มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 67 แม่ เต้าหู้ยี้และวันกลับมา
“ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าประโยคนี้ของเจ้ามิได้จงใจต่อว่าข้า แต่ฟังแล้วก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร”
ซูจึเย่กล่าวกับถงเหยียนว่า “แจ้งคนของสำนักฌานเป่าทงเถอะ ที่นี่เป็นสวนผักของพวกเขา”
โลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีกฎที่เป็นที่ยอมรับกันอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือการจะตัดสินว่าของวิเศษที่ไม่มีเจ้าของที่ถูกพบชิ้นนั้นจะเป็นของใคร อันดับแรกคือดูจากสถานที่ที่พบมัน
ซูจึเย่เป็นคนของพรรคมาร ที่ผ่านมาย่อมไม่สนใจกฎเกณฑ์นี้ แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นสำนักฌาณเป่าทงก็กำลังรักษาพิษให้เขาอยู่ด้วย
เหอจานกล่าวว่า “ไม่ต้อง เพราะว่านี่ไม่อาจถือว่าข้าเก็บได้”
ซูจึเย่กล่าวว่า “เจ้าโชคดี แต่ก็ไม่อาจทำเรื่องไร้เหตุผลได้”
เหอจานหยิบเอาขวดออกมาใบหนึ่งกับถุงมืออีกข้างหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ กล่าวว่า “ตอนนี้พวกเจ้ายังคิดว่าข้าโชคดีอยู่หรือเปล่า?”
สายตาของถงเหยียนเลื่อนจากกระบี่เล่มนั้นไปยังขวดและถุงมือ หลังสำรวจอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ไม่เกี่ยวกับโชคจริงๆ ด้วย”
ไม่ว่าจะเป็นกระบี่เล่มนั้น หรือว่าขวดกับถึงมือนั้นก็ล้วนแต่ดูใหม่ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะฝังเอาไว้ไม่นาน อีกทั้งเหอจานยังสามารถหาเจอได้ง่ายๆ เช่นนี้ แสดงว่าฝังเอาไว้ไม่ลึก
เช่นนี้แล้ว นี่ต้องมิใช่ของวิเศษที่สมณะรุ่นก่อนของสำนักฌานเป่าทงแอบซ่อนเอาไว้แน่ เผลอๆ อาจจะไม่ใช่ของวิเศษที่ถูกแอบซ่อนเอาไว้ด้วยซ้ำ
มีเพียงคำอธิบายเดียว — นั่นก็คือมีบางคนจงใจเอาของเหล่านี้มาฝังไว้ในสวนผักเพื่อให้เหอจานพบมัน
ถงเหยียนเดินกลับมาที่ริมหน้าต่าง มองไปทางสวนผัก นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
ซูจึเย่นอนอยู่บนเตียง ในเวลานี้ถึงได้มองเห็นขวดและถุงมือที่อยู่บนโต๊ะ เขาเลิกคิ้วขึ้นมาพลางกล่าว “อวี้ปู้ฮวนและถูชิวตายแล้วหรือ?”
เหอจานมองดูเขา กล่าวว่า “เจ้ารู้จักของพวกนี้?”
ซูจึเย่เล่าประวัติความเป็นมาของอวี้ปู้ฮวนและถูชิวออกมารอบหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “หากข้อมูลของข้าไม่ผิดล่ะก็ พวกเขาน่าจะไปเข้ากับปู้เหล่าหลินตั้งนานแล้ว”
เหอเจอสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ที่แท้ก็เกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานนี้”
ถงเหยียนหมุนตัวกลับมาแล้วกล่าวว่า “ข้าบอกแล้ว กระบี่เล่มนี้จะเป็นปัญหายุ่งยาก”
สายตาของเหอจานและซูจึเย่มองไปยังกระบี่เล่มนั้น
ขวดรกร้างและถุงมือเพชรเป็นของวิเศษที่มีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่พรรคมารบนเขาเหลิ่งซาน แต่เห็นได้ชัดว่าระดับของกระบี่เล่มนี้สูงกว่าของวิเศษสองชิ้นนั้นมากนัก หากของวิเศษทั้งสามชิ้นนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากการที่สำนักฝ่ายธรรมะกวาดล้างปู้เหล่าหลินเมื่อคืนนี้ เหตุใดมันจึงมาปรากฏอยู่ในสวนผักของสำนักฌานเป่าทง จากนั้นก็ถูกเหอจานพบเข้าง่ายๆ?
“เมื่อกี้ข้าบอกแล้ว นับวันข้ายิ่งรู้สึกว่าโชคดีของข้านั้นมิใช่เรื่องดี นอกจากเหตุผลที่ข้าเคยบอกนั่นแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือข้ารู้สึกว่านี่มิใช่โชค”
เหอจานกล่าว “เพราะโลกนี้ไม่มีทางที่จะมีคนที่โชคดีขนาดนี้อยู่ได้ คนแบบนี้ควรจะถูกฟ้าผ่าตายไปนานแล้ว”
ซูจึเย่กล่าว “ถึงแม้หลายปีมานี้ข้าจะคิดเช่นนี้ แต่เจ้าจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีนี้อย่างไร”
เหอจานกล่าว “ข้ารู้สึกว่ามีคนคอยแอบจับตามองข้าอยู่ เวลาข้าต้องการอะไรเขาก็จะหามาให้ เหมือนอย่างวันนี้”
ซูจึเย่หัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีนะ”
เหอจานยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “แต่เจ้าไม่รู้ว่าคนผู้นั้นคือใคร เจ้าไม่รู้ว่าเขาคิดอยากจะทำอะไรกันแน่ ถ้าเกิดวันหนึ่งมีคนผู้หนึ่งก้าวออกมาแล้วบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของข้าล้วนแต่เป็นเขาที่เอามาให้ และเขาอยากจะได้ทุกอย่างคืนจากข้า หรือขอให้ข้าไปทำเรื่องอะไรบางอย่างที่ข้าไม่มีทางทำได้ เช่นนั้นข้าจะทำอย่างไร? ดังนั้นหลายปีนี้ข้าจึงหลบหนีอยู่ตลอดเวลา ข้าไม่ยอมเข้าร่วมการประลองวิถีพรตอีก แล้วก็ไม่ติดต่อกับสำนักบำเพ็ญพรตเหล่านั้น วันๆ เอาแต่เที่ยวไปเรื่อย ก็ด้วยกลัวว่าจู่ๆ คนผู้นั้นจะปรากฏขึ้นมาตรงหน้าข้า”
ถงเหยียนหมุนตัวกลับมา มองเขาพลางกล่าว “ข้าว่าเจ้าคิดมากไปแล้ว”
เหอจานงุนงง กล่าวว่า “เพราะเหตุใด?”
ถงเหยียนกล่าว “ไม่มีคนวางแผนชั่วคนไหนจะโง่ขนาดไหน นอกจากนี้ ของวิเศษที่เจ้าเก็บได้พวกนี้ล้วนแต่เป็นของดี ส่วนพรสวรรค์ของเจ้าถึงแม้จะไม่เลว แต่ก็ไม่อาจถือว่าโดดเด่นมากนัก”
เหอจานกล่าวว่า “ไม่เข้าใจ พูดตรงๆ หน่อย”
ถงเหยียนกล่าว “เจ้าไม่คู่ควร”
เหอจานโมโหขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “อย่างนั้นเจ้าจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับข้าในช่วงหลายปีนี้อย่างไร? หรือเป็นไปไม่ได้ที่จะผู้อาวุโสบางคนที่ชื่นชมในพรสวรรค์ของข้า จึงแอบเลี้ยงดูฟูมฟักข้าอย่างลับๆ?”
ถงเหยียนกล่าว “นอกเสียจากคนผู้นั้นจะเป็นแม่ของเจ้า”
เหอจานโบกมือ ไม่อยากคุยกับเขาอีก
ถงเหยียนพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจากผลประโยชน์ที่เจ้าได้รับมาในช่วงหลายปีมานี้ แม่ของเจ้าจะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน อย่างเช่นอาจารย์ของข้า”
เหอจานครุ่นคิด รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงชี้ไปยังของที่อยู่บนโต๊ะพลางกล่าว “แล้วของพวกนี้จะทำอย่างไร?”
ซูจึเย่ขยับพิงตรงหัวเตียงพลางกล่าว “หากเจ้าไม่รังเกียจ เช่นนั้นพวกเราก็แบ่งกัน”
ถงเหยียนกล่าว “ข้าเอาถุงมือ”
เหอจานกล่าวเยาะเย้ย “เจ้าร่างกายบอบบาง เอาอันนี้ไปถือว่าเหมาะทีเดียว แล้วเจ้าล่ะ?”
ซูจึเย่กล่าว “ขวดรกร้างเป็นของล้ำค่าของสำนักเสวี่ยหมัว มีความชั่วร้าย พวกเจ้าใช้ไม่ได้ ดังนั้นย่อมต้องเป็นของข้า”
“พวกเจ้าเกรงใจขนาดนี้ อย่างนั้นข้าไม่เกรงใจล่ะ”
เหอจานเก็บกระบี่เล่มนั้นขึ้นมา จากนั้นเริ่มต้มโจ๊ก
โจ๊กส่งเสียงปุดๆ อยู่ในหม้อดินเผา ต้องใช้เวลาอีกครู่ใหญ่ถึงจะเสร็จเรียบร้อย
เหอจานหยิบเอากระบี่ออกมา ก่อนจะนั่งลงริมหน้าต่างมองดูแสงอาทิตย์อยู่นาน จากนั้นกล่าวว่า “เจ้าชื่อว่าอะไร? เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
ต่อให้เป็นกระบี่ที่มีสติปัญญาก็ไม่มีทางที่จะตอบคำถามเขาได้
คนที่ตอบคำถามนี้คือถงเหยียน เขามองดูกระดานหมากล้อมพลางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “มันมีชื่อว่ากระบี่พรหมจรรย์ ถูกคนเอามามอบให้ถึงมือเจ้า”
เหอจานตกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าเชื่อการวิเคราะห์ของข้า?”
ถงเหยียนกล่าว “เรื่องนี้มีปัญหาอยู่แน่นอน”
เหอจานกล่าว “อย่างนั้นเมื่อครู๋นี้เจ้าหัวเราะเยาะข้าทำไม”
“มิใช่หัวเราะเยาะ แต่หากการคาดเดาของเจ้าถูกต้อง ผลมันก็จะออกมาเป็นอย่างที่ข้าอนุมานเอาไว้”
ถงเหยียนเงยหน้าขึ้นมามองเขาพลางกล่าว “คนผู้นั้นคือแม่ของเจ้า แม่ของเจ้าเป็นคนสำคัญของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต”
เหอจานผายมือ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
ถงเหยียนกล่าวว่า “เมื่อคืนบนลานเมฆจะต้องมีคนตายเป็นจำนวนมากแน่ ของวิเศษจำนวนมากจะหายไป เดี๋ยวรอดูกันว่าแม่ของเจ้ายังจะเอาอะไรมาให้เจ้าอีก”
เหอจานทำสีหน้าคร่ำเคร่ง พลางกล่าวว่า “ข้าหวังว่านางจะเอาเต้าหู้ยี้มาให้ข้าสักไห เอารสเผ็ด”
ซูจึเย่ที่อยู่บนเตียงกล่าวว่า “อันนี้ไม่เลว ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เหตุใดพวกพระถึงคิดว่าเต้าหู้ยี้เป็นเนื้อ ในนั้นมันไม่มีเนื้อสักหน่อย”
ในคืนวันเดียวกันนั้น
ผู้ที่ถูกสงสัยว่าเป็นมารดาของเหอจานส่งของมาให้อีกจริงๆ แต่พวกเขาไม่รู้ว่านี่ถือเป็นของล้ำค่าได้หรือไม่
จากระดับความล้ำค่าแล้วน่าจะถือว่าใช่ แต่ปัญหาคือนั่นเป็นคนคนหนึ่ง
เหอจานมองดูถงหลูที่นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ในสวนผัก ในใจรู้สึกสับสน ก่อนจะหันไปมองถงเหยียนพลางผายมือถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?”
……
……
สำนักปัญญาชนไป๋ลู่ถูกไฟลุกไหม้หนึ่งวันหนึ่งคืน
เรือนที่เคยเต็มไปด้วยเสียงท่องตำรากลายเป็นเศษซาก ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นควันไฟ กระทั่งหน้าผาก็ยังถูกเผาจนกลายเป็นสีดำ
เผยไป๋ฟ่ายืนอยู่หน้าเศษซากสำนัก ก้มหน้าหลับตา รับรู้ถึงอุณหภูมิความร้อนที่ยังหลงเหลืออยู่ บนใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก
ผู้อาวุโสของสำนักอู๋เอินเหมินคนหนึ่งรายงาน “ซากศพทั้งหมดได้ทำการตรวจสอบหมดแล้ว ไม่มีเทียนจิ้นเหรินขอรับ”
เผยไป๋ฟ่ากล่าวเสียงเบาๆ “ข้าจะไปข้างนอกสักพัก หลังพวกเจ้ากลับไปแล้ว ปิดเขาเทียนโซ่วซะ”
ศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินตกใจ
หลายปีมานี้เนื่องเพราะถูกสำนักกระบี่ซีไห่กดขี่ข่มเหง สถานะของสำนักอู๋เอินเหมินในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตจึงตกต่ำลงทุกวัน กระทั่งอันดับในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยก็ยังตกลงจากเดิม วันนี้เจ้าสำนักออกมาจากการเก็บตัว ซีหวังซุนถูกกำจัด ลานเมฆถูกทำลาย สำนักกระบี่ซีไห่ถูกขับไล่ออกไปจากแผ่นดิน นี่เป็นโอกาสอันดีที่สำนักอู๋เอินเหมินจะได้ฟื้นตัวขยายความยิ่งใหญ่ เหตุใดถึงยังปิดภูเขาอีก?
แม้นจะมีหลายคำถามที่ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของเจ้าสำนัก
เช่นเดียวกัน ไม่มีใครกล้าถามเหตุผลและถามว่าเจ้าสำนักจะไปที่ใด
พวกเขากล้าถามเพียงแต่วันที่จะกลับมา
ผู้อาวุโสคนนั้นถามว่า “ศิษย์พี่จะกลับมาเมื่อใดขอรับ?”
เผยไป๋ฟ่ากล่าว “เมื่อไรที่ข้าจะกลับ พวกเจ้าจะรู้เอง”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็เหยียบกระบี่บินออกไปทางทิศตะวันตก
เมื่อเห็นลำแสงกระบี่สายนั้นหายลับไปในท้องฟ้ายามเย็น ศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินจึงทำการคารวะ ในใจรู้ว่าเจ้าสำนักจะต้องไปทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่จนสั่นสะเทือนทั้งใต้หล้าอย่างแน่นอน
………………………