มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 59 ข้าคือผู้ขี่วาฬ
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตคาดเดาได้แล้วว่าสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่อยู่ในทะเลคือสิ่งใด สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นดูแย่
นั่นจะต้องเป็นสัตว์เทพประจำสำนักของสำนักกระบี่ซีไห่ —- วาฬบิน!
มิน่าถึงแม้จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่อันตรายขนาดนี้ เทพกระบี่ยังคงดูมั่นใจในตัวเองถึงเพียงนี้
ที่แท้อสูรยักษ์ตัวนี้ก็แอบซ่อนอยู่ใต้ทะเลมาโดยตลอด เตรียมพร้อมต่อสู้ทุกเมื่อ
วาฬบินที่ตัวใหญ่ราวภูเขาตัวนั้นมักจะบินอยู่เหนือทะเลใกล้ๆ เมืองไห่โจว
ในงานเลี้ยงซื่อไห่ของทุกปี มันจะพ่นน้ำทะเลให้กลายเป็นสายฝนชำระฝุ่นละออง กลายเป็นรุ้งกินน้ำต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน
ไม่มีความรู้สึกลึกลับ มิได้หมายความว่าไม่น่ากลัว
วาฬบินค่อยๆ กระพือครีบทั้งสองข้าง เกิดเป็นคลื่นสูงหลายร้อยจ้าง ซัดสาดไปบนผิวทะเล
น้ำทะเลจำนวนมหาศาลไหลบ่าลงมาจากหลังวาฬที่เรียบลื่นเป็นมันวาว กลายเป็นน้ำตกจำนวนนับไม่ถ้วน เสียงดังสนั่นราวสายฟ้า ดูช่างยิ่งใหญ่ตระการตา
วาฬบินลอยขึ้นจากผิวน้ำ ทำให้เกิดไอน้ำจำนวนมากฟุ้งกระจายขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างกายอันมโหฬารของมันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว บีบอัดอากาศออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดลมรุนแรงอันน่าหวาดกลัว
มันบินขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำทะเลประมาณสองพันจ้าง ค่อยๆ อ้าปากที่ใหญ่โตเหมือนถ้ำสีดำ เปล่งเสียงคำรามที่ทุ้มต่ำไปทางตะวันออก
ลมทะเลที่มีกลิ่นเค็มและกลิ่นคาวพุ่งเข้าไปกระแทกร่างกายศิษย์ชิงซาน หลายคนยื่นได้ไม่มั่นคง ลำแสงกระบี่ที่รายล้อมลานเมฆสั่นไหวโคลงเคลง เหมือนเรือเล็กที่อยู่ในมหาสมุทรที่คล้ายจะถูกทำลายลงได้ทุกเมื่อ
เมฆครึ้มสลายตัว แสงดาวสาดส่องลงมา ตกกระทบลงบนร่างกายสีดำขนาดใหญ่ของวาฬบิน สะท้อนประกายที่เย็นยะเยือกออกมา คล้ายกับภูเขาจริงๆ ดูแล้วใหญ่เสียยิ่งกว่าลานเมฆที่เมฆหมอกสลายตัวไปแล้วเสียอีก ทอดเป็นเงาดำขนาดยักษ์ลงบนทะเล
และเงาดำนี้ก็ปรากฏขึ้นในใจผู้บำเพ็ญพรตสำนักต่างๆ ที่ล้อมโจมตีลานเมฆอยู่ในตอนนี้ด้วย
เสียงคำรามของวาฬบินยิ่งดังสนั่นขึ้นกว่าเดิม ราวกับเสียงกัมปนาทของสายฟ้าที่ดังสะท้อนไปในทะเล ทำให้เกิดลมคุ้มคลั่ง เต็มไปด้วยความโกรธและความกระหายที่จะฆ่าฟัน
หลังจากนั้น มันพ่นน้ำทะเลจำนวนมหาศาลออกมาจากจมูกของมัน ก่อนจะตกลงมากลายเป็นพายุฝน
ท่ามกลางพายุฝน ศิษย์ชิงซานฝืนควบคุมกระบี่เอาไว้ สีหน้าคร่ำเคร่ง ดูกระวนกระวายเล็กน้อย
ศิษย์สำนักอื่นอยู่ห่างออกไป แต่กลับดูหวาดกลัวยิ่งกว่า
ศิษย์สำนักจิ้งจงคนหนึ่งตกใจเสียงคำรามของวาฬจนแทบจะเสียขวัญ ตกลงมาจากอาวุธวิเศษ หากมิเป็นเพราะถูกลำแสงกระบี่สายหนึ่งช่วยเอาไว้ เขาคงจะตกลงไปในทะเลแล้ว
หากตกลงไปในทะเลจากความสูงขนาดนี้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญพรตก็ต้องตายอย่างแน่นอน
หลายคนคิดถึงคำพูดของเทพกระบี่ซีไห่ประโยคนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะรู้สึกเข้าใจความหมายของมันมากขึ้น
จริงอยู่ที่สำนักชิงซานแข็งแกร่ง แต่ที่นี่คือนอกเมืองไห่โจว เป็นเขตแดนของสำนักกระบี่ซีไห่
สำนักกระบี่ซีไห่เอาวาฬบินมาซ่อนอยู่ในทะเลล่วงหน้า ในเวลานี้พลันปรากฏตัวขึ้นมา สร้างความตกตะลึงให้ผู้คนยิ่งนัก
วาฬบินเป็นสัตว์เทพของสำนักกระบี่ซีไห่ รูปร่างใหญ่โตดุจขุนเขา เกรงขามน่าหวาดกลัว หากว่ากันตามสภาวะ เกรงว่ามันคงอยู่ในขั้นแหวกทะเลขั้นสูงสุด เผลอๆ อีกเพียงครึ่งก้าวก็บรรลุขั้นทะลวงสวรรค์แล้ว!
เจ้าสำนักชิงซานต้องคอยดูเทพกระบี่ซีไห่เอาไว้ อย่างนั้นใครจะมารับมือวาฬบินตัวนี้?
เจ้าแห่งยอดเขาปี้หูเฉิงโหยวเทียนเพิ่งจะบรรลุขั้นแหวกทะเลเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ผู้อาวุโสอีกสามคนที่เหลือก็ล้วนอยู่ในขั้นแหวกทะเลระดับต้น
ถึงต้าเจ๋อลิ่งจะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่มีทางเป็นคู่มือของวาฬบินตัวนี้ได้แน่
อีกครึ่งก้าวจะเข้าสู่ทะลวงสวรรค์กับแหวกทะเลธรรมดานั้นแตกต่างกันอย่างมาก
ปู้ชิวเซียวยืนอยู่ในพายุฝน มองดูวาฬบินยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าตัวนั้น ในใจครุ่นคิดว่าหลังจากนี้ควรทำอย่างไรถึงจะยั่วโมโหอีกฝ่าย และทำให้มันออกไปจากตรงนี้ได้
ร่างกายของวาฬบินใหญ่ยักษ์เหมือนภูเขาสีดำ หากต่อสู้กับมันที่นี่ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ล้วนแต่ต้องสงผลกระทบต่อผู้บำเพ็ญพรตธรรมดาเหล่านั้นอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะศิษย์ที่สภาวะค่อนข้างต่ำต้อยเหล่านั้น เกรงว่าคงล้มตายกันเป็นจำนวนมากแน่
เขาได้แต่หวังว่าสัตว์เทพของสำนักกระบี่ซีไห่จะมีปัญญาไม่สูงมากนัก มิเช่นนั้นหลังจากนี้ต้องเกิดปัญหาอย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจว่าเหตุใดสำนักชิงซานถึงได้ส่งศิษย์ขั้นมิประจักษ์มามากมายขนาดนี้
เพราะการต่อสู้ครั้งนี้มิใช่การออกไปกำจัดปีศาจธรรมดาๆ ที่ศิษย์อายุน้อยจะได้เปิดหูเปิดตา ฝึกฝนใจแห่งเต๋า ซึมซับประสบการณ์
คืนนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างสำนักอย่างแท้จริง ถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างมากสำหรับศิษย์วัยเยาว์เหล่านี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ควรปรากฏตัวออกมาตั้งแต่เริ่ม
ความคิดเหล่านี้ใช้เวลาเพียงไม่นาน ปู้ชิวเซียวยืดตัวบินขึ้นมา เตรียมจะวนรอบวาฬบินตัวนั้นรอบหนึ่ง
ทันใดนั้นเอง ในใจเขาพลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองขึ้นไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน
น้ำทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนพ่นออกมาจากในรูจมูกของวาฬบิน กลายเป็นพายุฝนตกลงมา แสงดาวถูกชะจนดูจางลงไป
ทันใดนั้น
สายฝนจำนวนมากถูกตัดแยกออกกลายเป็นท่อนๆ
เส้นฝนที่โปร่งแสงแต่ละท่อนถูกพลังที่มองไม่เป็นบางอย่างทำให้เบ่งบานออก กลายเป็นเกล็ดหิมะ
พายุฝนกลายเป็นหิมะห่าใหญ่ที่ตกลงมาจากฟ้า
ภายในท้องฟ้าพลันเหน็บหนาวจนถึงขีดสุด
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตมองดูเกล็ดหิมะที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน ต่างคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก พวกเขาไม่กลัวความร้อนความหนาว แต่เหตุใดกลับรู้สึกหนาวเย็นเข้าไปถึงกระดูก
ในเกล็ดหิมะที่ตกโปรยปรายลงมามีจุดสีดำเล็กๆ จุดหนึ่ง
นั่นคือคนสวมชุดดำผู้หนึ่ง
เกล็ดหิมะตกลงมาอย่างรวดเร็ว
คนชุดดำมาอย่างรวดเร็ว ลอยตามเกล็ดหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา ขาทั้งสองข้างมีประกายสายฟ้าแลบแปลบปลาบ
หรือคนผู้นี้ออกมาจากแดนอัศนี?
คนชุดดำลอยลงมาบนหลังของวาฬบิน
เมื่อเทียบกับขนาดตัวอันมโหฬารของวาฬบินแล้ว เขาเป็นเหมือนเศษฝุ่นเม็ดเล็กๆ แต่กลับคล้ายหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าท้องนภา
วาฬบินส่งเสียงคำรามขัดขืน ก่อนจะจมลงไปด้านล่างหลายร้อยจ้าง
มันกระพือครีบทั้งสองข้าง เกิดเป็นลมพายุคุ้มคลั่งสองสาย ด้วยคิดอยากจะลอยค้างอยู่กลางอากาศ แต่มันกลับพบว่าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
มันอยากจะใช้การพลิกร่างกาย ทำให้คนชุดดำนั้นกระเด็นตกลงมา แต่ก็พบว่าไม่สามารถทำได้เช่นกัน
พายุหิมะยังคงโปรยปลิว ตกลงมารอบกายคนชุดดำ ไม่นานบนหลังวาฬก็มีหิมะจับตัวเป็นชั้น เย็นยะเยือกจนถึงที่สุด
รอบตัวคนชุดดำมีประกายสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ไหลตามขาทั้งสองข้างของเขาเข้าไปในร่างกายของวาฬบิน
ร่างกายอันใหญ่ยักษ์ของวาฬบินมีเสียงทึบๆ ดังออกมาไม่หยุด นั่นคือพลังของสายฟ้าอย่างนั้นหรือ?
ร่างกายแบกรับความหนาวเย็นที่ยากจะจินตนาการเอาไว้ ในร่างกายเต็มไปด้วยพลังที่คุ้มคลั่ง วาฬบินไม่สามารถแบกรับต่อไปได้อีก มันส่งเสียงร้องเจ็บปวด ตกลงไปในทะเล
วาฬบินเป็นสัตว์เทพของสำนักกระบี่ซีไห่ ถูกเหล่าศิษย์วัยเยาว์มองเป็นเหมือนอาจารย์ ให้ความเคารพยำเกรงอย่างมาก ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกใกล้ชิดด้วย ในเวลานี้เมื่อเห็นภาพแบบนี้ ทุกคนมองดูด้วยความตกตะลึง ในใจคิดอยากจะเข้าไปช่วย แต่กลับไม่สามารถเข้าใกล้พายุหิมะนั้นได้
เสียงตู้มดังสนั่น!
วาฬบินที่ตัวใหญ่ราวภูเขาตกลงไปในทะเล ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ขนาดมหึมา
คลื่นทะเลอันน่าหวาดกลัวกระแทกเข้าหาฝั่ง หินโสโครกแตกกระจาย ผาหินพังถล่ม แนวชายฝั่งที่ยาวเป็นร้อยลี้พังพินาศย่อยยับ
ศาลเจ้าเทพทะเลที่เก่าแก่แห่งนั้นก็พังถล่มลงมาด้วยเช่นกัน มันถูกน้ำทะเลที่สูงหลายสิบจ้างกลืนกิน ในตอนที่คลื่นถดถอยกลับไปก็ไม่มีเศษซากอะไรหลงเหลืออยู่เลย
เมืองไห่โจวเกิดแผ่นดินไหว ไม่รู้บ้านเรือนมากน้อยเท่าไรเกิดการปริแตก จากนั้นพังถล่มลงมา
คนชุดดำผู้นั้นยืนอยู่บนหลังวาฬบิน สองมือไพล่หลังมองไปทางตะวันตก ในท้องฟ้ายามค่ำคืนมีเสียงของเหล่าศิษย์ชิงซานดังขึ้นมา
“คารวะท่านกฎกระบี่”
ที่แท้คนชุดดำผู้นี้คือก็คือกฎกระบี่แห่งชิงซาน เจ้าแห่งยอดเขาซั่งเต๋อ หยวนฉีจิง
พายุหิมะค่อยๆ สงบลง ฟ้าดินกลับคืนอยู่ความสงบ
นอกจากเสียงคลื่นทะเลแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอย่างอื่นดังขึ้นมาอีก
หยวนฉีจิงทอดตามองออกไปร้อยกว่าลี้ตรงตำแหน่งที่เทพกระบี่อยู่ มิได้กล่าวกระไร
แต่สิ่งที่เขาจะพูด ทั่วทั้งแผ่นดินได้ยินไปตั้งนานแล้ว
จริงอยู่ที่สำนักชิงซานมีเพียงเท่านี้
ก็แค่ทะลวงสวรรค์สองคน
แต่ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน นอกจากสำนักจงโจวแล้วก็ไม่มีที่ไหนที่จะมีทะลวงสวรรค์ถึงสองคน
ในตอนที่สำนักชิงซานจะบดขยี้เจ้าซึ่งๆ หน้า เจ้าจะทำอย่างไรได้?
……………………………….