มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 49 เด็กน้อยไร้เดียงสา
หลิ่วสือซุ่ยลืมตาตื่นขึ้นมา พบว่าตนเองมาอยู่บนพื้นแล้ว เสี่ยวเหอนอนสลบอยู่ข้างตนเอง
เมื่อวิเคราะห์จากภาพที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาน่าจะตกจากบนฟ้าลงมาในภูเขา กระแทกกับพื้นจนเป็นหลุมขนาดใหญ่ ในเวลานี้กำลังนอนอยู่ที่ก้นหลุม
หลิ่วสือซุ่ยอยากจะไปดูเสี่ยวเหอ แต่เมื่อขยับตัวเพียงเล็กน้อย ความเจ็บปวดที่ยากจะทานทนก็ลามไปทั่วทั้งร่างกาย คล้ายกระดูกทั้งร่างได้หักลง
เขาใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่สำรวจตัวเอง ก่อนจะพบว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัส โอสถกระบี่และตานปีศาจล้วนแต่ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
เสี่ยวเหอตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นใบหน้าขาวซีดของเขา จึงอยากจะเข้าไปพยุงเขาขึ้นมา แต่กลับไปกระทบกระเทือนถูกอาการบาดเจ็บของตัวเองเข้า จึงกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง
กระบี่บินลอยนิ่งๆ อยู่กลางอากาศ ตัวกระบี่เองก็ดูหมองลงเล็กน้อย มิได้สว่างไสวและดูน่าเกรงขามเหมือนอย่างในตอนแรก
หลิ่วสือซุ่ยตกใจ
ซีหวังซุนเป็นผู้สั่งการที่อยู่เบื้องหลังปู้เหล่าหลิน เช่นนั้นก็ย่อมต้องมีสภาวะที่สูงส่งล้ำลึกอย่างแน่นอน แต่เขายังคงคิดไม่ถึงเลยว่าเจตน์กระบี่ของอีกฝ่ายยังคงมีอานุภาพที่รุนแรงขนาดนี้ได้ทั้งๆ ที่อยู่ห่างกันสองร้อยกว่าลี้ ต่อให้เป็นเจ้าแห่งยอดเขาของชิงซานที่บรรลุสภาวะขั้นแหวกทะเลเหล่านั้นก็มิแน่ว่าจะทำเช่นนี้ได้ เพราะเจตน์กระบี่นั้นมิใช่กระบี่จริงๆ
แล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่า นั่นก็คือกระบี่บินเล่มนี้
ถ้ามิเป็นเพราะกระบี่เล่มนี้ ในเวลานี้พวกเขาคงจะตายไปแล้ว
ต่อให้ระดับชั้นวิญญาณของกระบี่เล่มนี้จะสูงแค่ไหน แต่การที่มันสามารถป้องกันสายฟ้าของซีหวังซุนได้โดยที่ไม่มีเจ้าของกระบี่อยู่ด้วย มันก็ยังเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมากอยู่
“นี่คือกระบี่บินชั้นเซียนที่เล่าลือกันอย่างนั้นหรือ?”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือกำลังคิดถึงว่ากระบี่บินชั้นเซียนเล่มนี้อยู่บนข้อมือของตนเองมาเป็นเวลาสิบปี ใบหน้าของเสี่ยวเหอจึงค่อนข้างขาวซีด
ในขณะที่หลิ่วสือซุ่ยเตรียมจะตอบกลับไป เขาพลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงเอามือยันผาหินลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะเหลียวมองไปทางตะวันออก
จู่ๆ ภายในท้องฟ้าพลันมีลำแสงกระบี่นับหลายร้อยเล่มปรากฏขึ้นมา ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางเมืองไห่โจวราวฝนดาวตกก็มิปาน
เมื่อเห็นภาพที่ยิ่งใหญ่ตระการตาเช่นนี้ อารมณ์ภายในดวงตาของหลิ่วสือซุ่ยค่อนข้างสับสน นอกจากความรู้สึกผ่อนคลายแล้ว ยังมีความรู้สึกตื่นเต้นที่ยากจะปิดบังเอาไว้ด้วย
จากจำนวนของลำแสงกระบี่ทำให้เขารู้ว่า สำนักชิงซานได้ส่งศิษย์ที่มีสภาวะเหนือกว่าขั้นมิประจักษ์ทั้งหมดออกมา
เสี่ยวเหอลุกขึ้นยืน มองดูลำแสงกระบี่ที่โบยบินเต็มท้องฟ้า นิ่งเงียบอย่างตกตะลึงไปครู่ใหญ่ ก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “สำนักชิงซานแห่กันออกจากรังอย่างนั้นหรือนี่”
หลิ่วสือซุ่ยเหลือบมองนาง ลังเลอยู่ครู่ก่อนจะทนไม่ได้จนต้องกล่าวออกมาว่า “แม่นางเสี่ยวเหอ ตอนนี้เจ้าอยู่ฝั่งพวกเรา คำพูดนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร”
เสี่ยวเหอถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าความหมายของของคำว่าแห่ออกจากรังนั้นมิค่อยเหมาะสมเท่าไร จึงยิ้มขึ้นมาอย่างรู้สึกผิด
……
……
สำแสงกระบี่ปรากฏขึ้นเต็มท้องฟ้า มุ่งหน้าไปทางทะเลตะวันตก หลังจากนั้นก็มีลำแสงของอาวุธวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา แล้วยังมีเรือสำเภาขนาดใหญ่อีกหลายลำ
สุดท้ายบนท้องฟ้ามีเส้นกระเพื่อมขึ้นมา ดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
“เส้นขอบฟ้าของต้าเจ๋อ?” เสียงของเสี่ยวเหอสั่นเครือเล็กน้อย สีหน้ายิ่งดูขาวซีด
นางเตรียมตัวหนีออกมาจากปู้เหล่าหลินเป็นเวลาสิบปี แต่ในฐานะที่เป็นปีศาจบำเพ็ญพรต ในสัญชาตญาณยังคงรู้สึกหวาดกลัวสำนักฝ่ายธรรมะอยู่ เมื่อเห็นภาพนี้จึงเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
หลิ่วสือซุ่ยมองดูท้องฟ้าอย่างเงียบๆ
การเคลื่อนพลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดให้เห็นน้อยมากในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ครั้งล่าสุดที่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้อาจจะย้อนไปได้ถึงตอนที่เกิดคลื่นอสูร
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะต้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนอย่างแน่นอน และสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ก็เรียกได้ว่าเกิดขึ้นเพราะเขา
เขาควรจะรู้สึกภูมิใจ แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไร เพียงแต่รู้สึกอารมณ์ภายในใจมันค่อนข้างสับสน
สำนักฝ่ายธรรมะกำลังบุกโจมตีเมืองไห่โจว ต่อให้ปู้เหล่าหลินร้ายกาจแค่ไหนก็คงไม่มีเวลามานั่งสนใจเรื่องอื่น ดูแล้วพวกเขาคงจะไม่มาไล่ฆ่าเขาและเสี่ยวเหออีกแล้วล่ะ
ซีหวังซุนน่าจะคิดว่าเขาตายแล้ว
เขาพยุงเสี่ยวเหอขึ้นมาจากพื้น คิดอยากจะขี่กระบี่บินออกไป แตกลับพบว่าอาการบาดเจ็บของตนเองสาหัสอย่างมาก ไม่สามารถทำการเชื่อมต่อกับกระบี่บินได้
กระบี่บินถูกสายฟ้าของซีหวังซุนโจมตีใส่ มันเองก็สงบนิ่งลงกว่าในตอนแรกเช่นกัน คล้ายคนที่ใช้เรี่ยวแรงไปจนหมด
หลิ่วสือซุ่ยมองเสี่ยวเหอพลางกล่าวถามว่า “เจ้ายังเดินไหวไหม?”
เสี่ยวเหอส่ายศีรษะ
หลิ่วสือซุ่ยหมุนตัว ส่งสายตาบอกให้นางขึ้นมาบนหลังของตน
เสี่ยวเหอมิได้เกรงใจ นางกอดคอของเขาไว้พลางกล่าวถามว่า “เจ้าจะไปที่ไหน?”
สองมือของหลิ่วสือซุ่ยพันรอบขาของนาง จากนั้นกุมมือไว้ด้านหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ไปสัมผัสถูกร่างกายของนาง จากนั้นกล่าวว่า “หากเจ้าไม่มีที่ไป ก็กลับไปที่ชิงซานกับข้าก่อน?”
เสี่ยวเหอครุ่นคิดว่าตนเป็นปีศาจบำเพ็ญเพียร จะรั้งอยู่ที่ชิงซานได้อย่างไร แต่หลังจากนั้นก็คิดถึงคำสัญญาของจิ๋งจิ่ว จึงนิ่งเงียบไปครู่ก่อนกล่าวว่า “ได้”
หลิ่วสือซุ่ยแบกนางเดินเข้าไปในป่า
กระบี่บินตามอย่างเงียบๆ
ภูเขาลาดลง กลายเป็นหุบเขาที่มืดสลัว ด้านหน้าหุบเขาคือหน้าผา
“พวกเราไปพักที่นั่นกันก่อน”
หลิ่วสือซุ่ยมองไปยังที่ที่หนึ่งในหน้าผาพลางกล่าว
ที่นี่ยังอยู่ห่างจากชิงซานค่อนข้างไกล ด้วยสภาพร่างกายของเขาในเวลานี้ไม่สามารถอดทนไปถึงที่นั่นได้ ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวเหอก็บาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องรักษาอาการบาดเจ็บก่อน
บริเวณหน้าผาเต็มไปด้วยเถาวัลย์ ด้านในมีถ้ำแห่งหนึ่งแอบซ่อนเอาไว้ เขาแบกเสี่ยวเหอเดินไปถึงด้านหน้าผาหิน เปิดผนึกปิดกั้นแล้วเดินเข้าไป
กระบี่บินมิได้ตามเข้าไป หากแต่ลอยไปยังที่หนึ่งในป่า ปลายกระบี่ชี้ลงไปยังพื้นดินแห่งหนึ่งที่ยกตัวนูนขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายรู้สึกสงสัยใครรู้
เมื่อเห็นการตกแต่งอย่างง่ายๆ ภายในถ้ำ เสี่ยวเหอเองก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ นางกล่าวถามว่า “ที่นี่คือสถานที่แอบซ่อนตัวที่เจ้าเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า?”
หลิ่วสือซุ่ยวางนางลงไปบนตั่งเบาๆ ก่อนกล่าวอธิบายว่า “ก่อนที่ข้าจะเข้าไปปู้เหล่าหลิน ข้าเคยหยุดพักอยู่ที่นี่ ภายหลังข้าขอซีหวังซุนมา”
เสี่ยวเหอรู้สึกกังวลใจ กล่าวว่า “เจ้าไม่กลัวพวกเขาหาเจอหรือ?”
“ในเวลาแบบนี้พวกเขาน่าจะไม่มีใจมานั่งสนใจพวกเรา แล้วก็คงคิดไม่ถึงว่าพวกเราจะหยุดพักที่นี่”
เขาหยิบเอายาที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บออกมาจากในหีบหินแล้วป้อนให้นาง ก่อนกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นผนึกปิดกั้นของที่นี่แข็งแกร่งอย่างมาก ต่อให้ซีหวังซุนมาเอง ก็ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะเข้ามาได้”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เสี่ยวเหอจึงรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อย นางปิดตาแล้วเริ่มปรับลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ
หลิ่วสือซุ่ยเคยกินตานปีศาจเข้าไป แล้วก็เคยฝึกวิชาของทางฝ่ายมาร จึงมีความเข้าใจต่อปีศาจบำเพ็ญพรตมากกว่าผู้บำเพ็ญพรตทั่วไป ยาที่เลือกออกมาจึงมีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
เพียงไม่นาน เสี่ยวเหอก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ดูมีเรี่ยวแรงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ สีหน้าเองก็มิได้ขาวซีดขนาดนั้นแล้ว
“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะถามเจ้าหน่อย”
หลิ่วสือซุ่ยลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวถามว่า “ตอนนั้นคนที่ให้เจ้ามาช่วยข้าคือจิ๋งจิ่วใช่หรือไม่?”
เสี่ยวเหอมองดูดวงตาของเขา คิดในใจว่าหรือว่าเจ้าไม่รู้?
นางกล่าวว่า “เขานั่นแหละ ข้าเพียงแต่แปลกใจว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงได้รู้ว่าเจ้าจะเข้าไปยังปู้เหล่าหลิน?”
หลิ่วสือซุ่ยอธิบายอย่างจริงจัง “เพราะคุณชายเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก”
เสี่ยวเหอครุ่นคิดว่าอีกไม่นานจะได้เจออีกฝ่ายในชิงซาน จึงเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย นางอยากรู้เกี่ยวกับเขาให้มากขึ้น จึงกล่าวถามว่า “นอกจากเรื่องฉลาดแล้ว? เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่?”
หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะกล่าวข้อสรุปของตัวเองออกมา “คุณชายเป็นคนดี”
เขาคิดว่ากระทั่งศัตรูหรือว่าคนเลวอย่างลั่วไหวหนานยังบอกว่าคุณชายเป็นคนดี เช่นนั้นการวิเคราะห์ของตนเองจะต้องไม่มีทางผิดแน่นอน
เสี่ยวเหอพอคิดถึงจิ๋งจิ่ว ตรงหัวไหล่ของตัวเองก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา คล้ายว่ากระบี่เหล็กที่เย็นยะเยือกเล่มนั้นยังคงแทงอยู่ข้างใน ไหนเลยจะเชื่อคำพูดของหลิ่วสือซุ่ยได้ จึงกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “เย็นชาไร้ความรู้สึกเช่นนี้ถือเป็นคนนี้อย่างนั้นหรือ? สำหรับข้าแล้วเขาคือคนเลว”
หลิ่วสือซุ่ยส่ายศีรษะพลางกล่าว “คุณชายมิใช่คนเลว เขาเป็นคนดี”
เสี่ยวเหอมองดวงตาของเขา ก่อนกัดฟันพลางกล่าว “คนเลว”
หลิ่วสือซุ่ยมิได้โกรธ เขาเล่าเรื่องในอดีตออกมารอบหนึ่ง ด้วยหวังจะใช้เรื่องราวของคุณชายมาพูดกล่อมให้อีกฝ่ายยอมเชื่อ
เรื่องราวนั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านบนภูเขา จนกระทั่งเขาออกไปจากชิงซาน
เสี่ยวเหอไม่เข้าใจ นางกล่าวว่า “เจ้าอยากจะบอกว่าเขาเป็นคนที่เกียจคร้านที่สุดในโลก?”
……………………………..