มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 53 ผมขาวสามพันเส้น
จินหมิงเฉิงกล่าว “ในแผ่นดินของฝ่าบาท ไม่ว่ากระบี่ใดอยู่ในนี้ ขอเพียงเขากล้าเอาไป ก็จะต้องถูกพบอย่างแน่นอน จากนั้นก็จะมีคนไปจัดการเขา”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ในที่สุดลู่กั๋วกงก็วางใจ เขายิ้มพลางกล่าว “ดูเหมือนครั้งนี้สำนักกระบี่ซีไห่จะเจอกับปัญหาใหญ่เข้าแล้ว”
คนที่กล้าจัดการซีหวังซุนก็ย่อมต้องเป็นคนที่สามารถเอาชนะเขาได้ เช่นนั้นก็จะต้องเป็นยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ที่ทั่วทั้งแผ่นดินมีอยู่ไม่กี่คน
จินหมิงเฉิงกล่าวว่า “ล่วงเกินชิงซานแล้วยังอยู่มาได้นานขนาดนี้ สำนักกระบี่ซีไห่เองก็ไม่ใช่ย่อยเลยทีเดียว”
ลู่กั๋วกงกล่าวถามว่า “ภาพขุนเขาลำธารถูกส่งไปที่ไหน? ยอดเขาเทียนกวง?”
จินหมิงเฉิงกล่าว “ไม่ หรือกั๋วกงมิได้สังเกตว่าวันนี้แผ่นดินวุ่นวายขนาดนี้ แต่กลับมีที่หนึ่งเงียบสงบเกินไป?”
ลู่กั๋วกงเข้าใจแล้ว ในใจครุ่นคิดว่าเป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าสถานที่นั้นซึ่งเป็นที่ที่ไม่ควรจะเงียบสงบมากที่สุด จนถึงตอนนี้กลับยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
……
……
วันนี้เป็นหนึ่งวันที่ยาวนานอย่างมากของแผ่นดินเฉาเทียน
ราชสำนักและสำนักฝ่ายธรรมะได้ทำการยืนยันแล้วว่าลานเมฆของสำนักกระบี่ซีไห่คือศูนย์กลางของปู้เหล่าหลิน และซีหวังซุนก็คือหัวหน้าของปู้เหล่าหลิน
ทว่าเขาเทียนโซ่วกลับไม่มีความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
เมื่อฟังดูจากชื่อก็จะรู้ได้ว่าที่นี่เคยเป็นสุสานแห่งหนึ่ง พูดให้ถูกก็คือที่นี่เคยเป็นสุสานหลวงของราชวงศ์ก่อนหน้า ภายหลังถูกสำนักอู๋เอินเหมินยึดเอาไปเป็นที่ตั้งสำนัก
สำหรับหลายๆ คน โดยเฉพาะสำหรับผู้บำเพ็ญพรตด้วยแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ทว่าสำนักอู๋เอินเหมินกลับมิสนใจ
เพราะสิ่งที่พวกเขาฝึกคือวิถีสังหารและตัดขาด เน้นหนักเรื่องการใช้กระบี่ทำลายฟ้าดิน
กระทั่งฟ้าดินยังไร้บุญคุณต่อคน นับประสาอะไรกับฮ่องเต้และราชสำนัก?
เมื่อหลายปีก่อน ผู้หลบหนีกระบี่ที่มีชื่อเสียงคนนั้นได้สร้างปัญหาให้กับโลกนี้ โลกแห่งการบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะตกอยู่ในความวุ่นวาย เนื่องจากสำนักอู๋เอินเหมินยึดครองสุสานของราชวงศ์ก่อนหน้านี้เอาไว้จึงถูกเพ่งเล็ง ในเวลาสั้นๆ แค่สิบปีก็ถูกพรรคมารร่วมมือกันบุกโจมตีติดต่อกันสี่ครั้ง ครั้งสุดท้ายสำนักเกือบจะถูกทำลายจนพังทลาย โชคดีที่ยอดฝีมือของชิงซานขี่กระบี่มาช่วยเหลือ จึงรอดมาได้
เพราะเรื่องนี้ อีกทั้งแนวคิดของทั้งสองสำนักใกล้เคียงกัน สำนักชิงซานและสำนักอู๋เอินเหมินจึงกลายเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันจนมาถึงทุกวันนี้
ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ สำนักอู๋เอินเหมินตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการสู้กับสำนักกระบี่ซีไห่ ถูกข่มเหงอย่างหนัก เหล่าลูกศิษย์แทบจะไม่ออกไปข้างนอก ทำตัวเงียบๆ ไม่เป็นที่สังเกตขึ้นทุกวัน
แต่วันนี้ที่ีนี่ไม่ควรจะสงบเงียบแบบนี้
สำนักฝ่ายธรรมะกำลังล้อมโจมตีลานเมฆของสำนักกระบี่ซีไห่ ตามหลักแล้วสำนักอู๋เอินเหมินที่มีความแค้นกับสำนักกระบี่ซีไห่ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะเคลื่อนไหวเต็มกำลัง
เขาเทียนโซ่วเงียบสงบ ทุกที่เต็มไปด้วยเสียงนกร้อง ลูกศิษย์ฝึกกระบี่อย่างขันแข็งอยู่ในเขา คล้ายไม่รู้ว่าโลกภายนอกกำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ในส่วนลึกของหมู่เขามีตำหนักหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่ง บนชายหลังคามีรูปปั้นอสูรหินเกาะอยู่สิบตัว กำแพงด้านนอกก่อขึ้นมาจากหินแท่งยาว พื้นด้านในปูขึ้นมาจากอิฐก้อนใหญ่
ด้านหน้าตำหนักมีบันไดสิบสามขั้น ตรงกลางมีรูปนกกระเรียนสลักนูนอยู่
จากลักษณะการก่อสร้างจะเห็นได้ว่าที่นี่น่าจะเป็นตำหนักหลังของสุสานหลวงราชวงศ์ก่อน แต่ได้ถูกสำนักอู๋เอินเหมินเอามาทำเป็นตำหนักเจ้าสำนัก
ในตำหนักเจ้าสำนักมืดสลัว บรรยากาศดูอึมครึม ด้านในสุดมีชายชรานั่งอยู่ผู้หนึ่ง
ชายชราผู้นั้นผมขาวเต็มศีรษะ มีแต่ต้องเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงจะเห็นว่ามีผมบางเส้นที่ยังเป็นสีดำอยู่ เขาก้มหน้า มองเห็นใบหน้าไม่ชัด
เจ้าสำนักอู๋เอินเหมินเผยไป๋ฟ่า[1] และมิได้เป็นเพราะเขามีผมขาวเต็มหัวถึงได้มีชื่อนี้
หลายปีก่อน เหล่ายอดฝีมือของพรรคมารล้อมโจมตีสำนัก มีเพียงเขาที่มีคุณสมบัติที่จะคอยปกป้องประตูสุสานได้ ในเวลานั้นเขาก็มีชื่อนี้แล้ว
เพราะวิชาที่เขาฝึกคือวิชากระบี่ผมขาวสามพันเส้นที่ยากที่สุดและมีอานุภาพรุนแรงที่สุดของสำนักอู๋เอินเหมิน
ในช่วงเวลาหลายร้อยปี เขาเป็นเพียงคนเดียวในสำนักอู๋เอินเหมินที่ฝึกวิชานี้สำเร็จ
เพลงกระบี่นี้เมื่อฝึกจนถึงจุดสูงสุด หนึ่งกระบี่สามารถทะยานไปได้พันลี้ หรืออาจจะไกลกว่านั้น!
เพียงแต่เจตน์กระบี่และพลังจิตที่ต้องใช้นั้นเป็นภาระต่อผู้ควบคุมกระบี่อย่างมาก ทุกครั้งที่ปล่อยกระบี่ออกไปจะมีผมขาวงอกมาเส้นหนึ่ง มันจึงได้ชื่อว่าผมขาวสามพันเส้น
เผยไป๋ฟ่าผมขาวเต็มศีรษะ ไม่รู้ว่าชีวิตนี้ปล่อยกระบี่ไปมากน้อยเท่าไร แล้วก็ไม่รู้ว่ามีผมขาวมากน้อยเท่าไรที่เกิดขึ้นเพราะสภาวะของเขาในช่วงหลายปีมานี้
ในครั้งนั้นเขาต่อสู้กับเทพกระบี่ของซีไห่ แพ้อย่างหมดสภาพ หากมิเป็นเพราะเจ้าสำนักชิงซานช่วยออกหน้า บางทีตอนนั้นอาจจะตายไปแล้ว
นับแต่นั้นมาเขาก็เก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในเขาเทียนโซ่วมาโดยตลอด มิได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีก หลายปีนี้ปิดตายตัวเองอยู่ในตำหนัก กระทั่งลูกศิษย์เองก็ยังไม่ยอมพบ กินเพียงแต่น้ำเปล่าเท่านั้น
ว่ากันว่าเขาถูกเทพกระบี่ซีไห่โจมตีจนสภาวะถดถอยลงมาจากขั้นทะลวงสวรรค์ บ้างว่าเขาบาดเจ็บสาหัสจนใกล้ตายแล้ว
แต่หากมีคนสังเกตสักเล็กน้อย บางทีอาจจะพบว่าวันที่เผยไป๋ฟ่าเริ่มกินแต่น้ำเปล่า วันนั้นก็คือวันที่สองหลังจากลั่วไหวหนานตายไป
ลั่วไหวหนานเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักจงโจว แต่การตายของเขาไม่อาจทำให้ยอดคนอย่างเจ้าสำนักอู๋เอินเหมินต้องเศร้าเสียใจนานขนาดนี้ได้
เผยไป๋ฟ่าก้มหน้ามองดูถาดทรายที่อยู่ตรงหน้า
ในถาดทรายมีภูเขาและมีแม่น้ำ ล้วนแต่เป็นภูเขาและแม่น้ำในแผ่นดินเฉาเทียน ดังนั้นมันจึงได้ชื่อว่าภาพขุนเขาลำธาร
ในตำแหน่งที่ไม่สะดุดตาทางซ้ายมือของภาพขุนเขาลำธารมีจุดแสงสว่างเล็กๆ จุดหนึ่ง
เผยไป๋ฟ่ามองมันอยู่นานหลายปีแล้ว ตำแหน่งจุดแสงเล็กๆ จุดนั้นไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงมาก่อน
แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน จุดแสงนั้นขยับวูบวาบไปมาเล็กน้อย
นี่หมายความว่ากระบี่เล่มนั้นขยับแล้ว
เผยไป๋ฟ่ายังคงไม่ขยับ เพราะมันยังสว่างไม่พอ
ทันใดนั้น จุดแสงเล็กๆ นั้นแปรเปลี่ยนเป็นสว่างเจิดจ้าขึ้นมา สว่างจนค่อนข้างแสบตา
เผยไป๋ฟ่ารู้สึกเสียดายเล็กน้อย
หลายปีมานี้เขากินแต่น้ำเปล่า ไม่หลับไม่นอนนับพันคืน สุดท้ายกระบี่ที่เตรียมการเอาไว้เล่มนี้ก็มิได้ไปปักอยู่บนตัวเจี้ยนซีไหล
แต่ว่าสามารถทำให้สำนักกระบี่ซีไห่ล่มจมลงแบบนี้ได้ก็คือว่าเพียงพอแล้ว
เผยไป๋ฟ่าครุ่นคิดเช่นนี้ พลางยื่นมือเข้าไปในภาพขุนเขาลำธาร
แสงสว่างภายในภาพขุนเขาลำธารสว่างยิ่งขึ้น แสงหักเหผ่านมือของเขาที่ยื่นเข้าไป สะท้อนขึ้นมาบนใบหน้า ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเป็นสีขาว ดูแล้วยิ่งเหมือนหยกกลมๆ
เขาเป็นคนตาบอด!
……
……
ไม่มีใครล่วงรู้ ร่างกายของเผยไป๋ฟ่าที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของตำหนักกำลังสั่นเทิ้มขึ้นมา
แต่ไม่นานศิษย์ของสำนักอู๋เอินเหมินก็รับรู้ได้ว่ากำลังมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เพราะภูเขาเทียนโซ่วที่เชื่อมต่อกันสิบกว่าลูกพลันสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง คล้ายแผ่นดินไหว แล้วก็คล้ายเรื่องราวที่พวกเขาฟังมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เด็ก — หรือว่าเผ่าหมิงจะบุกเข้ามายังโลกมนุษย์ผ่านทางน้ำพุเหลืองที่อยู่ทางด้านล่างสุสาน
ศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินเดินออกมาจากที่ต่างๆ ในสำนัก มายืนอยู่ในหุบเขาหน้าตำหนัก รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังฟ้าดิน บนใบหน้าหน้ามีสีหน้าตกใจปนสงสัย
เผยหย่วนคือเจ้าตำหนักสิงถางของสำนักอู๋เอินเหมิน
อีกสถานะหนึ่งของเขาคือพี่ชายแท้ๆ ของเผยไป๋ฟ่า เพียงแต่ใบหน้าเขาดูอ่อนเยาว์กว่าเผยไป๋ฟ่ามากนัก เส้นผมส่วนใหญ่ยังคงเป็นสีดำอยู่
เขารีบวิ่งมาที่หน้าตำหนักใหญ่ ด้วยคิดอยากจะเข้าไปดู แต่กลับถูกผู้อาวุโสหลายคนห้ามเอาไว้
“ข้าเป็นห่วงว่าเจ้าสำนักเกิดเรื่องหรือเปล่า”
สีหน้าของเผยหย่วนร้อนใจเป็นยิ่งนัก
เพราะนั่นคือน้องชาย สัมพันธ์ย่อมลึกซึ้ง
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “วันนี้เจ้าสำนักมีเรื่องสำคัญต้องทำ ห้ามมิให้ผู้ใดรบกวน ขอท่านเจ้าตำหนักเผยโปรดใจเย็นก่อน”
เผยหย่วนได้ฟังเช่นนี้ยิ่งรู้สึกตกใจ ในใจครุ่นคิดน้องชายบาดเจ็บสาหัสมาหลายปี ดูแล้วใกล้จะไม่ไหว แต่กลับยังจะทำเรื่องใหญ่อะไรอีก?
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเหตุใดเขาถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว?
นกกระเรียนที่สลักนูนอยู่บนบันไดหินรับรู้ได้ถึงพลังที่ส่งออกมาจากในตำหนัก จึงเปล่งแสงออกมา ราวกับกำลังคืนชีพอย่างไรอย่างนั้น
อสูรหินที่อยู่บนชายหลังคามองไปบนท้องฟ้า คล้ายกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
ในส่วนลึกของตำหนัก แสงสว่างบนถาดทรายส่องสว่างใบหน้าเผยไป๋ฟ่าและดวงคาที่มืดบอดมาเป็นเวลานานหลายปีคู่นั้น
ลมพัดขึ้นมา
เส้นผมปลิวไหว
กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งออกไป ทะลุหลังคาตำหนัก กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งหายวับไปในท้องฟ้า
บนท้องฟ้าที่แจ่มใสมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา จากนั้นก็มีฝนตกลงมาห่าใหญ่
เผยหย่วนเงยหน้ามองท้องฟ้า ปล่อยให้น้ำฝนตกกระทบลงบนใบหน้าที่ซีดขาว พลางครุ่นคิดอย่างตกตะลึง ที่แท้เขา…ไม่เป็นไรอย่างนั้นหรือ?
………………………………