มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 5 เข้าวังยามดึกเพื่อพบพระสนมอีกครั้ง
ปลายฤดูใบไม้ผลิ อากาศค่อยๆ ร้อนอบอ้าว บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด
พระสนมหูเอนกายอยู่บนตั่ง แขนเสื้อข้างซ้ายที่ค่อนข้างกว้างห้อยปรกลงมาที่ด้านหน้า ปิดท้องที่ปูดนูนขึ้นมาเอาไว้
ตามหลักแล้ว ภายในวังตอนนี้ไม่มีพระสนมคนไหนจะคุกคามถึงตำแหน่งของนางและความปลอดภัยของลูกในครรภ์ของนางได้ อีกทั้งยังมีหมอหลวงและอาจารย์เซียนหญิงจากสำนักจงโจวมาคอยคุ้มครองดูแลในทุกๆ วัน ร่างกายของนางน่าจะแข็งแรงเป็นอย่างมาก แต่มิรู้เพราะเหตุใด ใบหน้าของนางค่อนข้างขาวซีด สีหน้าดูเหนื่อยล้า ดูไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร กระทั่งอารมณ์ก็ฉุนเฉียวกว่าแต่ก่อนมาก วันนี้เป็นเพราะเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง นางจึงไล่นางกำนัลอาวุโสที่คอยรับใช้ใกล้ชิดข้างกายและนางกำนัลคนอื่นๆ ออกไปทั้งหมด
เสียงแจ้งเตือนดังออกมาจากด้านนอกตำหนัก
พระสนมหูค่อนข้างแปลกใจ นางยันกายขึ้นมา ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ท่าทางดูเคลื่อนไหวมิค่อยสะดวก แต่นี่กลับเป็นสิ่งที่นางจงใจทำออกมาเพื่อให้ผู้ที่มาเยือนได้เห็น
นางทราบถึงสถานะของลู่กั๋วกงเวลาที่อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ดีกว่าใคร
ลู่กั๋วกงเห็นภาพนี้ จึงรีบกล่าวขึ้นมาว่า “พระสนมเชิญนั่งก่อนพ่ะย่ะค่ะ เชิญนั่งก่อน”
พระสนมหูยิ้มเล็กน้อยพลางนั่งลงไป ก่อนจะกล่าวถามด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า “วันนี้กั๋วกงมีธุระอันใด? หรือฝ่าบาททรงต้องการพบข้า?”
ในตอนที่ถามประโยคนี้ออกมา ภายในใจนางรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกตั้งตารอคอย แล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ
ฝ่าบาทมิได้เสด็จมาเยี่ยมนางที่ตำหนักหลายวันแล้ว
“พระสนม มีแขกสองคนต้องการพบพระองค์”
ครั้นกล่าวจบ ลู่กั๋วกงก็ถอยออกไปจากตำหนัก มิได้มีความลังเลใดๆ
เจ้าล่าเยวี่ยและกู้ชิงเดินออกมาจากด้านหลังเสาของระเบียงทางเดิน
แล้วก็ไม่รู้ว่าพวกเขามาที่นี่ด้วยเหตุใด
พระสนมหูมิได้ตะโกนว่ามีนักฆ่า แล้วก็มิได้ตะโกนเรียกคน นางเพียงแต่จ้องมองเจ้าล่าเยวี่ยอย่างเงียบๆ
เมื่อสามปีก่อนพวกนางเคยเจอกันในสวนดอกเหมยเก่า ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองฝ่ายยังมีความแค้นเก่าระหว่างกันด้วย
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ในสถานการณ์แบบนี้ยังใจเย็นได้ขนาดนี้ เจ้าแข็งแกร่งกว่าเมื่อสามปีก่อนมากทีเดียว”
พระสนมหูเหลือบมองนาง กล่าวว่า “ต่อให้เจ้าเป็นเจ้าแห่งยอดเขาของชิงซาน แต่แอบเข้ามาในวังกลางดึกโดยพลการเช่นนี้ หากถูกคนพบเข้าก็ยากที่จะปัดความรับผิดชอบได้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าคิดว่าเจ้าควรจะเป็นห่วงตัวเจ้าในตอนนี้มากกว่านะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของพระสนมหูค่อยๆ หรี่เล็กลง
ตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ ค่อนข้างอ่อนแรง แต่ใบหน้ายังคงดูไร้เดียงสาใสซื่ออยู่ เมื่อหรี่ตาลงก็ยิ่งมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
กู้ชิงหมุนตัว ไม่มองนางอีก
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูท้องของนาง กล่าวว่า “สามปีแล้ว?”
พระสนมหูได้ยินดังนั้นจึงโมโหขึ้นมา นางกัดฟันพลางกล่าวว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เรื่องนี้ปิดใครไม่ได้ ชาวบ้านพากันพูดถึงเรื่องนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขุนนางที่อยู่ในราชสำนัก หากรู้ว่าเจ้าเป็นปีศาจจิ้งจอก พวกเขายังจะปล่อยให้เจ้าคลอดลูกออกมาไหม?”
พระสนมหูถ่มน้ำลายลงตรงหน้า “ถุย! แล้วตอนนี้ยังมีใครไม่รู้เรื่องนี้ ข้ายังต้องกลัวอะไรอีก!”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “คาดเดาได้กับรู้เรื่องมันเป็นคนละเรื่องกัน ฝ่าบาททรงโปรดปรานเจ้า เช่นนั้นขอเพียงไม่มีหลักฐาน ขุนนางในราชสำนักก็ไม่กล้าจะพูดอะไร”
ความหมายของคำพูดประโยคนี้ชัดเจน
ไม่มีใครกล้าพูดว่าพระสนมหูเป็นปีศาจจิ้งจอก เพราะฝ่าบาททรงโปรดปรานนาง ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีหลักฐาน
หรือจะมีใครกล้าไปเปิดกระโปรงพระสนมขึ้นมาเพื่อดูว่าด้านหลังนางมีหางหรือเปล่า?
แต่ตอนนี้นางตั้งครรภ์นี้มาสามปีแล้วยังไม่คลอดออกมา คล้ายว่ามันพร้อมจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดได้ทุกเมื่อ
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “ต่อให้เจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักจงโจว ทั้งยังมีจุดกำเนิดมาจากวัดกั่วเฉิง แต่ในช่วงเวลาสำคัญ เรื่องนี้มันจะส่งผลกระทบอะไรแก่เจ้าบ้าง?”
ช่วงเวลาที่สำคัญหมายถึงอะไร นางก็ทราบดีเช่นกัน
สีหน้าของพระสนมหูแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว กล่าวว่า “อย่างนั้นจะทำอย่างไร? ข้าก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ว่า…มันคลอดออกมาไม่ได้นี่นา..”
“อาจจะเป็นท้องมารยากกำเนิด แล้วก็อาจจะเป็นครรภ์ทิพย์ที่ต้องตั้งครรภ์ไปสิบปี”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ฝ่าบาททรงไม่สนพระทัยเรื่องนี้ พระองค์ทรงสนพระทัยแต่เรื่องคำวิพากษ์วิจารณ์”
ทำอย่างไรจึงจะควบคุมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้ หรือพูดอีกอย่างคือใครมีสิทธิ์และความสามารถที่จะเปลี่ยนสถานะเด็กที่อยู่ในครรภ์ของนาง
พระสนมหูดวงตาเป็นประกาย นางเงยหน้ามองเจ้าล่าเยวี่ย
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “แต่ไหนแต่ไรมา เรื่องของราชวงศ์ล้วนแต่เป็นสำนักจงโจวและวัดกั่วเฉิงเป็นคนจัดการ พวกเราสำนักชิงซานไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง”
พระสนมหูสีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง กล่าวว่า “แล้วเจ้ามาพูดเรื่องนี้กับข้าทำไม?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ฉานจึบอกว่าเจ้าดี อย่างนั้นเจ้าก็ดี”
พระสนมหูย่อมต้องรู้ว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด
ในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนักชิงซานหรือว่าเจ้าสำนักจงโจวก็ล้วนแต่ไม่อาจเทียบบารมีของฉานจึได้
ขอเพียงฉานจึเอ่ยปาก อย่าว่าแต่ครรภ์ทิพย์เลย ต่อให้บอกว่าเป็นครรภ์อรหันต์ ยังจะมีผู้ใดกล้าไม่เชื่อ?
“แต่…ฉานจึบอกว่าท่านกับข้าสิ้นสุดกรรมกันแล้ว อย่าว่าแต่ออกหน้าช่วยข้าพูดเลย แม้แต่หน้าข้าท่านก็ยังไม่ยอมพบ”
พระสนมหูในเวลานี้ดูอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด
เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมา คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย
“ความสัมพันธ์ของเจ้ากับฉานจึสิ้นสุดลงแล้ว แต่เขายังติดค้างยอดเขาเสินม่ออยู่”
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในการประลองวิถีพรตเมื่อสามปีก่อน แล้วก็อาจเป็นเพราะเรื่องบางเรื่องที่ยาวนานกว่านั้น
พระสนมหูเข้าใจ นางนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “พวกเจ้าต้องการอะไร?”
นางทราบดี สำนักชิงซานให้ประโยชน์ตัวเองมากขนาดนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องการจะต้องสำคัญอย่างมากเช่นกัน
เพียงแต่นางคิดไม่ออกเลยว่าเจ้าล่าเยวี่ยอยากจะได้อะไรจากตัวเอง
นางเป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ นี่เป็นสถานะที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน เรียกได้มีทุกอย่างที่ต้องการ
หรือจะเป็นอย่างที่ร่ำลือกัน นางต้องการหญ้าอะไรนั่น?
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ในสวนดอกเหมยเก่าครั้งนั้น ตอนที่จิ่งซินและลั่วไหวหนานเจอหน้ากัน พวกเขาแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน เจ้าย่อมไม่มีทางเชื่อแน่นอน”
พระสนมหูหรี่ตาเล็กน้อย กล่าวถามว่า “เจ้าอยากจะพูดอะไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ต่อให้เจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักจงโจวมันก็ไร้ความหมาย ขอเพียงลั่วไหวหนานยังอยู่ สำนักจงโจวจะต้องสนับสนุนจิ่งซินแน่นอน”
พระสนมหูสีหน้าเย็นยะเยือกเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าเพียงอยากจะคลอดเด็กคนนี้ออกมาเท่านั้น ไม่กล้าไปแย่งชิงอะไร”
กู้ชิงที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดพลันพูดออกมา
เขามิได้หันกลับมา หากแต่มองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนด้านนอกตำหนัก
“ข้าเป็นลูกนอกสมรส ข้ารู้ว่านั่นเป็นชีวิตแบบไหน ข้าเชื่อว่าเจ้าคงไม่อยากให้ลูกของตัวเองต้องมีชีวิตแบบนั้นแน่”
พระสนมหูนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “แต่เจ้ามีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญพรตที่ดี ดังนั้นสถานะในตระกูลของเจ้าจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ ข้าเชื่อว่าลูกข้าก็ไม่ด้อยเช่นเดียวกัน”
กู้ชิงกล่าวว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าเด็กคนนี้จะมีโอกาสได้แสดงพรสวรรค์? ฝ่าบาททรงต้องการให้เจ้าคลอด ก็เพราะต้องการให้เจ้าแข่ง หากเจ้าไม่แข่ง ไยต้องคลอดออกมา?”
พระสนมหูนิ่งเงียบ
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
นี่ช่างทารุณยิ่งนัก แต่กลับเป็นเรื่องที่ยากจะปฏิเสธได้
หลักเหตุผลนี้ช่างง่ายดายจริงๆ
และเป็นเพราะเหตุนี้ เดิมพระสนมหูคิดว่าฝ่าบาทจะต้องเอนเอียงมายังลูกที่อยู่ในท้องของตนเองแน่นอน
แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าเจตจำนงของฝ่าบาทในช่วงสองปีนี้คล้ายจะเปลี่ยนไป นี่ทำให้นางยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
ความจริงไม่ว่าจะเป็นนาง เจ้าล่าเยวี่ยหรือว่ากู้ชิงก็ล้วนแต่เข้าใจความตั้งใจของฝ่าบาทเสินหวงผิดไป ในแผนการเดิมที่เสินหวงวางเอาไว้ ขอเพียงพระสนมหูคลอดลูกออกมาได้ และอีกหลายปีหลังจากนั้นไม่มีปัญหาอะไร เขาก็จะปลดจิ่งซินออกจากตำแหน่งองค์ชาย จากนั้นไล่ให้ไปโกนผมเป็นพระอยู่ที่วัดกั่วเฉิง ไม่เปิดให้เขาได้มีโอกาสแย่งชิงใดๆ
ไม่ให้จิ่งซินสืบทอดราชบัลลังก์ นี่คือความต้องการของจิ๋งจิ่ว
เพียงแต่ตอนนี้จิ๋งจิ่วไม่อยู่แล้ว
เสินหวงไม่เชื่อว่าจิ๋งจิ่วจะตาย แต่เมื่อผ่านไปสองปีไม่มีข่าวคราวใดๆ ไม่ว่าใครต้องก็อดคิดถึงความเป็นไปได้นั้นไม่ได้เช่นกัน
หากไม่มีการสนับสนุนอย่างมั่นคงและเต็มที่จากสำนักชิงซาน เสินหวงก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความเห็นของสำนักจงโจว
ในช่วงเวลาสั้นๆ พระสนมหูก็ทำการตัดสินใจออกมา นางกล่าวถามว่า “แล้วข้าต้องทำอะไร?”
กู้ชิงหมุนตัวกลับมา กล่าวว่า “ข้าต้องการรู้ร่องรอยของลั่วไหวหนาน”
……………………………….