มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 50 หลิ่วสือซุ่ยที่พูดมาก
หลิ่วสือซุ่ยคิดในใจว่าตนเองมิได้หมายความเช่นนี้ แต่ที่เจ้าพูดมาก็เหมือนจะ…มิผิดเช่นกัน
เสี่ยวเหอพลันถามขึ้นมา “เจ้ารู้ไหมว่าช่วงเวลาที่ข้ามีความสุขที่สุดในหลายปีมานี้คือตอนไหน?”
หลิ่วสือซุ่ยส่ายศีรษะ
เสี่ยวเหอกล่าว “ตอนที่อยู่ในอุโมงค์ใต้ดินวันนี้ ตอนที่ข้าจับมือเจ้าวิ่งไปข้างหน้า”
หลิ่วสือซุ่ยได้ยินเช่นนี้จึงตกตะลึง เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย หน้าแดงใบหูร้อนผ่าว
เมื่อเห็นท่าทางของเขา เสี่ยวเหอรู้ว่าเขาเข้าใจผิด จึงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “คิดอะไรอยู่น่ะ? ข้าหมายถึงกำไลข้อมืออันนั้นต่างหาก”
หลิ่วสือซุ่ยคิดขึ้นมาได้ จึงถามว่า “เพราะเหตุใด?”
“หลังมั่นใจแล้วว่าคนที่ข้ารออยู่คือเจ้า ข้าก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ในที่สุดกำไลข้อมืออันนั้นมันก็หลุดออกไปจากร่างกายข้าเสียที”
เสี่ยวเหอคิดถึงความรู้สึกกดดันทางด้านจิตใจที่สร้อยข้อมือนี้มอบให้แก่ตัวเองในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา สีหน้าขาวซีดขึ้นอีกครั้ง
สร้างข้อมือนั้นคล้ายคอยจับจ้องนางอยู่ตลอดเวลา คอยเตือนนางว่าขอเพียงนางกล้าทรยศต่อเจตจำนงของจิ๋งจิ่ว มันก็จะตัดนางขาดออกเป็นสองท่อน ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือว่าจิตใจ
เพราะความหวาดกลัวนี้ นางจึงได้แต่ต้องเชื่อฟังจิ๋งจิ่ว รอคอยให้หลิ่วสือซุ่ยปรากฏกายขึ้นมา ปิดบังทุกคนในปู้เหล่าหลินเอาไว้ แอบเตรียมเรื่องหลบหนีอย่างเงียบๆ
ไม่ว่าจะสำหรับใคร ความกดดันทางจิตใจเช่นนี้เป็นความทุกข์ทรมานที่ยากจะยอมรับได้ ถ้าอยากจะสลัดความกดดันนี้ทิ้งไป สิ่งแรกที่นางต้องทำก็คือเอากำไลข้อมือนี้ออกไป
แต่ทุกวิถีทางที่นางคิดได้ล้วนแต่ไม่สามารถถอดเอาสร้อยข้อมือนี้ออกไปได้ สุดท้ายนางถึงขนาดคิดจะตัดข้อมือของตัวเอง
แต่ในตอนที่นางเตรียมจะสะบั้นข้อมือตัวเองนั้น นางก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าวิธีนี้ก็ไม่มีทางได้ผลเช่นกัน
นางมองดวงตาของหลิ่วสือซุ่ย ก่อนกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “เมื่อสิบปีก่อนเขาบอกข้าว่า ปีหน้าหรือว่านานกว่านั้นข้าจะได้พบกับเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ยอมปรากฏตัวขึ้นมาเสียที ข้าซื้อโรงเตี๊ยมนั้น ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนอุโมงค์ใต้ดินที่อยู่ด้านล่างเมืองไห่โจว แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเตรียมไปเพื่อใคร”
ความรู้สึกเช่นนี้แย่อย่างมาก
อ้างว้างโดดเดี่ยว อับจนหนทาง สับสน
หลิ่วสือซุ่ยเข้าใจดี
เขาเข้าใจที่สุด
ดังนั้นเขาจึงเข้าใจว่าเหตุใดเสี่ยวเหอถึงไม่ชอบคุณชายขนาดนี้
เขาอยากจะลูบศีรษะของนางเหมือนอย่างคุณชายเมื่อก่อน แต่ในขณะที่ยื่นมือออกไปก็พบว่าไม่ถูกต้อง จึงดึงมือกลับมาอย่างกระอักกระอ่วนพลางกล่าวว่า “คุณชายไร้ความรู้สึกกับคนอื่นจริงๆ”
เสี่ยวเหอมองดูเขา สายตาแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกเยาะเย้ย
หลิ่วสือซุ่ยไม่เข้าใจความหมายที่แอบซ่อนอยู่ในแววตาของนาง เขาจึงกล่าวต่อว่า “แต่สุดท้ายพวกเราก็ได้พบกันนี่นา”
ในคืนนั้น ภายในเมืองไห่โจวเต็มไปด้วยโคมไฟ เขาอยู่บนถนน ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงเงยหน้าขึ้น จากนั้นจึงได้เห็นเสี่ยวเหอที่อยู่บนเหลาสุรา
ตอนนั้นสิ่งที่เขามองเห็นคือดวงตาของนาง แต่สิ่งที่นางมองเห็นกลับเป็นดอกมะลิที่อยู่บนปกเสื้อของเขา
เมื่อคิดถึงภาพเหตุการณ์นั้น สีหน้าเสี่ยวเหอดูอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า “คุณชายของเจ้าดีกับเจ้าจริงๆ”
“ใช่ ดังนั้นในตอนที่ข้าเห็นสร้อยข้อมือ ข้าจึงรู้สึกมีความสุขอย่างมาก ที่แท้คุณชายก็คอยเฝ้าดูข้าอยู่ตลอด คอยเป็นห่วงข้า แล้วก็ไม่เคยสงสัยในตัวข้า”
หลิ่วสือซุ่ยยิ้มพลางกล่าวต่อว่า “คิดไม่ถึงว่าทุกคนในชิงซานจะถูกข้าหลอก กระทั่งซีหวังซุนก็ถูกข้าหลอก แต่กลับไม่สามารถหลอกคุณชายได้”
เสี่ยวเหอกล่าว “ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่านิสัยแบบเจ้าจะหลอกคนอื่นเป็นเหมือนกัน”
หลิ่วสือซุ่ยเกาหัวอย่างขวยเขิน กล่าวว่า “ความจริงฝีมือการแสดงของข้าดีมากนะ”
เสี่ยวเหอมองเขา ยิ้มๆ มิกล่าวกระไร
“จริงๆ นะ เจ้าไม่รู้อะไร ในตอนที่ออกมาจากชิงซานวันนั้นข้าแสดงได้สุดยอดมาก เจ้ารู้ไหมว่าทำอย่างไรถึงจะแสดงออกมาแบบนั้นได้? อันดับแรกรูปลักษณ์ภายนอกต้องจัดเตรียมให้ดี ข้าไม่สระผมเป็นเวลาครึ่งปี ทุกวันลงไปกลิ้งกับพื้นเพื่อให้เสื้อผ้าเสียดสีกับพื้นจนขาดและเก่า แล้วข้ายังอดนอนด้วย เช่นนี้ดวงตาถึงจะเปลี่ยนเป็นสีแดง แล้วก็อ่อนล้า ในตอนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ข้าดูเหมือนผีอย่างไรอย่างนั้น”
หลิ่วสือซุ่ยบอกเล่าอย่างมีความสุข โบกไม้โบกมือไม่หยุด ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ
“แต่แน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออารมณ์และคำพูด ข้ารู้ว่าตัวเองค่อนข้างโง่ ดังนั้นจึงฝึกอยู่หลายรอบ ความรู้สึกไม่ยินยอม ผิดหวัง โกรธแค้น ข้าแสดงได้เหมือนจริงอย่างมาก อยู่ในระดับที่ถ้าได้เห็นต้องเสียน้ำตาแน่นอน ตอนนั้นเจ้ามิได้อยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นจะต้องร่ำไห้ออกมาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่ถูกสะบั้นเส้นลมปราณ และตอนที่กล่าวถามคุณชายสองสามประโยคก่อนจะถูกขับออกจากสำนัก เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก! กระทั่งตัวข้าเองก็ยังรู้สึกสะเทือนใจเป็นยิ่งนัก แล้วก็…”
เสี่ยวเหอพลันกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าถ้าจิ๋งจิ่วรู้ว่าเจ้าหลอกเขา เขาจะโกรธอย่างมาก?”
สีหน้าของหลิ่วสือซุ่ยเหม่อลอยไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “เอ่อ…ไม่เคยคิด”
“ไม่เคยคิดหรือว่าไม่กล้าคิด?”
ม่านตาเสี่ยวเหอขยับเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าบอกว่าคำพูดนั้นกระทั่งตัวเจ้าก็ยังรู้สึกสะเทือนใจ เป็นไปได้ไหมว่าตอนนั้นเจ้าจะคิดเช่นนั้นจริงๆ?”
หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะถอนใจพลางกล่าว “บางทีอาจจะมีนิดหน่อยกระมัง ตอนนั้นทุกคนต่างคิดว่าข้าแอบขโมยกินตานปีศาจ ข้าถูกยอดเขาซั่งเต๋อลงโทษ ถูกลืมไว้ในยอดเขาเทียนกวง แต่ข้าคิดว่าคุณชายจะต้องเป็นห่วงข้า ข้าน่าจะเชื่อข้า ใครจะไปคิดบ้างว่าเขาจะออกไปเที่ยวบนโลก มิได้กลับมา ถึงแม้จะกลับมาแล้วก็มิได้มีอะไรเปลี่ยนไป อย่าว่าแต่จะไปดูข้าเลย กระทั่งฝากคนมาถามก็ยังไม่มี”
เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าใจบนใบหน้าของเขา เสี่ยวเหอจึงส่ายศีรษะอย่างหงุุดหงิดเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “เจ้านี่โง่หรือเปล่า เมื่อครู่เจ้าเป็นคนบอกเองว่าไม่สามารถหลอกเขาได้ ในเมื่อเขารู้ความจริงแล้ว แล้วเขายังจะมาสนใจเจ้าได้อย่างไร?”
หลิ่วสือซุ่ยได้สติขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวว่า “จริงด้วย”
แต่หลังจากนั้นเขาก็พูดอีกว่า “ไม่สิ”
เสี่ยวเหอลืมตาโต กล่าวถามว่า “สรุปแล้วใช่หรือไม่ใช่?”
หลิ่วสือซุ่นดวงตาเป็นประกายขึ้นมา กล่าวว่า “ในเมื่อคุณชายรู้ความจริงแต่แรกแล้ว แต่เขากลับยังนิ่งเฉยได้ปานนั้น…นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าแสดงได้ดี เทียบกับเขาแล้วข้ายังห่างไกลจริงด้วย แถมยังคุยโวอีก”
เสี่ยวเหอรู้สึกทนไม่ไหวแล้ว นางใช้กาน้ำชาไปรองน้ำพุมาเล็กน้อย ก่อนจะเทให้ตัวเองแก้วหนึ่ง
หลิ่วสือซุ่ยมิได้สนใจเลยว่านางจะทำอะไร เขาพูดต่อไปว่า “ไม่ว่าเรื่องอะไรคุณชายก็ล้วนแต่ยอดเยี่ยม เมื่อก่อนตอนที่อยู่บ้านข้า เขาใช้เวลาเพียงเก้าวันก็สามารถเรียนรู้เรื่องต่างๆ ได้ ปักกล้าข้าวก็ยังเป็นเส้นตรงดิ่ง ภายหลังข้ากลับบ้านไปหัดอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ยังมิอาจสู้เขาได้ เออใช่ แล้วยังมีกระบี่ที่คุณชายให้เจ้าเล่มนั้น เจ้าเองก็เห็นแล้ว นั่นมันมิใช่กระบี่ธรรมดา หากแต่เป็นกระบี่…”
เสี่ยวเหอฟังถึงตรงนี้ ในที่สุดก็รู้สึกสนใจขึ้นมา นางกล่าวถามว่า “นั่นมันกระบี่อะไร?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร คุณชายมีของดีตั้งเยอะตั้งแยะ ตอนที่อยู่ศาลาหนานซง เขายังเคยให้ข้ากินยาวิเศษไปเม็ดหนึ่งด้วย”
เสี่ยวเหอไม่อยากจะพูดอะไรอีก ในใจครุ่นคิดว่าเป็นเพราะจิ๋งจิ่วให้เจ้ากินยาสินะ มิเช่นนั้นเจ้าซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดจะเลื่อมใสเขาถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?
“คุณชายมีของดีๆ เยอะมาก ความลับเองก็เยอะมากเช่นกัน แต่ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้”
หลิ่วสือซุ่ยพูดต่อว่า “เจ้าเคยได้ยินชื่อเจ้าล่าเยวี่ยไหม? นางเป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อของสำนักชิงซานเชียวนะ ความลับนางก็เยอะมากเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นความลับนั้นยังเกี่ยวข้องกับคุณชายด้วย ข้าบังเอิญไปรู้เข้าเช่นกัน แต่ข้าบอกเจ้าไม่ได้หรอกนะ”
เสี่ยวเหอทนไม่ไหวแล้ว นางกล่าวว่า “เมื่อก่อนเจ้าก็พูดมากแบบนี้หรือ?”
ตอนที่อยู่ในเหลาสุรา เวลาที่พวกเขานั่งอยู่คนละฝั่งของโต๊ะกินข้าว บ่อยครั้งที่พวกเขามักจะไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
ในความคิดของนาง นางคิดว่าหลิ่วสือซุ่ยเป็นคนที่มีความอดอนอดกลั้น มีความทะเยอทะยาน เช่นนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่เขาจะมีนิสัยเงียบขรึมและมุ่งมั่น
ใครจะไปคิดบ้างว่าหลังออกมาจากเมืองไห่โจว เขาจะกลายเป็นคนที่พูดมากเช่นนี้
หลิวสือซุ่ยงุนงงไปครู่ใหญ่ ก่อนจะกล่าวต่อ เพียงแต่น้ำเสียงเบาลงกว่าเดิมมาก
“ข้าไม่ได้คุยอย่างมีความสุขแบบนี้มานานแล้ว”
เป็นเพราะเก็บซ่อนความลับเอาไว้มากมาย เป็นเพราะความกดดันที่หนักอึ้ง เป็นเพราะต้องปิดบังพวกเดียวกันและศัตรู
เด็กชายจากหมู่บ้านเล็กๆ ในภูเขาที่สงสัยใครรู้ในทุกๆ เรื่องและพูดมากคนนั้นนิ่งเงียบมาเป็นเวลาหลายปี
เสี่ยวเหอดึงเขามากอดเอาไว้ พร้อมตบที่แผ่นหลังเขาเบาๆ
……………………………………