มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 68 แม่เล็กมาแล้วหรือ
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดลงมา ป่าเจดีย์ที่อยู่ในส่วนลึกของสำนักฌานเป่าทงส่องประกายระยิบระยับราวอัญมณีสีขาว สวนผักตรงตีนเขายังคงเงียบสงบ
ถงหลูลืมตาตื่นขึ้นมา มองดูกำแพงที่มืดสลัว ได้กลิ่นน้ำมันผักที่ลอยอยู่ในอากาศ รู้สึกสับสนเล็กน้อย
เขาใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้สติขึ้นมาจริงๆ พอจะเข้าในสถานการณ์ในตอนนี้ จากนั้นยันกายลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก
ทันใดนั้นเขาพลันเห็นคนประหลาดคนหนึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตน ใบหน้าเป็นสีเขียว สายตาเย็นชาเป็นยิ่งนัก
คนประหลาดผู้นั้นย่อมต้องเป็นซูจึเย่
ซูจึเย่และถงหลูนั่งอยู่กันคนละฝั่งของหัวเตียง ทั่งคู่สบตากันเงียบๆ บรรยากาศดูแปลกประหลาด
สีหน้าของถงหลูพลันแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด
เขาเตรียมจะเรียกกระบี่ออกมาสังหารอีกฝ่าย แต่กลับทำไม่สำเร็จ
จากนั้นเขาถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่ากระบี่ของตนหักไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
“เจ้ารู้จักข้า?”
ซูจึเย่รับรู้ได้ถึงจิตสังหารของเขา
ถงหลูกล่าว “อาศัยเพียงใบหน้าก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นใคร ทั่งทั้งแผ่นดินเฉาเทียนมีแค่พวกเจ้าสองคนเท่านั้น”
ซูจึเย่ถือกำเนิดขึ้นมาจากหน่อมาร พิษซากศพเข้าสู่ร่างกาย ใบหน้าเป็นสีเขียว ย่อมต้องจดจำได้ง่าย เขารู้ในเรื่องนี้ แต่อีกคนนั้นเป็นใคร?
“อีกคนก็คือจิ๋งจิ่ว”
เหอจานเดินเข้ามาจากด้านนอกห้อง
ซูจึเย่ถาม “เพราะเหตุใด?”
เหอจานยกมือขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าพลางกล่าว “เพราะเขาหน้าตาหล่อเหลา เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ?”
ซูจึเย่ตกตะลึง เขาเคยได้ยินข่าวลือของจิ๋งจิ่วมา นึกว่าเป็นการกล่าวเกินจริง แต่ตอนนี้ดูแล้ว หรือว่ามันจะเรื่องจริง?
เหอจานกล่าวกับถงหลูว่า “พวกเจ้าสองคนอย่าสู้กัน ในห้องมีเตียงให้พวกเจ้าที่เป็นคนป่วยอยู่เตียงเดียว ถ้าเตียงพังจะทำอย่างไร?”
ถงหลูมองเขา กล่าวว่า “เจ้าอธิบายสถานการณ์ตอนนี้หน่อยดีไหม?”
เหอจานผายมือ กล่าวว่า “อย่าถามข้าเลย ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามาได้อย่างไร สถานการณ์ตอนนี้ก็แปลกประหลาดอย่างที่เห็นนี่แหละ”
เขาคิดว่าตัวเองน่าสงสาร สองวันมานี้ไม่รู้ผายมือมาแล้วกี่ครั้ง?
“ก่อนเจ้าสลบไป เจ้าจำอะไรได้ไหม?”
เสียงที่ฟังดูเย็นชาแต่แฝงเอาไว้ด้วยความหยิ่งทะนงเสียงหนึ่งดังขึ้น
ทั้งสามคนหันไป ก่อนจะพบว่าถงเหยียนนั่งเล่นหมากล้อมอยู่ริมหน้าต่างมาโดยตลอด
ตั้งแต่ต้นถงเหยียนมิได้กล่าวอะไร มิได้ส่งเสียง แต่กลับทำให้คนหลงลืมไปว่าเขาเองก็อยู่ในห้องนี้ด้วย
ถงหลูตกใจเป็นอย่างมาก เขาคิดไม่ถึงว่าถงเหยียนจะอยู่ที่นี่ด้วย จากนั้นจึงเริ่มครุ่นคิดถึงคำถามของเขา
ในคืนก่อน ด้านนอกเมืองไห่โจวเกิดความวุ่นวาย ลำแสงกระบี่บินฉวัดเฉวียน ทุกที่เต็มไปด้วยอันตราย
ตอนนั้นจิตใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลายครั้งเกือบได้รับบาดเจ็บ ต้องอาศัยสัญชาติญาณจึงหนีรอดออกมาได้
จนกระทั่งในช่วงเวลาหนึ่ง ไม่รู้เป็นเพราะอาการบาดเจ็บกำเริบหรือว่าโมโหจนหายใจไม่ทัน ภาพเบื้องหน้าเขากลายเป็นสีดำ จากนั้นสลบไป
ก่อนที่จะสลบไป เขาจำได้เพียงแต่ว่าในท้องฟ้ายามค่ำคืนเต็มไปด้วยลำแสงกระบี่ตกลงมาราวพายุฝน
จากนั้น นอกเมืองไห่โจวก็มีพายุฝนโหมกระหน่ำลงมาจริงๆ
ลานเมฆที่แตกออกอยู่ในพายุฝน จากนั้นร่วงตกลงไปในน้ำทะเล
ถงหลูนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เขามองถงเหยียนพลางกล่าว “เช่นนั้นเจ้าก็รู้เรื่องเหล่านี้หมดแล้ว?”
ถงเหยียนกล่าว “ข้าสงสัยซีไห่มาโดยตลอด แผนการครั้งนี้เป็นคำแนะนำของข้า”
ถงหลูโกรธอย่างมาก จ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าวถามว่า “ดังนั้นพวกเจ้าเลยปิดบังข้า?”
คืนก่อนในตอนที่เผชิญหน้ากับกั้วหนานซาน เขาก็เคยถามคำถามนี้ออกไปแล้ว
กั้วหนานซานบอกว่าเพราะเขาเป็นศิษย์ของสำนักซีไห่ จึงต้องปิดบังเขา อีกทั้งสิ่งที่พวกเขาต้องการกำจัดคือปู้เหล่าหลิน มิใช่สำนักกระบี่ซีไห่
นิสัยของถงเหยียนไม่เหมือนกับกั้วหนานซาน คำตอบของเขาก็ย่อมต้องไม่เหมือนกัน คำตอบของถงเหยียนตรงไปตรงมามากกว่า แล้วก็มีความเฉียบคมมากกว่า
คล้ายกับวิถีหมากล้อมของเขาที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
“สำนักกระบี่ซีไห่ก็คือปู้เหล่านั้น เช่นนั้นหากเจ้าเป็นข้า เจ้าจะพูดไหม?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ถงหลูก็เงียบไปครู่ใหญ่อีกครั้ง เขามองเหอจานพลางกล่าวถามเสียงเบาๆ “ที่นี่คือที่ไหน?”
เหอจานผายมืออีกครั้ง กล่าวว่า “ที่นี่คือมีสำนักฌานเป่าทงที่มีแต่ผัก เต้าหู้และข้าวกล้อง กระทั่งเต้าหู้ยี้รสเผ็ดก็ยังไม่มี”
ถงหลูรู้สึกประหลาดใจ กล่าวถามว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เหอจานชี้ไปยังซูจึเย่ที่อยู่บนเตียงพลางกล่าว “เขาถูกมือสังหารของปู้เหล่าหลินวางยาในเมืองอี้โจว มีแต่ที่นี่ที่รักษาได้”
ถงหลูยิ้มเยาะกล่าวว่า “ข้าจะเข้าใจได้ไหมว่าพวกเจ้าจับมือกับมารชั่วนี่มาโดยตลอด?”
ในช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้ พรรคมารเสื่อมถอย พวกมารแก่เหล่านั้นได้หายสาบสูญไป นายน้อยของสำนักเสวียนอินเรียกได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญพรตพรรคมารที่มีชื่อเสียงมากที่สุด
ซูจึเย่ได้ยินเขากล่าวเย้ยหยัน จึงกล่าวว่า “สถานะของเจ้าในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างกับข้านัก ทางที่ดีทำความคุ้นเคยเสียดีกว่า”
ถงเหยียนกล่าวกับถงหลูว่า “ใครกันแน่ที่เอาเจ้ามาโยนไว้ที่นี่?”
เหอจานรู้สึกตื่นเต้น หากถงหลูจดจำเรื่องราวบางอย่างได้บ้าง ปัญหาที่กวนใจเขามาเป็นเวลาหลายปีอาจจะได้รับคำตอบเสียที
ถงหลูส่ายศีรษะ เขาจำเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสุดท้ายในคืนนั้นไม่ได้จริงๆ
ถงเหยียนมองเหอจานพลางกล่าว “ไม่ต้องรีบ อีกฝ่ายส่งของมาต่อเนื่อง ดูค่อนข้างรีบร้อน น่าจะยังไปไหนไม่ได้ไกล”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านนอกห้อง
“ข้าคิดมาตลอดว่าศิลปะทั้งสี่นั้นไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ตอนนี้ดูแล้ว เหมือนการเล่นหมากล้อมจะทำให้คนฉลาดขึ้นมาได้จริงๆ”
ดรุณีในชุดขาวนางหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง วันนี้นางมิได้มีผ้าแพรปิดหน้า ใบหน้าที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษนั้นกระจ่างใสเป็นอย่างมากเมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์
เหอจานและถงหลูตกใจเป็นยิ่งนัก กระทั่งถงเหยียนก็ยังรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ศิษย์น้องกั้วตง?”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ สายตาของซูจึเย่พลันคร่ำเคร่งขึ้นมา ที่แท้เด็กสาวในชุดสีขาวผู้นี้คือกั้วตงแห่งสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย ได้ยินว่านางเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเหลียนซานเยวี่ย เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่สำนักฌานเป่าทง แล้วมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พวกเขาคุยกันเมื่อครู่นี้อย่างไร?
กั้วตงกล่าวว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ชินไหม?”
ถงเหยียนไม่ได้ตอบคำถามนี้ เขาเพียงแต่มองดูนางอย่างเงียบๆ ราวกับจะมองให้ทะลุใบหน้าที่ดูธรรมดานั้นลงไปว่าแอบซ่อนอะไรเอาไว้อยู่
เหอจานกล่าวด้วยสีหน้าสับสนว่า “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?”
กั้วตงกล่าว “สำนักฌานเป่าทงและสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยของข้าอยู่ในสายสืบทอดเดียวกัน”
ถงเหยียนพลันพูดขึ้นมา “ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังอยู่ใกล้เมืองอี้โจว ถ้าอยากจะรักษาพิษ ก็ต้องมาที่นี่”
กั้วตงกล่าว “เจ้าฉลาดจริงๆ ข้าดูคนไม่ผิดจริงๆ ด้วย”
ถงเหยียนเลิกคิ้วขึ้นมา
น้ำเสียงแบบนี้คล้ายว่านางอยู่ในระดับที่สูงกว่าตน ราวกับผู้อาวุโสกับกับวิจารณ์ผู้น้อยอยู่
ในอดีตนอกจากอาจารย์ทั้งสองท่านแล้วก็มีเพียงจิ๋งจิ่วเท่านั้นที่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับเขา
คิ้วของซูจึเย่ขมวดขึ้นมามากกว่า
ในอดีตหากเขาได้เจอกับศิษย์ของสำนักฝ่ายธรรมะ อีกฝ่ายมักจะลงมือสังหารตนโดยไม่แม้แต่จะติด เหมือนอย่างถงหลูเมื่อครู่นี้ หรือไม่ก็เป็นเขาที่สังหารอีกฝ่าย
หลังดรุณีชุดขาวผู้นี้เข้ามาในห้อง นางไม่แม้กระทั่งจะเหลือบมองเขาด้วยซ้ำ ความรู้สึกแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกไม่ชินเสียยิ่งกว่าความรู้สึกเป็นศัตรูเสียอีก
ในเวลานี้เหอจานได้สติขึ้นมา เขากล่าวถามว่า “เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
กั้วตงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเจ้าคาดเดามาโดยตลอดไม่ใช่หรือว่าคนผู้นั้นคือใคร?”
ภายในห้องเงียบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
แสงอาทิตย์สาดลงมาบนกระดานหมากล้อม คล้ายว่าเสียงด้วย
ซูจึเย่ยิ้มเยาะ “เจ้าบำเพ็ญพรตมาแค่สิบกว่าปี แล้วจะไปเป็นคนที่เหอจานตามหาได้อย่างไร?”
เขาเป็นหน่อมารแต่กำเนิด การรับรู้ต่อการเคลื่อนไหวของพลังชีวิตของผู้บำเพ็ญพรตนั้นมีความเฉียบคมเป็นอย่างมาก สามารถวิเคราะห์ระดับสภาวะและระยะเวลาในการบำเพ็ญเพียรได้อย่างแม่นยำ
เหอจานรู้ถึงความสามารถของเพื่อนคนนี้ดี ในใจครุ่นคิดว่าในเมื่อศิษย์น้องกั้วตงยังอายุน้อย แล้วจะเป็นแม่ของตนได้อย่างไร อย่างมากก็เป็นได้แค่แม่เล็ก[1]
กั้วตงพลันกล่าวกับเขาว่า “ผ้าที่อยู่ด้านล่างก้อนหินในลำธารด้านหลังสำนักชีผืนนั้น เจ้ายังไม่เคยใช้สินะ?”
………………………………………………………
[1]แม่เล็ก หมายถึง เมียน้อย