มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 30 ปัญญาอ่อน
ท่วงทำนองหลักของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมิใช่การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ แล้วก็มิใช่การต่อสู้อย่างดุเดือด หากแต่เป็นการบำเพ็ญเพียร
ในจุดนี้สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนในสำนักชิงซาน
โดยเฉพาะยอดเขาเสินม่อ ศิษย์สี่คนที่กระทั่งการพูดคุยเรื่อยเปื่อยก็มิถนัด เวลาส่วนใหญ่ในทุกๆ วันล้วนแต่ใช้ในการบำเพ็ญเพียร
ในตอนแรกสุด กู้ชิงและหยวนฉวี่ยังรู้สึกใจไม่สงบ เนื่องเพราะการมีอยู่ของท่านผู้พิทักษ์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ค่อยๆ เคยชินกับการมีอยู่ของมัน แล้วก็เริ่มตั้งใจบำเพ็ญเพียร — เพราะอย่างไรเสียไป๋กุ่ยก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอน การจะปรับตัวให้เคยชินจึงมิใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไร
ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ยอดเขาเงียบสงบ
เจ้าล่าเยวี่ย กู้ชิง หยวนฉวี่ต่างทำสมาธิและฝึกกระบี่อยู่ในที่ที่ตัวเองคุ้นเคย
บางครั้งจะมีเสียงกระบี่แหวกอากาศ บางครั้งจะมีเสียงร้องของวานรดังขึ้น
จิ๋งจิ่วถูกขังอยู่ในที่ราบหิมะเป็นเวลาหกปี สภาวะหยุดนิ่งไม่คืบหน้า แต่หลังจากที่เริ่มบำเพ็ญเพียรใหม่ เขาก็มิได้มีท่าทีรีบร้อนอะไร
ความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณของเขารวดเร็วจนยากจะจินตนาการได้ เร็วจนถึงขนาดที่ว่าเหมือนพลังวิญญาณไหล่บ่าเข้าไปในร่างกายของเขา
ทุกครั้งที่เขาทำสมาธิ พลังวิญญาณที่มารวมตัวกันอยู่บนยอดเขาเสินม่อจะมีจำนวนมากขึ้น แล้วก็มีความบริสุทธิ์มากขึ้น
หลังจากนั้นหลายวัน ไป๋กุ่ยก็พบความผิดปกติเวลาที่เขาทำการบำเพ็ญเพียร มันจึงเดินออกมาจากในถ้ำ
ขอเพียงอยู่บนยอดเขาเสินม่อก็จะสามารถเพลิดเพลินกับประโยชน์ของพลังวิญญาณเหล่านั้นได้ แต่แน่นอนว่ายิ่งอยู่ใกล้จิ๋งจิ่วก็ยิ่งดี
ไป๋กุ่ยคิดเช่นนี้
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ขอเพียงจิ๋งจิ่วเริ่มทำสมาธิ ดูดซับพลังวิญญาณในฟ้าดิน ไป๋กุ่ยก็จะกระโดดขึ้นไปนอนฟุบอยู่บนศีรษะของเขา
จักจั่นเหมันต์ก็นอนฟุบอยู่บนหัวของมัน
ภาพนี้ดูแล้วช่างตลกขบขัน โชคดีที่ไม่มีใครมาเห็นเข้า
แมวตัวหนึ่งกับแมลงตัวหนึ่งมิได้หนักอะไรมากมาย จิ๋งจิ่วมิได้สนใจ
กลับกลายเป็นไป๋กุ่ยที่ไม่ค่อยพึงพอใจ มันมักจะรู้สึกว่าจิ๋งจิ่วเกียจคร้านเกินไป เวลาในการทำสมาธิแต่ละวันสั้นเกินไป
โชคดีที่นอกจากเรื่องนี้แล้ว มันยังพบข้อดีอีกอย่างหนึ่ง
พระอาทิตย์ของยอดเขาเสินม่อทั้งกลมทั้งใหญ่กว่าพระอาทิตย์ของยอดเขาปี้หู
แสงอาทิตย์ที่นี่ก็อบอุ่นกว่า รสชาติดีกว่า เวลาอาบแดดแล้วสบายมากกว่า
อืม ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่ง
……
……
หลังเสร็จสิ้นการบำเพ็ญเพียรในวันหนึ่ง ไป๋กุ่ยกระโดดเข้าไปในอ้อมอกของเจ้าล่าเยวี่ย มันต้องการนอนหลับโดยให้นางกอดมันเอาไว้
หยวนฉวี่มองดูภาพเหตุการณ์นี้ ก่อนจะถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ถึงแม้จะได้ยินมาว่าแมวชอบนอน แต่ปกติก็มักจะออกไปเดินเล่นในเวลากลางคืน แต่เหตุใดท่านผู้พิทักษ์กลับมิได้มีความคิดเช่นนี้เลย? หลังจากมาที่ยอดเขาเสินม่อก็ไม่เคยไปไหนเลย”
จิ๋งจิ่วคิดในใจต่อให้ชิงซานจะกว้างใหญ่แค่ไหน ทิวทัศน์งดงามแค่ไหน แต่ดูมาเป็นเวลาหลายพันปียังไงก็ต้องมีวันที่ดูจนหมด แล้วยังจะมีที่ไหนที่ทำให้มันรู้สึกสนใจได้อีก? ในอดีตมันเคยรู้สึกเบื่อจนถึงขนาดวิ่งไปขุดสุสานตรงยอดเขาเร้นลับแถบนั้น ด้วยคิดอยากดูว่าจะมีสมบัติล้ำค่าอะไร ทำเอาวุ่นวายเละเทะไปหมด ศิษย์พี่รู้เรื่องเข้าจึงรู้สึกโกรธมาก เขากับซือโก่วจึงร่วมมือกันจัดการมันไปเสียยกใหญ่
มันไม่ชื่นชอบซือโก่ว ก็น่าจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้น
เช่นนั้นซือโก่วล่ะ? ความรู้สึกระหว่างมันกับศิษย์พี่ในเวลานั้นดีอย่างมาก แล้วความรู้สึกนั้นยังคงสืบเนื่องมาจนถึงตอนนี้หรือไม่?
หลังศิษย์พี่ถูกขังอยู่ในคุกกระบี่ เวลาที่มันเดินอยู่ในอุโมงค์อันมืดมิดเส้นนั้น มันรู้สึกอย่างไร?
……
……
มีหลายเรื่องที่คิดไม่เข้าใจ ต่อให้คิดจนกระทั่งดอกไม้ร่วงโรยไปก็ตาม
กลางฤดูร้อนมาถึง ชิงซานมีฝนตกลงมาบ่อยๆ เมื่อถึงเวลากลางคืน ฝนมักจะแรงขึ้นกว่าเดิม
ในค่ำคืนหนึ่ง บนยอดเขาปี้หูมีพายุฝนตามปกติ เมฆดำคุ้มคลั่ง สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนกระหน่ำลงไปยังเกาะเล็กๆ ที่อยู่กลางทะเลสาบเกาะนั้น
หลังแน่ใจว่าไม้วิญญาณอัศนีห้าท่อนนั้นไม่มีปัญหา จิ๋งจิ่วก็หมุนตัวเดินออกไปจากถ้ำ มาถึงใต้ชายคา ยืนอยู่ข้างกายเจ้าล่าเยวี่ย
ท้องฟ้ายามค่ำคืนบนยอดเขาปี้หูถูกสายฟ้าฉีกออกเป็นชิ้นๆ
ลำแสงกระบี่หลายสิบสายพลันปรากฏอยู่บนนั้น เสี่ยงอันตรายบินไปมาด้วยความเร็วสูง
นั่นคือศิษย์ชิงซานขั้นมิประจักษ์และคเนจรที่กำลังยืมพลังสายฟ้าชำระล้างกระบี่
ฝนปรอยๆ ที่ตกอยู่บนยอดเขาเสินม่อพลันหายไป หยวนฉวี่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ริมผาห้าวันห้าคืนลืมตาขึ้นมา ก่อนจะขี่กระบี่บินออกไป
เมื่อครู่นี้ เขาได้บรรลุสภาวะ เข้าสู่ขั้นมิประจักษ์ไปเรียบร้อย
กู้ชิงขี่กระบี่ขึ้นไป ตามอยู่ด้านหลังเขา
ไม่นาน ลำแสงกระบี่สองสายก็เข้าไปอยู่ในลำแสงกระบี่หลายสิบสายนั้น ไม่สามารถแยกแยะได้อีก
ริมผามิได้ว่างเปล่า
ไป๋กุ่ยจ้องมองไปทางยอดเขาปี้หู
ไม่ว่าสายฟ้าจะเจิดจ้าเพียงใด ม่านตาของมันก็มิได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้แต่น้อย ยังคงลึกและเงียบวังเวง คล้ายท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ปกป้องคุ้มครองไม้วิญญาณอัศนีคืองานของมัน ชิงซานเลี้ยงดูมัน มันก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดี
ก็เหมือนกับที่ซือโก่วทำอยู่อุโมงใต้ดินอันมืดมิด
ไม่ใช่ปรมาจารย์ทุกคนของชิงซานจะเกียจคร้านและไม่มีจิตสำนึกเหมือนจิ๋งจิ่ว
ภายใต้พายุฝน มันทอดตามองออกไปอย่างเงียบๆ
จักจั่นเหมันต์หมอบอยู่ข้างกายมัน
……
……
การบำเพ็ญเพียรไม่มีอะไรแปลกใหม่
สี่ฤดูเปลี่ยนผันก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
เพียงพริบตาเวลาปีกว่าก็ผ่านไป ฤดูหนาวมาเยือนชิงซานอีกครา
ภายในภูเขาไม่รู้ว่าด้านนอกภูเขาหนาวเย็นอย่างไร แต่กลับรู้ว่าทิวทัศน์เวลามีหิมะปกคลุมมันงดงามเพียงใด
ยังคงเป็นการร้องขอจากยอดเขาชิงหรง ในวันแรกที่หิมะตกลงมา ข่ายพลังชิงซานได้เปิดช่องขึ้นมาช่องหนึ่ง
หิมะโปยปรายลงมา ผ่านไปคืนหนึ่ง ยอดเขาซั่งเต๋อยิ่งขาวโพลน บนยอดเขาอื่นๆ ก็มีหิมะปกคลุมหนาๆ
มีเพียงยอดเขาปี้หูที่ดูคล้ายสวมหมวก ยิ่งไปกว่านั้นสีสันยังไม่น่าดูเท่าไร
กู้ชิงผลักประตูกระท่อมไม้ออก รับเอาผลไม้มาจากวานรก่อนจะกัดลงไปคำหนึ่ง ในขณะที่เตรียมจะใช้เพลิงกระบี่ล้างหน้า เขาพลันเห็นเบื้องหน้ากลายเป็นสีขาวโพลน จึงเปลี่ยนความคิดทันที
เขาใช้หิมะมาถูหน้า รู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเดินขึ้นไปบนยอดเขา จัดวางเตา โยนถ่านเงินเข้าไป จากนั้นเริ่มต้มน้ำชงชา
น้ำภายในกาเหล็กส่งเสียงเดือดออกมา หยวนฉวี่เดินขยี้ตาออกมาจากในถ้ำ
เขามองภาพนี้ รู้สึกตกใจเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ศิษย์พี่ วันนี้ต้มน้ำดื่มชาหรือ?”
กู้ชิงยิ้มพลางกล่าว “ใช่ นานๆ ทีหิมะจะตก”
หยวนฉวี่มองไปทางริมผา พลันเห็นในพื้นหิมะมีบางอย่างยกตัวขึ้นมา เมื่อมองดูดีๆ จึงพบว่าเป็นหางหางหนึ่งที่โผล่ออกมาด้านนอก
เขาครุ่นคิด จากนั้นถามว่า “เราปลุกท่านผู้พิทักษ์มากินชาดีไหม?”
กู้ชิงคิดในใจ ต่อให้ท่านผู้พิทักษ์จะมิใช่แมวธรรมดา แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นแมว
ยิ่งไปกว่านั้นแมวที่ชื่อหลิวอาต้าน่าจะอยากดื่มสุราหมักมากกว่าชาที่ชงออกมาในหิมะแรกของปีหรือเปล่า?
อยู่ด้วยกันมาปีกว่า แต่ทุกครั้งที่คิดถึงชื่อนี้ กู้ชิงยังคงรู้สึกไม่ชิน
เขาพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา กล่าวถามว่า “ในบรรดาผู้พิทักษ์ของชิงซาน ท่านไป๋กุ่ยอยู่ในอันดับแรกใช่หรือเปล่า?”
หยวนฉวี่กล่าวว่า “ทำไมถึงคิดเช่นนี้?”
กู้ชิงอ้าปากพูดโดยไร้เสียงว่าหลิวอาต้า
หยวนฉวี่เข้าใจความหมายของเขา ในใจครุ่นคิดว่าคงไม่ใช่หรอกกระมัง?
ด้านบนถ้ำมีเสียงจิ๋งจิ่วดังขึ้นมา “หยวนกุย เยาจี อาต้า ในชื่อของพวกมันล้วนแต่มีเลขหนึ่งอยู่ นั่นเป็นเพราะว่าพวกมันสามตัวล้วนแต่คิดจะเป็นพี่ใหญ่”
เมื่อคืนหิมะตกลงมา เขาย้ายกลับเข้าไปในตำหนัก เอาเก้าอี้ไม้ไผ่วางที่ข้างหน้าต่าง จากนั้นเปิดหน้าต่างตลอดทั้งคืน
หางที่ดูเหมือนเสาธงที่อยู่ในพื้นหิมะขยับ คล้ายกำลังแสดงออกว่าเห็นด้วย
กู้ชิงเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าต่าง ก่อนกล่าวว่า “อย่างนั้นท่านเย่เซี่ยวล่ะขอรับ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ซือโก่วคิดว่าพวกมันสามตัวปัญญาอ่อน”
กู้ชิงกับหยวนฉวี่นึกอยากหัวร่อ แต่เมื่อเห็นหางที่อยู่ในหิมะหางนั้น พวกเขากลับมิกล้า
ทันใดนั้นพลันมีเสียงหวีดดังขึ้นมา
เจ้าล่าเยวี่ยเดินไปริมผา คลายผนึกปิดกั้น ยื่นมือไปรับเอาจดหมายกระบี่ที่พุ่งเข้ามา
นางเปิดจดหมายกระบี่ออก ก่อนจะมองขึ้นไปยังชั้นสองพลางกล่าวว่า “สำนักกระบี่ซีไห่มาเยือน มีคนอยากจะท้าเจ้าสู้”
จิ๋งจิ่วถาม “ใคร?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เจ้าปัญญาอ่อนถงหลู”
กู้ชิงและหยวนฉวี่ทนไม่ไหวแล้ว พวกเขารีบฉวยโอกาสนี้หัวร่อออกมาเสียงดัง
……………………………….