มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 47 กระบี่ที่คมที่สุดในโลก
เสียงกู่เจิงดังขึ้นอีกครั้ง เศษซากของเหลาสุราถูกพลังที่มองไม่เห็นกวาดออกไปจนหมด เผยให้เห็นปากทางเข้าอุโมงค์ใต้ดิน เสียงกู่เจิงไหลเข้าไปตามรอยแตกของเศษหินตรงปากทางเข้า
อวี้ปู้ฮวนและถูชิวมองหนานเจิง
หนานเจิงส่ายศีรษะ ภายในอุโมงค์มีทางแยกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข่ายพลังสำหรับตัดขาดจิตจำแนกวางเอาไว้เป็นจำนวนมาก เสียงกู่เจิงของนางไม่สามารถไล่ตามต่อไปได้
ดูเหมือนอีกฝ่ายน่าจะเตรียมการเอาไว้นานแล้ว เมื่อคิดถึงจุดนี้ สีหน้าของทั้งสามคนดูแปลกไปเล็กน้อย
ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนใกล้ชิดของนายท่าน หลิ่วสือซุ่ยทรยศไปแล้ว เหตุใดเสี่ยวเหอถึงทรยศด้วย?
……
……
ภายในอุโมงค์มืดมิด ไม่มีแสงสว่างแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้ในดวงตาจะมีเพลิงปีศาจลุกไหม้ แต่ก็มองเห็นได้แต่ในระยะใกล้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นการออกแบบของที่นี่ยังซับซ้อนเป็นพิเศษ หลิ่วสือซุ่ยไม่รู้ว่าในเวลานี้อยู่ที่ไหนแล้ว เขาได้แต่ต้องวิเคราะห์จากอากาศที่อยู่รอบๆ ที่ประเดี๋ยวแห้งประเดี๋ยวชื้น น่าจะวนอยู่รอบเมืองไห่โจว
จากนั้น จากอุณหภูมิของมือที่จูงตัวเองอยู่ทำให้เขารับรู้ได้ว่านางเองก็ตื่นเต้นอย่างมากเช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจูงมือผู้หญิง รู้สึกมิค่อยชิน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับรู้สึกสบายใจ
ก็เหมือนกับทุกครั้งที่ไปกินข้าวในเหลาสุรา เขาและนางนั่งอยู่กันคนละฝั่งของโต๊ะ ไม่จำเป็นต้องพูดจา แต่ใจกลับรู้สึกสงบ
ทั้งสองคนเดินจูงมือไปข้างหน้าในอุโมงค์ใต้ดิน นิ่งเงียบมิได้พูดอะไร แขนแกว่งไปมา มีของบางสิ่งไหลจากข้อมือของนางมาที่ข้อมือของเขา
ของสิ่งนั้นภายนอกเป็นมันวาว มีสัมผัสที่เย็น คล้ายเป็นกำไลข้อมือที่ทำจากโลหะ
หลิ่วสือซุ่ยอยากจะเตือนนาง แต่เสี่ยวเหอพลันหยุดฝีเท้า ไข่มุกราตรีที่อยู่สองฝั่งของอุโมงค์ใต้ดินสว่างขึ้นมา ส่องสว่างผนังหินที่ขว้างกั้นอยู่ด้านเบื้องหน้า
นางเดินไปที่ผนังหินแล้วเริ่มทำการคลายกลไก นิ้วมือเคลื่อนไหวจนทิ้งเงาเป็นสายๆ ยากจะมองเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า
หลิ่วสือซุ่ยมองดูแผ่นหลังของนาง พลางถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงช่วยข้า?”
เขารู้แต่แรกแล้วว่าเสี่ยวเหอเป็นคนของปู้เหล่าหลิน ยิ่งไปกว่านั้นระดับของนางน่าจะสูงพอสมควรด้วย เผลอๆ อาจจะเป็นคนใกล้ชิดของซีหวังซุน
ที่เสี่ยวเหอกล่าวเตือนเขาตอนที่อยู่ในเหลาสุรานั้นทำให้เขาไม่ค่อยเข้าใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางทำอยู่ในตอนนี้
“ก่อนหน้านี้ข้ายังพูดไม่จบ”
เสี่ยวเหอมิได้หมุนตัวกลับมา หากแต่ด้านหนึ่งก็คลายกลไกไป อีกด้านหนึ่งก็กล่าวอธิบาย
“那间酒楼以前是个客栈,很多年前,我在那个客栈里遇到了一男一女两个人,他们临走之前拿走了我一件东西,给我留下了一个东西,那个男人对我说,以后我会遇到你,那么无论你要做什么“เมื่อก่อนเหล่าสุราแห่งนั้นเป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน ข้าได้เจอกับชายหญิงคู่หนึ่งในโรงเตี๊ยมแห่งนั้น ก่อนพวกเขาจะจากไปได้เอาของสิ่งหนึ่งไปจากข้า และทิ้งของสิ่งหนึ่งเอาไว้ให้ข้า ชายผู้นั้นกล่าวกับข้าว่าต่อไปข้าจะได้เจอเจ้า เช่นนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าก็ต้องช่วยเจ้าทำให้สำเร็จ”
หลิ่วสือซุ่ยไม่เข้าใจ กล่าวถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงรับปากเขา? ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนคนนั้นคือข้า?”
เสี่ยวเหอนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เพราะข้ากลัวเขาอย่างมาก”
นางมิได้ตอบคำถามเขาว่าตัวเองรู้ได้อย่างไรว่าเขาคือคนผู้นั้น
เมื่อเสียงเสียดสีที่หนักอึ้งดังขึ้น ผนังหินที่ดูเหมือนเป็นชิ้นเดียวกันค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นอุโมงค์ที่อยู่ด้านหลัง
เสี่ยวเหอพาเขาเดินเข้าไป
ทางเดินใต้ดินที่อยู่ด้านหลังผนังหินก็ซับซ้อนอย่างมากเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันอาจจะมีทางแยกที่ทำปลอมขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นข่ายพลังที่ตัดขาดจิตจำแนกก็ปรากฏขึ้นให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
หลิ่วสือซุ่ยถามว่า “เจ้าเตรียมการมานานหลายปีแล้ว?”
“ใช่”
เสียงของเสี่ยวเหอมิได้เผยให้เห็นอารมณ์ใดๆ แต่นางกลับยกแขนขึ้นมาเช็ดดวงตา คล้ายว่าร่ำไห่
หลิ่วสือซุ่ยคิดในใจว่าหญิงผู้นี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง
ทั้งสองคนเดินต่อไปอย่างเงียบๆ อีกครู่ใหญ่ ในที่สุดก็มาถึงปลายสุดของทางเดินใต้ดิน
ภายในภูเขาแห่งหนึ่งนอกเมืองไห่โจว หน้าผาและต้นไม้แถบหนึ่งบนภูเขาพังถล่มลงมา เผยให้เห็นทางออกของอุโมงค์ใต้ดิน
ด้วยแสงอาทิตย์และภูมิประเทศ หลิ่วสือซุ่ยวิเคราะห์ตำแหน่งและเวลาคร่าวๆ ในตอนนี้ได้
เขาคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา จึงก้มหน้ามองลงไป ครั้นเห็นกำไลข้อมืออันนั้นก็อดรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาไม่ได้
กำไลข้อมือนี้เขาคุ้นตาเป็นอย่างมาก
เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในหมู่บ้านบนภูเขา เขามองมันเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม
ในป่าที่วังเวงและเงียบสงัดพลันมีลมพัดขึ้นมา
ภายในลมมีเสียงกู่เจิงดังมาแต่ไกล
สีหน้าเสี่ยวเหอแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด
นางคิดไม่ถึงว่าตัวเองเตรียมการมานานขนาดนี้ สุดท้ายกลับไร้ประโยชน์ เพียงไม่นานก็ถูกคนของปู้เหล่าหลินตามมาทันอย่างรวดเร็ว
จากนั้นนางก็คิดถึงหอซ่วนเทียนของสำนักกระบี่ซีไห่ จึงเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น อดรู้สึกผิดหวังขึ้นมาไม่ได้ ในใจครุ่นคิดว่าแล้วแบบนี้ยังจะหนีไปได้อย่างไร?
นางมองหลิ่วสือซุ่ย พบว่าร่างกายเขากำลังสั่นเทิ้มเบาๆ จึงฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว พวกเรายังมีโอกาส”
หลิ่วสือซุ่ยดึงสายตากลับมาจากสร้อยข้อมือ เขามองดวงตานางพลางกล่าวอย่างจริงจัง “มิใช่กลัว หากแต่ตื่นเต้น”
เสี่ยวเหอคิดในใจ ชายผู้นี้ช่างแปลกประหลาดจริงๆ
เสียงกู่เจิงมาถึงเร็วกว่าลม
เสียงทึบๆ เสียงหนึ่งดังสนั่น ช้างสีแดงตัวใหญ่ยักษ์ตกลงมาในป่า คล้ายว่าจะรวมเป็นหนึ่งกับแสงอาทิตย์ยามเย็น
หนานเจิงนั่งอยู่บนหลังช้าง อุ้มกู้เจิงหยกเอาไว้ มองดูพวกเขาด้วยสีหน้าเฉยชา
จากนั้น อวี้ปู้ฮวนและถูชิวก็ลอยตามลงมาในป่าทั้งสองด้าน
ตำแหน่งที่ยอดฝีมือทั้งสองคนของปู้เหล่าหลินเลือกล้วนแต่สมบูรณ์แบบ ปิดตายทางหนีทั้งหมดที่หลิ่วสือซุ่ยจะสามารถขี่กระบี่บินหนีไปได้
ไม่มีการพูดคุย แล้วก็ไม่ไต่ถามเสี่ยวเหอว่าเหตุใดจึงทรยศปู้เหล่าหลิน นิ้วมือของหนานเจิงแตะลงไปบนสายกู่เจิง ก่อนจะบรรเลงเสียงที่แฝงไว้ด้วยจิตสังหารอันรุนแรงออกมา
คลื่นเสียงที่ไร้รูปลักษณ์กวาดผ่านป่า ต้นไม้นับหลายร้อยต้นล้มครืนลง
เสี่ยวเหอสืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือขวายื่นออกไป ใบบัวสีเขียวหลายสิบใบผุดขึ้นมาตามลม
เสียวผัวะๆๆๆๆ ดังแน่นขนัด ใบบัวเหล่านั้นฉีกขาดเป็นชิ้นๆ
มุมปากของเสี่ยวเหอมีเลือดไหลออกมา ถอยหลังไปสามก้าวติด
“ข้าเอง”
หลิ่วสือซุ่ยกันนางเอาไว้ด้านหลัง
เมื่อเห็นภาพนี้ หนานเจิงหรี่ตาเล็กน้อย สีหน้าของอวี้ปู้ฮวนและถูชิวเองก็ดูแปลกไปเล็กน้อย
ในเมื่อพวกเขาได้รับคำสั่งให้ไล่ตามสังหารหลิ่วสือซุ่ย พวกเขาย่อมต้องทราบถึงสภาวะและอาวุธวิเศษของหลิ่วสือซุ่ยดี
กระบี่ของหลิ่วสือซุ่ยใช้การไม่ได้แล้ว วิชาปีศาจโลหิตของเขาก็ถูกจำกัดเอาไว้ ในเวลานี้ยังจะใช้อะไรมารับมือพวกเขาได้อีก?
ชิ้ง!
เสียงกระบี่เสียงหนึ่งดังสะท้อนไปในภูเขา
กระต่ายและเหล่าแมลงที่แอบซ่อนอยู่ในภูเขารกร้างพากันวิ่งหนีออกไปด้วยความตกใจ ฝูงนกที่ถูกเสียงกู่เจิงทำให้ตกใจจนบินหนีไปก่อนหน้านี้ยิ่งหนีออกไปไกลขึ้น
กระบี่มาจากไหน?
กระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของหลิ่วสือซุ่ย
นั่นคือสร้อยข้อมือที่กลายเป็นกระบี่ตามความคิดของเขา
กระบี่เล่มนี้ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก ไม่มีด้ามกระบี่ ยิ่งไปกว่านั้นยังค่อนข้างสั้น ความยาวประมาณสองฉื่อ ดูเหมือนกระบี่เล่มเล็กที่พวกเด็กๆ ใช้เล่นกัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นหนานเจิง หรือว่าอวี้ปู้ฉวนและถูชิว ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป
กระบี่เล่มนี้แวววาวเป็นอย่างมาก!
ตัวกระบี่สามารถสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็นออกมาได้อย่างชัดเจน
พวกเขาถึงขนาดมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของตัวเองบนตัวกระบี่ที่อยู่ห่างไกลได้!
ความแวววาวระดับนี้หมายถึงอะไร? หมายความว่าวัสดุที่ใช้ทำตัวดาบนั้นมีความหนาแน่นเป็นอย่างมาก แล้วก็หมายถึงความคมอย่างถึงที่สุดด้วย!
หากจะแบ่งตามระดับชั้นของกระบี่ นี่จะต้องเป็นกระบี่บินชั้นเซียนอย่างแน่นอน!
เมื่อรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่กระบี่บินชั้นเซียนเล่มนี้ปล่อยออกมา สีหน้าของพวกหนานเจิงดูเคร่งเครียด มีความหวาดกลัวแฝงไว้หลายส่วน ต่างคนต่างหยุดฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว
กำไลข้อมือคือกระบี่จริงๆ ด้วย
หลิ่วสือซุ่ยประหลาดใจเป็นยิ่งนัก แต่เขากลับไม่รู้ว่าควรจะใช้กระบี่อย่างไร
จิตจำแนกแห่งกระบี่ของเขาตกลงไปบนตัวกระบี่ คิดอยากจะเร่งให้มันบินออกไปสังหารศัตรู ทว่ากระบี่เล่มนั้นกลับไม่มีการตอบสนองเลยแม้แต่นิดเดียว
เสียงกู่เจิงดังขึ้นอีกครั้ง หนานเจิงได้สติขึ้นมาเป็นคนแรก รู้ว่ามิอาจให้เวลาหลิ่วสือซุ่ยได้
หลิ่วสือซุ่ยร้อนใจ จึงโยนกระบี่เล่มนั้นออกไป
กระบี่ลอยออกไปสามฉื่อก็หยุดค้างนิ่งกลางอากาศ คล้ายกับดอกบัวที่ลอยนิ่งๆ อยู่บนผิวน้ำ
เสี่ยวเหอเรียกดอกบัวสีเขียวออกมา ลืมตาโตมองดูเขาพลางกล่าวถามว่า “เจ้าใช้ไม่เป็นหรือ?”
หลิ่วสือซุ่ยตะโกน “นี่มิใช่กระบี่ข้า!”
กระบี่บินชั้นเซียนเล่มนั้นพลันขยับ แต่กลับมิใช่พุ่งไปข้างหน้า หากแต่วกกลับหลังมา
ปลายกระบี่อันแหลมคมพุ่งเข้ามาหาหลิ่วสือซุ่ย
พูดให้ถูกคือมันพุ่งเข้าไปหาดอกมะลิที่อยู่บนปกเสื้อเขาดอกนั้น
……………………………………..