี่ต่อ?”
คนชุดดำกล่าว “ถูกต้อง ข้าอยากให้เจ้าพิสูจน์ให้ทั้งโลกได้เห็นว่าต่อให้ออกมาจากชิงซานแล้ว เจ้าก็ยังฝึกเพลงกระบี่ที่ยอดเยี่ยมอย่างมากได้อยู่”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “เหมือนจะน่าสนใจ”
คนชุดดำกล่าว “ยังมีคำถามอะไรอีกไหม?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ท่านคือใครกันแน่?”
คนชุดดำมองเขา ก่อนกล่าวว่า “ข้าคือซีหวังซุน”
ลมทะเลกระโชก ดอกเกลือบนกำแพงหลุดร่วง
เสียงคลื่นซัดสาดปานสายฟ้าฟาด