มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 41 คนยักษ์ที่ก้าวข้ามภูเขาและมหาสมุทร
เทือกเขาเทือกนั้นป้องกันคลื่นยักษ์และลมทะเลอันน่าหวาดกลัวเอาไว้ ทิ้งแค่หยาดฝนและแสงอาทิตย์เอาไว้ให้โลกที่อยู่ด้านนั้นของภูเขา
ทางด้านนั้นของภูเขาเป็นป่าทึบ เมื่อมองจากข้างบนแล้ว คล้ายกับขนที่เล็กละเอียด ด้านนอกป่าคือทุ่งอันกว้างใหญ่ไพศาล ทุ่งหญ้าเป็นเหมือนพรมสีเขียว
ที่นี่อยู่ห่างจากแผนดินเฉาเทียนไม่รู้กี่หมื่นลี้ แต่กระบี่มิคำนึงกลับเหมือนว่าเคยมาที่นี่มาก่อน มิได้มีความลังเลใดๆ พุ่งจากบนท้องฟ้าลงไปยังแผ่นดิน
ความสูงของภูเขาทางทิศใต้สุดมีลักษณะค่อยๆ ลดระดับต่ำลงจนจมลงไปในน้ำทะเล ด้านในเกิดคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วน นกทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนโบยบินจับเหยื่อ ส่งเสียงร้องดังแสบแก้วหู
กระบี่มิคำนึงน้อยนิ่งๆ อยู่ในฝูงนกที่ดูคล้ายเงาสีดำ ปลายกระบี่ชี้ไปทางป่าอยู่ที่บนแผ่นดินผืนนั้น ตัวกระบี่มีน้ำค้างแข็งจับตัวบางๆ อยู่ชั้นหนึ่ง
การที่บินอยู่ในดินแดนแห่งความว่างเปล่าและแดนอัศนีด้วยความเร็วเช่นนี้ ต่อให้เป็นกระบี่เซียนก็ได้รับความเสียหายอยู่บ้างเช่นเดียวกัน
นกของที่นี่มิได้ต่างอะไรกับนกที่แผ่นดินเฉาเทียน แต่พรรณไม้ที่อยู่ในป่ากลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ลำต้นสีน้ำตาลสูงประมาณร้อยกว่าจ้าง ใบไม้สีเขียวมีขนาดใหญ่มาก ดูแล้วคล้ายพัดที่มีคนยักษ์เท่านั้นถึงจะใช้ได้ ใบไม้นับหลายร้อยใบทับกันเป็นชั้นๆ ตรงกลางมีผลผลิออกมาลูกหนึ่ง
เปลือกนอกของผลมีลักษณะกึ่งโปร่งแสง มีสีชมพูจางๆ ดูไปคล้ายกับดอกบัวขนาดใหญ่ดอกหนึ่ง
ลมทะเลพัดมา ส่งเสียงดังซ่าๆ ขอบของใบไม้สีเขียวพลิ้วไหวไปมาไม่หยุด คล้ายดั่งคลื่นทะเลก็มิปาน
เสียงเสียดสีที่ชัดเจนดังขึ้น เปลือกนอกของผลที่ดูคล้ายดอกบัวเหล่านั้นหลุดร่วงออกมาเป็นชั้นๆ เผยให้เห็นภาพที่อยู่ด้านใน
ดอกบัวแต่ละดอกล้วนแต่มีคนอยู่หลายคน ในมือคนเหล่านั้นถือหอกเล็กๆ ที่เปล่งประกายสีทอง มองดูกระบี่มิคำนึงที่อยู่บนทะเลอย่างระแวดระวัง
คนเหล่านี้แตกต่างจากคนบนแผ่นดินเฉาเทียน ใบหน้ามีความงดงามมากกว่า เผลอๆ อาจจะงดงามกว่าผู้บำเพ็ญพรตเสียด้วยซ้ำ แขนขายาว ไม่รู้ว่ามีแบ่งชายหญิงหรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีปีกที่มีลักษณะกึ่งโปร่งแสงเหมือนดั่งปีกของจักจั่น คล้ายกับภูติที่อยู่ในเรื่องเล่าเทพนิยายของแผ่นดินเฉาเทียน
มีคนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าเดินมาข้างหน้าสุด มองดูกระบี่มิคำนึงพลางตะโกนอะไรบางอย่าง
กระบี่มิคำนึงไม่มีการตอบสนอง
ภูติที่เป็นหัวหน้าตนนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นกล่าวอะไรออกมาอีกสองสามประโยค
ภูติสองตนกระพือปีก บินไปยังภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ด้านหลังป่า ดูแล้วน่าจะไปขอกำลังเสริม
……
……
ท้องฟ้าสีครามพลันมีเมฆครึ้มปรากฏขึ้นมาเป็นจำนวนมาก สายฟ้าฟาดส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่กลับไม่มีฝนตกลงมา
เหล่าภูติที่อยู่บนต้นไม้ตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดี ดูค่อนข้างตื่นเต้น
สายฟ้าจำนวนหลายร้อยสายฟาดลงไปบนเทือกเขานั้น บางครั้งจะมีประกายไฟอันเจิดจ้าลุกโชนขึ้นมา แต่ส่วนใหญ่จะหายไปอย่างไร้ซุ่มเสียง
พื้นดินพลันสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง ไม่รู้ว่าปีศาจจำนวนมากน้อยเท่าไรที่หนีออกมาจากในป่า ก่อนจะพากันกระโดดลงไปในทะเลกันอย่างหวาดกลัว
บนทะเลเกิดคลื่นยักษ์ เหล่านกทะเลต่างบินหนีไปอย่างหวาดกลัว เกิดเป็นเงาดำที่กำลังบินห่างออกไปจากผิวน้ำ
เหล่าภูติที่อยู่บนต้นไม้กลับมิหวาดกลัว พวกเขายังคงตะโกนโห่ร้องอย่างดีใจ มองไปยังเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไปเทือกนั้น ในสายตาเต็มไปด้วยความยำเกรงและเลื่อมใสศรัทธา
เทือกเขาค่อยๆ ยกตัวขึ้นมา แผ่นดินไหวอย่างนั้นหรือ? ภูเขาลูกนั้นจะถล่มลงมาแล้ว?
ไม่ เทือกเขาเทือกนั้นลุกยืนขึ้นมา
ที่แท้มันคือยักษ์
……
……
ยักษ์ตัวสูงใหญ่
ในตอนที่เขายืนขึ้นมา เมฆครึ้มเหล่านั้นถูกร่างกายอันใหญ่โตของเขาพัดจนแตกกระจาย สายฟ้าเหล่านั้นก็หายตามไปด้วย
หัวของเขาสูงขึ้นไปถึงท้องฟ้าสีคราม ให้ความรู้สึกว่าขอเพียงเขย่งตัวเบาๆ ท้องฟ้าก็จะแตกกระจายออกเป็นแผ่นกระเบื้องสีน้ำเงินชิ้นเล็กๆ
บนใบหน้าของยักษ์มีรอยแผลอยู่หลายแผล และยังมีรอยไหม้ด้วย คล้ายผ่านความทุกข์ยากมามากมาย
สายตาของเขาดูใสสะอาด เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและความอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็ก มองดูกระบี่มิคำนึงที่อยู่บนผิวทะเล ก่อนจะยิ้มออกมา
ภูติที่อยู่ในป่ารับรู้ได้ถึงอารมณ์ของยักษ์ จึงพากันเก็บหอกเล็กๆ ที่อยู่ในมือ จากนั้นกลับไปในดอกบัวที่ตัวเองอยู่
ยักษ์กวักนิ้วมือเรียกกระบี่มิคำนึง การเคลื่อนไหวดูค่อนข้างเชื่องช้า
กระบี่มิคำนึงบินสูงขึ้นไป บินไปชั่วครู่หนึ่งจึงจะมาถึงตรงหน้ายักษ์
เมื่อเทียบกับยักษ์แล้ว มันคล้ายดั่งเศษฝุ่นเล็กๆ เม็ดหนึ่ง แทบจะไม่สามารถมองเห็นได้
ยักษ์เอียงศีรษะมองดูกระบี่มิคำนึง ทั้งรู้สึกประหลาดใจ และรู้สึกสงสัย
“อาเจีย?”
บนท้องฟ้าเกิดลมคุ้มคลั่งขึ้นมา
เสียงของเขาดังราวสายฟ้าฟาด ต่อให้เป็นเมืองที่อยู่ห่างออกไปเป็นหมื่นลี้ก็ยังได้ยิน
ความหมายของยักษ์คือ ทำไมเจ้าถึงยังไม่ไปล่ะ?
ในปีนั้นก่อนที่ข้าจะหลับไป ข้าได้บอกลาเจ้าแล้ว ข้ายังจำได้ว่าตอนนั้นข้าค่อนข้างเสียใจ แล้วทำไมเจ้าถึงกลับมาล่ะ?
กระบี่มิคำนึงสั่นไหวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สงเสียงหวึ่งๆ ออกมา จากนั้นก็บินไปมาตรงหน้ายักษ์ด้วยความเร็วสูง วาดเป็นวงกลมรูปทรงต่างๆ คล้ายกับผึ้งป่าโบยบินอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่มีความซับซ้อนมากกว่าไม่รู้กี่เท่า
ยักษ์เข้าใจความหมายของกระบี่มิคำนึง มันอ้าปากอย่างตกใจ รอยยิ้มในดวงตาไหลออกมาราวน้ำผึ้ง ตรงส่วนคิ้วที่ปูดนูนออกมาขยับขึ้นลงช้าๆ
“อาเจีย”
เสียงที่ทุ้มต่ำของเขาตกลงไปบนทะเล คล้ายดังวาฬหัวทุยจำนวนหลายร้อยตัวส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน คลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนซัดสาดขึ้นมา
กระบี่มิคำนึงมิได้รั้งอยู่อีก หากแต่หันหน้าบินกลับไปทางแผ่นดินเฉาเทียน ความเร็วเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็หายลับไปจากขอบฟ้า
ยักษ์มุ่งหน้าไปในทะเล ภายในทะเลเกิดคลื่นยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วน หินโสโครกถูกเหยียบจนแตกละเอียด ดูคล้ายโคลนอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาสีของน้ำทะเลเปลี่ยนไป
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ยักษ์ก็มาถึงทะเลลึก
ยิ่งมุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของทะเล น้ำทะเลก็ยิ่งลึก น้ำทะเลที่นี่ลึกหลายร้อยจ้าง ท่วมขึ้นไปถึงหัวเข่าของยักษ์แล้ว
ยักษ์มุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ ในตอนที่พระอาทิตย์ปรากฏขึ้นเหนือหัวของเขา ในน้ำทะเลที่อยู่เบื้องหน้าก็มีเงาสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา
เงาสีดำนั้นคือร่องลึกก้นสมุทรลั่วเสิน เป็นหุบเขาใต้ทะเลที่ลึกอย่างมาก ว่ากันว่ามีทางที่จะไปยังเผ่าหมิงแอบซ่อนอยู่ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครหาพบ กระแสน้ำซับซ้อนเป็นอย่างมาก มีลมพายุอันน่ากลัวทุกปี ในทะเลมีปีศาจที่น่ากลัวจำนวนนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญพรตขั้นแหวกทะเลก็ยังไม่กล้าเสี่ยงเข้าไปง่ายๆ มีเพียงเรือสินค้าของเกาะเผิงไหลที่จะปรากฏขึ้นบางครั้งเท่านั้น
ที่นี่ลึกอย่างมาก น้ำทะเลท่วมขึ้นมาถึงคอของยักษ์แล้ว
ยักษ์มองดูทะเลที่อยู่เบื้องหน้า รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะไม่มีทางถูกน้ำท่วมจนตาย แต่ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
หลังจากนั้น ยักษ์ได้เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ไม่ง่ายเลยที่จะมาเจอน้ำที่ลึกขนาดนี้ จะอาบน้ำที่นี่สักหน่อยดีไหมนะ?
แต่เรื่องที่เพื่อนไหว้วานมายังจัดการไม่เสร็จ เดินหน้าต่อไปดีกว่า
……
……
ตั้งแต่รุ่งเช้าจนถึงพลบค่ำ ยักษ์เดินอยู่ในทะเล คล้ายดั่งภูเขาที่เคลื่อนที่ได้
ปลาและปีศาจในทะเล นกที่อยู่บนท้องฟ้า เมื่อเห็นเงามืดนั้นจากไกลๆ ก็พากันหลบหนีไปด้วยความหวาดกลัว
ยักษ์ไม่ได้วิ่ง เพราะถ้าทำแบบนั้น หัวของเขาจะเข้าไปในดินแดนแห่งความว่างเปล่าได้ง่าย การที่ไม่มีอากาศหายใจมันค่อนข้างทรมาน
หากเขาวิ่งเร็วขึ้นอีกหน่อย เผลอๆ ตัวเขาอาจจะลอยขึ้นเหนือน้ำทะเล กระโดดขึ้นไปถึงแดนอัศนี
ความรู้สึกเวลาที่โดนฟ้าผ่าลงมาที่หัวนั้นมิค่อยดีเท่าไร ตอนเด็กๆ เขาเคยลิ้มรสมันมาแล้ว ร่องรอยบนใบหน้าคือเครื่องยืนยัน
ฝีเท้าของเขาค่อนข้างช้า โชคดีที่แต่ละก้าวล้วนแต่ก้าวไปได้ไกล ในตอนที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน ในที่สุดเขาก็มาถึงจุดหมายในการเดินทางครั้งนี้
นั่นคือเกาะที่มีหมอกปกคลุมเกาะหนึ่ง
เมื่อก่อนยักษ์เคยมาที่นี่ เขารู้สึกว่าหมอกนั้นมีความแปลกประหลาดอย่างมาก ไม่สามารเป่าให้มันหายไปได้ แล้วก็ไม่สามารถใช้มือพัดให้มันหายไปได้
ในตอนนั้นเขาเคยลองใช้มือวักน้ำขึ้นมารดไปบนเกาะ ด้วยหวังจะรดให้หมอกสลายตัวไป แต่เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
ยักษ์ครุ่นคิด ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางเหนือ มาถึงน้ำวนยักษ์แห่งหนึ่ง
มือซ้ายของเขาคว้าจับภูเขาใต้ทะเลที่มีความแข็งแรงมั่นคงเอาไว้ มือขวาล้วงลงไปในน้ำวนยักษ์อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะล้วงเอาต้นไม้โบราณหมื่นปีขึ้นมาต้นหนึ่ง
ต้นไม้โบราณนั้นถูกแช่อยู่ในน้ำมาเป็นเวลานาน กิ่งไม้และใบไม้ผุพังไปจนหมด เหลือเพียงลำต้นที่มีขนาดใหญ่
ต้นไม้มีความยาวประมาณพันจ้าง แต่เมื่ออยู่ในมือของคนยักษ์แล้วดูคล้ายกระบองไม้เล็กๆ ท่อนหนึ่ง
ยักษ์กลับมายังเกาะหมอก ตะโกนเสียงดังไปทางเกาะ จากนั้นนั่งลงในทะเล มือถือต้นไม้หมื่นปีเอาไว้ สายตาจ้องมองไปทางเกาะเหล่านั้น
ภาพบนเกาะปรากฏขึ้นลางๆ มีผู้บำเพ็ญพรตกำลังตะโกนอะไรบางอย่างด้วยความหวาดกลัว ชี้นิ้วมาทางยักษ์
ยักษ์มิได้สนใจ มันยังคงเฝ้าเกาะหมอกแห่งนี้เอาไว้ เพียงแต่รู้สึกค่อนข้างเบื่อ อยากจะนอน จึงหาวออกมาทีหนึ่ง
………………………….