มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 57 คำพูดจากผู้ขายดาบ
บนท้องฟ้าที่อยู่รอบลานเมฆมีเสียงอุทานตกใจดังสลับขึ้นมา
ไข่มุกคืนสวรรค์สามารถแสดงภาพและเสียงออกมาอีกครั้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังไม่สามารถปลอมแปลงขึ้นมาได้ด้วย เป็นของวิเศษที่มีชื่อเสียงของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต หลายปีมานี้ถูกเก็บไว้ในเขาอวิ๋นเมิ่งของสำนักจงโจวมาโดยตลอด เหตุใดจู่ๆ ถึงมาอยู่ในมือของกั้วหนานซานได้?
ถึงแม้จะบอกว่าหลายปีมานี้ความสัมพันธ์ของสำนักชิงซานและสำนักจงโจวจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่สองผู้นำแห่งโลกแห่งการบำเพ็ญพรตจะใกล้ชิดกันขนาดนี้ได้อย่างไร?
ถงหลูคิดถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูแย่อย่างมาก ผู้อาวุโสขั้นคเนจรสองคนที่อยู่ข้างเขาสบตากัน พวกเขาก็คิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา สีหน้าดูคร่ำเคร่ง
สำนักกระบี่ซีไห่เป็นมิตรที่ดีกับสำนักจงโจวมาโดยตลอด วันนี้ในบรรดาสำนักที่ล้อมโจมตีลานเมฆไม่มีเงาของศิษย์สำนักจงโจว เดิมพวกเขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่…ไข่มุกคืนสวรรค์กลับไปปรากฏอยู่ในมือของกั้วหนานซาน นี่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายแอบร่วมมือกันอย่างลับๆ มานานแล้ว
ต่อให้หยิ่งผยองแค่ไหน ถงหลูก็ทราบดีว่าสำนักของตนเองไม่มีทางสู้กับสำนักชิงซานและสำนักจงโจวที่ร่วมมือกันแบบซึ่งๆ หน้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสำนักต่างๆ อย่างเรือนอี้เหมาและต้าเจ๋ออีก
เขาจ้องมองดวงตาของกั้วหนานซาน ก่อนกัดฟันพลางกล่าว “เจ้าจะให้ข้าดูอะไร?”
ไข่มุกคืนสวรรค์เปล่งแสงสว่างออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน ตกกระทบไปในท้องฟ้า
อาทิตย์ยามเย็นคล้อยต่ำ ท้องฟ้าแดงฉาน ภาพที่ฉายออกมาดูไม่ชัดเจน แต่ยังคงมองเห็นใบหน้านั้นของหลิ่วสือซุ่ย
ไม่รู้เป็นเพราะหมอกที่อยู่บนพื้นหนาเกินไป หรือเป็นเพราะวิชาลมฝนของสำนักต้าเจ๋อ ท้องฟ้ายามค่ำคืนจึงมาเยือนเร็วกว่าปกติหลายเท่า ภาพที่ฉายออกมาค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
ในภาพที่เปลี่ยนไปไม่หยุดมีเหตุการณ์ต่างๆ ปรากฏขึ้นมา มีซีหวังซุน มีบันทึกหยกเหล่านั้น
นอกจากนี้สิ่งที่ปรากฏออกมาพร้อมกับภาพเหล่านี้ยังมีเสียงที่ดังออกมาจากในไข่มุกคืนสวรรค์ด้วย
คำพูดเหล่านั้นได้อธิบายในหลายๆ เรื่อง
……
……
ลำแสงหายไป ไข่มุกคืนสวรรค์กลับคืนสู่สภาพเดิม ทุกอย่างตกอยู่ในความมืด มีเพียงเสียงหวีดหวิวของลมทะเล
ความเงียบที่อยู่รอบๆ ลานเมฆคงอยู่เป็นเวลาครู่ใหญ่ ถึงแม้สำนักฝ่ายธรรมะที่ล้อมโจมตีลานเมฆจะมีหลายคนที่ไม่ทราบในรายละเอียด พวกเขาเหล่านั้นก็ยังตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
ถงหลูมองดวงตาของกั้วหนานซาน สีหน้าขาวซีด ตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวและความร้อนใจ “ใส่ร้ายป้ายสีชัดๆ!”
กั้วหนานซานมองเขาอย่างเห็นใจ มิได้กล่าวกระไร
ไม่มีใครตอบถงหลู แม้แต่เหล่าศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่เองก็เช่นกัน
สีหน้าพวกเขาดูสับสน ในใจครุ่นคิดว่าหรือที่ตัวเองได้เห็นมันคือความจริง? ปู้เหล่าหลิน?
“คำขอของพวกข้านั้นง่ายมาก มอบคนที่อยู่ในรายชื่อเหล่านี้ออกมาซะ”
มือขวาเฉิงโหยวเทียนสะบัดเบาๆ ลำแสงกระบี่จำนวนหลายสายพุ่งออกมาจากกระบี่บินที่อยู่ใต้เท้าเขา ทะยานไปมาในท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ก่อนจะรวมตัวกลายเป็นรายชื่อหลายร้อยรายชื่อ
มีบางชื่อที่ค่อยๆ หายไป หลงเหลือรายชื่ออยู่สองร้อยกว่าชื่อ ดูสะดุดตาเป็นอย่างมากเมื่ออยู่ในความมืด
ถงหลูมองดู เขาจำได้ว่าชื่อเหล่านี้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือในสำนักกระบี่ซีไห่ ส่วนคนที่เหลือน่าจะเป็นผู้ดูแลของลานเมฆ
หากวันนี้สำนักกระบี่ซีไห่มอบคนเหล่านี้ออกไป ความแข็งแกร่งของสำนักจะเสียหายมากกว่าครึ่ง ที่สำคัญกว่านั้นก็คือภายภาคหน้าสำนักกระบี่ซีไห่จะยืนอยู่บนแผ่นดินเฉาเทียนได้อย่างไร?
“รายชื่อที่หายไปเหล่านั้นหมายความว่าอย่างไร?”
ถงหลูพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธภายในใจ ก่อนกล่าวถามออกมา
เฉิงโหยวเทียนกล่าว “คนเหล่านั้นเป็นสายที่ปู้เหล่าหลินส่งเข้าไปในราชสำนักและสำนักต่างๆ แล้วก็มีคนของพรรคมาร ซึ่งพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ จึงไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพูดคุยครั้งนี้”
ถงหลูจ้องมองเขาพลางตะโกนเสียงดัง” อาศัยเพียงภาพและเสียงเหล่านี้ก็จะให้พวกข้ายอมเชื่อคำพูดพวกท่านอย่างนั้นหรือ เหลวไหลสิ้นดี!”
เฉิงโหยวเทียนไม่มีทีท่าว่าจะต่อรองกับเขาอีก กล่าวว่า “รีบมอบคนออกมา”
ไม่อย่างนั้น ก็สู้กันซะ
เฉิงโหยวเทียนรับหน้าที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขามาเพียงสิบกว่าปี คืนนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นตัวแทนชิงซานทำเรื่องใหญ่เช่นนี้ ตามหลักแล้วเขาควรจะตื่นเต้นถึงจะถูก
แต่เขากลับสงบนิ่ง คล้ายมีความมั่นใจ ราวกับว่าต่อให้เทพกระบี่ซีไห่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย
“จะใส่ร้ายคนมันก็หาข้ออ้างได้เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น….นี่ก็เป็นคำพูดของหลิ่วสือซุ่ยแต่เพียงฝ่ายเดียว!”
ถงหลูพลันคิดถึงจุดนี้ขึ้นมา จึงกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “พวกเราต่างรู้ว่าเขาสังหารลั่วไหวหนาน! แล้วจะเชื่อถือคำพูดของเขาได้อย่างไร นี่จะต้องเป็นแผนชั่วของปู้เหล่าหลินอย่างแน่นอน!”
สมมติฐานนี้ไม่อาจบอกได้ว่าไม่มีเหตุผล สีหน้าของเหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่ล้อมลานเมฆเอาไว้ต่างแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
ในเวลานี้เอง ภายในท้องฟ้ายามค่ำคืนพลันมีช่องๆ หนึ่งเปิดออก คนผู้หนึ่งลอยลงมาจากในก้อนเมฆ
คนผู้นั้นสวมชุดสีเหลือง ท่าทางดูมิธรรมดา นั่นคือซีหวังซุน
ถงหลูตกใจเป็นยิ่งนัก เขาตะโกนว่า “อาจารย์อา?”
คนที่รู้จักซีหวังซุนนั้นมีไม่มาก เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงพากันทำการคารวะ
เหล่าศิษย์และผู้ดูแลที่อยู่ในลานเมฆต่างเผยให้เห็นสีหน้าดีใจ
ทันใดนั้นเอง ทุกคนก็พบเห็นความผิดปกติ
บนร่างกายของซีไหวซุนมีเลือด!
เขามิได้กำลังเอามือไพล่หลัง แต่มือทั้งสองข้างของเขาถูกมัดเอาไว้ด้านหลัง!
ถงหลูตกตะลึงจนพูดไม่ออก เขามองไปทางด้านหลังของซีหวังซุน เพ่งมองออกไป ถึงจะมองเห็นเชือกเส้นนั้น
เชือกเส้นนั้นมิใช่เชือกจริงๆ หากแต่เหมือนเป็นเงา เมื่ออยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนจึงไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ซีไห่หรือศิษย์ของสำนักต่างๆ ที่ล้อมโจมตีลานเมฆอยู่ ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮาออกมา!
แต่ไหนแต่ไรมาซีหวังซุนนั้นลี้ลับเป็นยิ่งนัก แต่ทุกคนต่างรู้ว่าสภาวะของเขาล้ำลึก ทว่าในเวลานี้กลับถูกคนจับห้อยลงมาจากบนท้องฟ้า!
ใครกันที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้?
ปู้ชิวเซียวสีหน้าเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องนี้แต่แรก เขาบินมาถึงตรงหน้าซีหวังซุนพลางกล่าว “เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดต้องสร้างกรรมอีก? พวกลูกน้องที่จงรักภักดีต่อเจ้านั่นก็ว่าไปอย่าง แต่ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้มิรู้เรื่องราว หรือต้องให้พวกเขาถูกฝังไปพร้อมกับเจ้าด้วย?”
ความหมายของคำพูดของเขาชัดเจนเป็นอย่างมาก นั่นก็คือหวังว่าซีหวังซุนจะยอมรับผิดออกมาด้วยตัวเอง เพื่อจะได้ไม่ทำให้เกิดศึกนองเลือดขึ้น
ไข่มุกที่อยู่บนหมวกของซีหวังซุนแตกไปครึ่งหนึ่ง พลิ้วไหวขึ้นมาเบาๆ ตามแรงลม ดูแล้วค่อนข้างแปลก คล้ายจะฟันสายตาของเขาออกเป็นเสี่ยงๆ
สายตาของเขากวาดมองดูผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่รอบๆ ลานเมฆ ดูเหนื่อยล้าและอ้างว้าง สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่ถงหลูและศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่
“ถูกต้อง หลายปีมานี้ข้าเป็นคนดูแลปู้เหล่าหลิน”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ บนท้องฟ้าพลันมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมาอีกครั้ง
ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก บรรยากาศดูหดหู่ขึ้นกว่าเดิม ถงหลูใบหน้าขาวซีด รู้สึกไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง
การต่อสู้ยังไม่เริ่มขึ้น อาจารย์ฝ่ายตัวเองก็ถูกจับไปเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังยอมรับความผิดของตัวเองออกมา แล้วอย่างนี้ยังจะสู้ได้อย่างไรอีก?
ซีหวังซุนพลันหัวเราะขึ้นมา
เหตุใดยังหัวเราะอีก?
เขาเก็บร้อยยิ้ม มองดูทุกคนก่อนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แต่ว่า ข้าทำอะไรผิดล่ะ?”
ทุกคนคิดในใจว่าหรือคนผู้นี้จะได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจจนเสียสติไปแล้ว ไม่อย่างนั้นทำไมถึงพูดจาเช่นนี้ออกมาได้
กั้วหนานซานขมวดคิ้วพลางกล่าว “ทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ แต่กลับยังไม่สำนึกผิด ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่”
ซีหวังซุนกล่าว “สิ่งที่ข้าอยากพูดก็คือในสำนักของพวกเจ้า มีคนอย่างข้าอยู่เยอะแยะมากมาย”
กั้วหนานซานกล่าว “เจ้าวางใจได้ พวกเราไม่มีทางปล่อยคนเหล่านั้นไปแน่”
ซีหวังซุนมองเขาพลางกล่าวเสียดสีเล็กน้อย “เจ้ามั่นใจหรือว่านั่นคือทั้งหมด? คนพวกนั้นก็เป็นแค่ตัวประกอบเล็กๆ หรือเจ้ากล้าสงสัยอาจารย์ของเจ้า?”
สีหน้าของกั้วหนานซานเปลี่ยนเล็กน้อย เขากล่าวเสียงคร่ำเคร่ง “เลิกคิดที่จะใส่ร้ายป้ายสีเพื่อให้คนแตกแยกกันซะ”
ความหมายของซีหวังซุนชัดเจน ในสำนักต่างๆ มีคนสำคัญจำนวนมากที่มีความเกี่ยวโยงกับปู้เหล่าหลิน หรือพวกเจ้ายังกล้าจับ
ความหมายของกั้วหนานซานเองก็ชัดเจนเช่นเดียวกัน ในเมื่อเป็นคนสำคัญของแต่ละสำนัก แล้วพวกเขาจะมาเป็นมือสังหารให้ปู้เหล่าหลินได้อย่างไร
ซีหวังซุนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พวกเขาย่อมไม่มีทางมาเป็นมือสังหาร แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ พวกเขาจึงมีคนที่อยากจะฆ่าให้ตายอยู่เป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่สะดวกจะลงมือเอง ดังนั้นจึงต้องให้พวกข้าเป็นคนทำ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะให้ข้าพูดชื่อของพวกเขาออกมาในตอนนี้?”
สายตาเขากวาดมองไปบนใบหน้าของเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักต่างๆ ดูคล้ายกับดาบอย่างไรอย่างนั้น
ปู้ชิวเซียวสังเกตเห็นในบรรดาเจ้าสำนักและผู้อาวุโสเหล่านั้นมีอยู่สองสามคนที่สีหน้าดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ในใจรู้ว่าไม่อาจปล่อยให้ซีหวังซุนพูดต่อไปได้
เขามองเฉิงโหยวเทียน
เฉิงโหยวเทียนเข้าใจความหมายของเขา จิตจำแนกแห่งกระบี่เคลื่อนไหวเล็กน้อย นิ้วมือมือขวามีสายฟ้าแลบแปลบปลาบออกมา พร้อมที่จะใช้เพลงกระบี่แปดทิศทุกเมื่อ ใช้สายฟ้าโจมตีไปยังอีกฝ่ายจนตาย
ซีหวังซุนพลันเหลียวหน้ามา จ้องมองดวงตาเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม จากนั้นกล่าวว่า “หรือจะเริ่มจะสำนักชิงซานของพวกเจ้าเลยดีไหม?”
เฉิงโหยวเทียนนิ่งเงียบไปครู่ เอามือขวาไพล่ไว้ด้านหลัง ไม่รู้ว่าเหตุใดศิษย์พี่เจ้าสำนักถึงยังปล่อยให้คนนี้พูดอยู่ได้
ซีหวังซุนยิ้มขึ้นมา มองดูเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักต่างๆ ก่อนจะกล่าวแสดงการดูถูกออกมาอย่างไม่ปิดบังว่า “หากบอกว่ามือสังหารคือดาบ ข้าก็คือมือที่กุมดาบนั้น ส่วนพวกเจ้าก็คือคนที่ซื้อดาบนั้น เช่นนั้นพวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตัดสินว่าข้าผิด?”
………………………………..