มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 33 หากฟ้าไร้ความเมตตาก็คงไม่แก่
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ข้าบาดเจ็บไม่หนัก”
ซีหวังซุนกล่าวว่า “เจ้าไปหาถงหลูมา?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ใช่ขอรับ”
ซีหวังซุนกล่าว “ในอีกแง่หนึ่งแล้ว พวกเจ้าก็ถือเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน เหตุใดต้องเสี่ยงเช่นนี้?”
ถงหลูเป็นศิษย์ของเทพกระบี่ซีไห่ พรสวรรค์ทางวิถีกระบี่สูงส่ง ในการประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนั้น เจวี่ยนเหลียนเหรินได้จัดให้เขาอยู่ในอันดับรองจากลั่วไหวหนาน จากจุดนี้จะเห็นได้ถึงความสามารถของเขา ถึงแม้หลิ่วสือซุ่ยจะกลืนกินตานปีศาจลงไป อีกทั้งยังฝึกวิชามารของสำนักเสวี่ยหมัวจนสำเร็จ แต่ถ้าหากว่ากันตามสภาวะความสามารถแล้วก็ยังเป็นรองถงหลูอยู่
แต่เขากล้าแลกชีวิต พูดให้ถูกก็คือในการออกกระบี่และออกหมัดทุกครั้ง เขาจะคิดว่ามันเป็นการโจมตีครั้งสุดท้ายของชีวิต
ถงหลูทำเช่นนี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงพ่ายแพ้
ซีหวังซุนถามว่า “เพราะเขาไปเที่ยวประกาศว่าจิ๋งจิ่วเป็นคนขี้ขลาด เจ้าเลยโมโห?”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ใช่ คุณชายมิใช่คนแบบนั้น”
ซีหวังซุนเองก็นิ่งเงียบไปครู่เช่นกัน จากนั้นกล่าวว่า “เจ้าเอาชนะถงหลูได้ นี่เหนือไปจากที่ข้าคาดคิดเอาไว้จริงๆ”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “นั่นเป็นเพราะท่านสั่งสอนข้าดีขอรับ”
ซีหวังซุนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ต่อให้ข้าจะดีต่อเจ้าแค่ไหน แต่ดูแล้วก็คงมิอาจเทียบกับความสัมพันธ์นายบ่าวของพวกเจ้าได้”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบนานขึ้นกว่าเดิม ก่อนกล่าวว่า “คุณชายดีต่อข้าอย่างมาก แต่ว่านี่ไม่เหมือนกัน”
ซีหวังซุนมองดูเขาอย่างเงียบๆ อยู่เป็นนาน
ภายในห้องยิ่งเงียบกว่าเดิม แสงสว่างจากไข่มุกราตรีค่อยๆ สลัวลง
“เจ้าเริ่มฝึกได้แค่สิบกว่าปีก็สามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้ สมแล้วที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด ข้าตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกเจ้ามา แต่เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า”
ซีหวังซุนกล่าว “ต้นสายปลายเหตุทั้งหมดเจ้าก็ได้รู้แล้ว ขอเพียงไม่โกรธแค้นข้าก็พอ”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร
กุ่ยมู่หลิงที่อยู่ใต้แม่น้ำจั๋ว
ตานปีศาจที่ร้อนระอุเม็ดนั้น
วิชามารของสำนักเสวี่ยหมัวที่อยู่ใส่ไว้ในตาน แล้วยังมีวิธีในการแอบซ่อนกลิ่นอายของตาน
ทั้งหมดนี้ทำให้เขากลายเป็นตัวเขาในตอนนี้
เมื่อปีที่แล้ว เขาถึงได้รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการที่ใครบางคนวางขึ้นมา
คนผู้นั้นก็คือซีหวังซุน
นี่คือแผนชั่ว
แผนชั่วนี้เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
—-ผู้บำเพ็ญพรตที่สามารถต่อต้านความเย้ายวนเช่นนี้ได้มีน้อยมาก
ต่อให้กับดักนอกมณฑลหนานเหอไม่สำเร็จ ซีหวังซุนก็ยังเตรียมแผนการคล้ายๆ กันนี้เอาไว้ตามที่ต่างๆ บนแผ่นดินเฉาเทียน ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแผนการของเขาได้ผลอย่างมาก
ซีหวังซุนวางกับดักนี้ขึ้นมา ด้วยตอนแรกสุดคิดอยากจะล่อลวงศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างผู้หนึ่งให้เป็นสายในชิงซานให้แก่ปู้เหล่าหลิน
ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างที่เขาพึงพอใจก็คือเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดหลิ่วสือซุ่ย
แต่สิ่งที่เขาไม่พอใจก็คือหลิ่วสือซุ่ยแสดงไม่เป็น ไม่นานก็ถูกคนล่วงรู้อย่างรวดเร็ว จากนั้นถูกขับออกมาจากสำนัก
เดิมเขาค่อนข้างผิดหวัง แต่ภายหลังพบว่าการที่ศิษย์ที่ถูกขับออกจากชิงซานคนหนึ่งกลายมาเป็นนักฆ่าของปู้เหล่าหลินก็เป็นถือเรื่องที่ดีมากเช่นกัน
นี่จะต้องสร้างความอับอายขายหน้าให้แก่สำนักชิงซานอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของหลิวสือซุ่ยนั้นดีจริงๆ ดีจนกระทั่งเขาเองก็ยังรู้สึกเสียดาย
ดังนั้นเขาจึงพาหลิ่วสือซุ่ยกลับมายังปู้เหล่าหลิน จากนั้นคอยสังเกตเป็นเวลาห้าปี
หากเป็นคนอื่น เขาจะต้องคอยสังเกตนานกว่านั้นเป็นแน่ แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลิ่วสือซุ่ยจะไปสังหารลั่วไหวหนาน
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา หลิ่วสือซุ่ยก็ไม่อาจหักหลังปู้เหล่าหลินได้อีก
เหตุผลที่สำคัญกว่านั้นก็คือในที่สุดซีหวังซุนก็เริ่มเชื่อใจเขา เริ่มใช้เขา กระทั่งเริ่มถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้เขา
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลิ่วสือซุ่ยยังคิดอยากจะสังหารถงหลูด้วย
เมื่อมองดูชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ สายตาของซีหวังซุนเย็นยะเยือกเล็กน้อย
“หากมีคนที่เหมาะสม ข้าสามารถไปฆ่าให้ได้” หลิ่วสือซุ่ยก้มหน้าพลางกล่าว
ซีหวังซุนรู้ว่าเขากำลังแสดงการขอโทษ สีหน้าจึงอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดถึงเรื่องที่หลิ่วสือซุ่ยไปทำมาเรื่องนั้น จึงกล่าวหยอกล้อว่า “เจ้ายืนกรานว่าจะไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ก็ว่าไปอย่าง แต่สุดท้ายกลับเกือบต้องทิ้งชีวิตตัวเองไปเพราะคนที่เรียกว่าผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น มีนักฆ่าที่ไหนเป็นแบบเจ้าบ้าง”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ดังนั้นท่านถึงได้ให้ข้ามาอ่านเขียนหนังสือฝึกกระบี่อยู่ที่นี่?”
ซีหวังซุนกล่าว “ถูกต้อง เพราะข้าอยากจะให้เจ้าพิสูจน์ให้ชิงซานได้เห็น พวกเราคาดหวังกับเรื่องนี้เอาไว้มาก”
หลิ่วสือซุ่ยสังเกตเห็นว่าเขาใช้คำว่าพวกเรา
ซีหวังซุนดีดนิ้วเบาๆ บันทึกหยกเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนโต๊ะ
“วิเคราะห์ข้อมูลของพวกเขา เลือกคนที่เหมาะสมไปฆ่าซูจึเย่ของสำนักเสวียนอิน แผนการวางให้ดี ให้เหมือนกับที่เจ้าสังหารลั่วไหวหนานเมื่อครั้งที่แล้ว”
ครั้นกล่าวจบ ซีหวังซุนก็เดินออกจากห้องไป
หลิ่วสือซุ่ยพลิกเปิดบันทึกหยกเล่มนั้น ตัวหนังสือจำนวนมากสะท้อนเข้ามาในม่านตา
ตัวหนังสือเหล่านั้นคือรายชื่อและข้อมูลของสมาชิกปู้เหล่าหลิน
ชื่อแซ่เหล่านั้นเขียนขึ้นมาจากเลือด ยากที่จะลบออกได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีจิตจำแนกประทับเอาไว้ด้วย
หลังเขียนชื่อลงไปบนบันทึกหยกแล้ว คนผู้นั้นก็ยากจะที่ทรยศปู้เหล่าหลินได้อีก มิเช่นนั้นหากถูกโลกภายนอกล่วงรู้เข้า ก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว
สำหรับหลิ่วสือซุ่ยแล้ว รายชื่อบนบันทึกหยกล้วนแต่มีความแปลกหน้า ดูแล้วน่าจะเป็นคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองและในชนบท
ชื่อบางชื่อทำให้เขารู้สึกคุ้นตา น่าจะเป็นผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในสำนักต่างๆ และในราชสำนัก
อย่างเช่นชื่อที่เขากำลังดูอยู่ในตอนนี้ — หลิวเซียง
หลิวเซียงเป็นศิษย์รุ่นสองของสำนักคุนหลุน สภาวะลึกล้ำ ถนัดเพลงกระบี่น้ำแข็งเหมันต์
ใครจะไปคิดบ้างว่าเขาจะเป็นสมาชิกของปู้เหล่าหลิน
หลิ่วสือซุ่ยพลิกอ่านบันทึกหยก สีหน้าบนใบหน้ายังคงเรียบเฉย — บันทึกหยกแบบนี้เขาเคยอ่านมาหลายเล่มแล้ว เพียงแต่รายชื่อบนบันทึกหยกเหล่านั้นมีความธรรมดามากกว่า ไม่ว่าจะเป็นระดับในการแอบซ่อนตัวหรือว่าสภาวะ เทียบกับบันทึกหยกเล่มนี้แล้วถือว่าต่างกันมาก
เขาหยิบกระดาษขาวแผ่นใหม่มา ยกพู่กันจุ่มลงไปในหมึก จากนั้นเริ่มคัดเลือกคน วางแผนการ
ตัวหนังสือที่เขียนขึ้นมาจากน้ำหมึกที่สดใหม่หลั่งไหลออกมาตามปลายพู่กัน กลายเป็นรายละเอียดในการสังหารจำนวนนับไม่ถ้วน
ความจริงแล้ว ในเวลานี้หลิ่วสือซุ่ยมิได้คิดถึงนายน้อยของสำนักเสวียนอินผู้นั้นเลย หากแต่กำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่
มีหลายเรื่องที่ในเวลานี้เขายังคงไม่มั่นใจ
วันนี้เขานัดถงหลูไปต่อสู้ยังโขดหินโสโครก นอกจากเพื่อระบายความโกรธให้คุณชายแล้ว เขายังคิดหยั่งเชิงอีกฝ่ายดูด้วย
ตอนนี้ดูแล้ว ถงหลูน่าจะยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ในปู้เหล่าหลิน มิเช่นนั้นคงไม่มีทางแสดงความตกใจออกมาเช่นนั้นในตอนที่เขาทำลายเพลงกระบี่กระแสน้ำซ่อนเร้นได้
แบบนี้ก็หมายความว่ามิใช่ทั้งสำนักกระบี่ซีไห่ที่ถูกปู้เหล่าหลินควบคุม มีแต่สายสืบทอดของซีหวังซุน?
ซีหวังซุนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาริมทะเลตะวันตกเมื่อสิบกว่าปีก่อนมาจากที่ไหนกันแน่ เขาเป็นใครกันแน่?
เหตุใดเทพกระบี่ซีไห่ถึงได้เชื่อใจเขาถึงเพียงนี้ ระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่?
หลิ่วสือซุ่ยวางพู่กันในมือลง จากนั้นทอดตามองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาดูสับสน
ในเวลาสองปีนี้ ซีหวังซุนเชื่อใจเขาเป็นอย่างมาก ในด้านวิถีกระบี่ก็ให้คำชี้แนะอย่างเต็มที่
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าความเชื่อใจนี้ หรือพูดอีกอย่างก็คือการให้ความสำคัญนี้มันคืออะไรกันแน่
เขาดึงสายตากลับมา ก้มหน้าเขียนหนังสือต่อ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดแผนการก็ถูกเขียนออกมา เขาเป่ากระดาษแผ่นนั้นสองสามที จากนั้นเหลือบมองดูบันทึกหยกเล่มนั้นอีกทีหนึ่ง ก่อนจะเก็บมันขึ้น
ระดับของบันทึกหยกเล่มนี้ยังไม่สูงพอ กระทั่งชื่อของเขาก็ไม่มี
แล้วก็ไม่รู้ว่าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงของปู้เหล่าหลินที่แอบซ่อนตัวอยู่ในสำนักต่างๆ และในราชสำนักเหล่านั้นเป็นใครกันแน่
ดูแล้วชื่อเหล่านั้น ทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรตน่าจะเคยได้ยินเป็นแน่
……
……
ในส่วนลึกของตำหนัก มีเก้าอี้หินขนาดใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง
ซีหวังซุนนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน ครุ่นคิดบางสิ่งอย่างเงียบๆ
แสงสว่างจำนวนมากสาดส่องลงมาเบื้องหน้า กลายเป็นม่านแสงแถบหนึ่ง
เขาแอบซ่อนตัวอยู่ในความมืดด้านหลังม่านแสง ไม่สามารถมองเห็นได้
เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาดังขึ้นมา
หญิงสาวในชุดสีเขียวนางหนึ่งก้าวเดินเข้ามาในตำหนัก คุกเข่าลงเบื้องหน้าม่านแสง
“เงยหน้าขึ้นมา”
ซีหวังซุนกล่าว
หญิงสาวชุดเขียวลุกขึ้น
ใบหน้านางงดงาม สีหน้าดูอ่อนโยนมีเสน่ห์ นางคือเสี่ยวเหอแห่งเมืองอิ้งเฉิงที่จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเคยพบในเมืองไห่โจวเมื่อครานั้น
…………………………..