มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 72 จับปลา (2)
อินซานมิได้พยายามที่จะหลบปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอิน หากแต่เปิดกล่องใบนั้นออกตรงหน้าเขา
ภายในกล่องมีบันทึกหยกอยู่ บนบันทึกเขียนชื่อบางชื่อเอาไว้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ชื่อเหล่านั้นยังคงเป็นสีแดงอยู่ เป็นเพราะมิได้ใช้ชาดเขียน หากแต่เป็นเลือด
ปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอินสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
รายชื่อที่ใช้เลือดเขียนอยู่บนบันทึกหยกเหล่านี้ย่อมมิใช่รายชื่อผู้ว่าจ้างของปู้เหล่าหลิน หากแต่เป็นรายชื่อสมาชิก
เจี้ยนซีไหลไม่มีบันทึกหยก ต่อให้รู้จักรายชื่อเหล่านี้ก็ไม่สามารถใช้พวกเขาได้
คนเหล่านี้คือใคร?
……
……
ยอดเขาซีไหลของชิงซาน
ศิษย์จำนวนมากยากจะสะกดความรู้สึกตื่นเต้นลงได้ พวกเขาแทบจะไม่มีใจมานั่งจัดม้วนเอกสาร คอยแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้านนอกยอดเขาอยู่เป็นระยะ
เหล่าศิษย์พี่ที่เดินทางไปยังทะเลตะวันตกกำลังจะกลับมา เมื่อคิดถึงข่าวที่สะเทือนแผ่นดินข่าวนั้น จะไม่ให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นได้อย่างไร?
ฟางจิ่งเทียนเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านบนสุด ยกกาน้ำชา มองดูภาพเหล่านี้ด้วยรอยยิ้ม มิได้รู้สึกโกรธ คิ้วสีเงินปลิวไสวตามสายลม ดูผ่อนคลายเป็นยิ่งนัก คล้ายกับเศรษฐีที่อยู่ในชนบท
……
……
ห่างจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยออกไปสิบกว่าลี้
ผ้ากาสาวพัสตร์ผืนนั้นค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากในหลุมอันมืดมิด พลิ้วไหวแผ่วเบา จากนั้นแตกสลาย กลายเป็นตัวอักษรที่เปล่งแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วน ลอยกลับเข้ามาในร่างกายของสมณะ
สำนักฝ่ายธรรมะล้อมโจมตีปู้เหล่าหลิน นี่เป็นเรื่องใหญ่ของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ดังนั้นย่อมต้องมีการเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี
ก่อนที่สำนักชิงซานจะพาต้าเจ๋อและสำนักอื่นๆ ไปยังทะเลตะวันตก เจ้าอาวาสวัดกั่วเฉิงและไต้ซือตู้ไห่ซึ่งเป็นหัวหน้าอารามหลี่ว์ถังได้พาสมณะสิบแปดรูปเดินทางมาที่นี่ สะกดไอพลังของเผ่าหมิงเอาไว้ ในที่สุดวันนี้ก็ถึงเวลาจากลา
เจ้าอาวาสวัดกั่วเฉิงคารวะเกี้ยวเล็กผ้าม่านสีเขียวที่อยู่ในท้องฟ้า พลางกล่าวอมิตาพุทธ
……
……
เขาเหลิ่งซาน
เหอเว่ยเจ้าสำนักคุนหลุนยืนอยู่ตรงด้านนอกปากทางเข้าหุบเขามาหลายวันแล้ว
ห่างออกไปไม่ไกลยังมีซากเถ้าถ่านหลงเหลืออยู่ นั่นคือซากศพของซ่งเชียนจี
แสงสว่างบริสุทธิ์ภายในท้องฟ้าสายนั้นได้หายไป เจ้าสำนักจงโจวจากไปแล้ว
เหอเว่ยเตรียมจากไป ทันใดนั้นพลันรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ เขาหมุนตัวมองเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาอีกครั้ง รู้สึกว่าในนั้นคล้ายมีจิตชั่วร้ายสายหนึ่งแผ่ออกมา
……
……
หินโสโครกตรงทะเลตะวันตก
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินถอนใจออกมา “กำลังของสำนักกระบี่ซีไห่เสียหายไปกว่าครึ่ง สำนักชิงซานไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก อีกทั้งได้อำนาจควบคุมปู้เหล่าหลินกลับมาอีกครั้ง…..เจ้าแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ไปทะเลใต้พูดไม่กี่คำ ผลประโยชน์เหล่านี้ก็กลับมาเป็นของเจ้าแล้ว นักพรต เจ้านี่ล้ำลึกราวเทพเซียนจริงๆ”
อินซานโบกมือ “ที่ไหนกัน ข้าก็แค่ถนัดเรื่องฉกฉวยประโยชน์ในตอนที่ศัตรูกำลังวุ่นวายเท่านั้น”
“แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องที่เจ้าทำจะต้องมิได้มีเพียงเท่านี้แน่”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมองเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม จากนั้นกล่าวว่า “ซีหวังซุนให้ความสำคัญต่อหลิ่วสือซุ่ย เขาก็มีเหตุผลของเขา แต่เจ้าล่ะ?”
อินซานนิ่งเงียบไปครู่ จู่ๆ พลันยิ้มขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า “เจ้าว่ารอยยิ้มข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินชูนิ้วโป้ง กล่าวชมเชยว่า “บริสุทธิ์ เป็นมิตร ใครจะมองออกบ้างว่าเจ้าเป็นคนบ้าคนหนึ่ง?”
อินซานกล่าว “เจ้าไม่คิดว่าหลิ่วสือซุ่ยเหมือนข้าหรือ?”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไร
อินซานมองไปยังโขดหินที่อยู่บนผิวทะเล รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ หายไป
โขดหินที่อยู่ในสายตาของเขาเหล่านั้นค่อยๆ ลอยขึ้นมา ออกไปจากผิวทะเล ถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง บินกลับไปบนท้องฟ้าใหม่อีกครั้ง รวมตัวเข้าด้วยกัน กลายเป็นภูเขาลอยฟ้าลูกนั้น จากนั้นถูกเมฆหมอกห่อหุ้มเอาไว้อีกครั้ง
ในส่วนลึกของเมฆหมอก ปลายสุดของถ้ำมีห้องที่เงียบสงบอยู่ห้องหนึ่ง หน้าต่างหันออกหาทะเล
หลิ่วสือซุ่ยยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองดูทะเลที่มืดมิวราวน้ำหมึกอย่างเงียบๆ ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วอ่านม้วนเอกสารเหล่านั้นต่อ สีหน้ามีสมาธิและตั้งใจ มองไม่เห็นถึงความหงุดหงิดแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ
อินซานมองไปทางนั้นอย่างเงียบๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยภาพตัวเองในวัยเด็ก
……
……
ยอดเขาเสินม่อ
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ริมผา
เขามองไปทางยอดเขาซั่งเต๋อที่อยู่ห่างออกไปอย่างเงียบๆ ในดวงตาไม่มีภาพตัวเองในวัยเด็ก
ตัวเขาในตอนนี้มิได้มีอะไรเปลี่ยนไปจากอดีต ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องหวนคิดถึงอะไร แล้วก็ไม่มีความรู้สึกทอดถอนใจ
เพียงแต่เรื่องที่เขาคิดอยู่ในตอนนี้มีความเกี่ยวข้องกับยอดเขาซั่งเต๋อ
ตอนนั้นใครกันแน่ที่เป็นคนปล่อยศิษย์พี่ออกไปจากคุกกระบี่?
เจ้าสำนัก หยวนฉีจิง ฟางจิ่งเทียน หรือว่า…ซือโก่ว?
ตอนที่อยู่ในหมู่บ้าน เขาทำการคาดการณ์หลายครั้ง ทำการหยั่งเชิงไปสองครั้ง แต่กลับไม่มีคำตอบ
เพราะผลลัพธ์ที่ได้จากการหยั่งเชิงนั้นออกมาดี และตามหลักแล้ว คำตอบเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคำตอบที่ไม่ถูกต้อง
หลังจากศิษย์พี่หนีออกไปจากชิงซาน จู่ๆ ซีหวังซุนจึงปรากฏตัวขึ้นที่ทะเลตะวันตก ทั้งสองเรื่องนี้มันมีความสัมพันธ์อะไรกันหรือเปล่า?
เขาพลันคิดถึงกุ่ยมู่หลิงที่อยู่ใต้แม่น้ำจั๋วตัวนั้น สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเฉียบคมขึ้นมา
ใช่ ตอนนั้นเขาก็คิดถึงปัญหานี้ หากปู้เหล่าหลินร่วมมือกับเผ่าหมิงจริงๆ เหตุใดศิษย์อันดับสามของหมิงซือถึงต้องสังหารเว่ยเฉิงจึของสำนักจงโจวเพื่อปิดปากด้วย?
ที่แท้ เป็นศิษย์พี่
หลิ่วสือซุ่ยเข้าร่วมปู้เหล่าหลิน
ปู้เหล่าหลินลอบสังหารเจ้าล่าเยวี่ย
แรงกระตุ้นและหลักฐานในการทำลายปู้เหล่าหลินล้วนแต่มีพร้อม
เพียงแต่ศิษย์พี่น่าจะคิดไม่ถึงว่าลั่วไหวหนานจะตาย นี่เท่ากับเป็นการเติมไฟลงไปบนฟืนที่เขาวางกองเอาไว้เรียบร้อย
เหตุใดศิษย์พี่ต้องทำเรื่องเหล่านี้?
ย่อมมิใช่เป็นเพราะว่าเขาอยากจะคืนความสงบให้โลกนี้
ใช่แล้ว ศิษย์พี่เกลียดตาแก่ที่อยู่บนเกาะหมอกในทะเลทางใต้อย่างมาก คิดอยากจะสังหารเขามานานแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่มีวิธี
เช่นนั้นก็มีเหตุผลที่เขาจะจัดการสำนักกระบี่ซีไห่แล้ว
ยังมีเหตุผลอะไรอีก?
เพราะเขาคิดว่าหลิ่วสือซุ่ยเหมือนตัวเอง เลยถือโอกาสช่วยนิดหน่อย?
จิ๋งจิ่วไม่คิดถึงปัญหาเหล่านี้อีก
เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนได้ประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่สุด เขารู้เพียงว่าน้ำยิ่งขุ่นก็ยิ่งจับปลาได้ง่าย แต่ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดเรื่องได้ง่ายเช่นกัน
ดังนั้นภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาไม่มีทางที่จะลงไปในน้ำ
เมื่อไม่มีผลดี ก็จะไม่มีผลเสีย
ชิงซานไม่เกิดเรื่องอะไรก็ดี
ยังคงเป็นคำพูดในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยประโยคนั้น
ที่เขายินดีเสียเวลาและกำลังมาครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ มิใช่เพราะว่ามันคือความรู้สึกรับผิดชอบและหน้าที่ หากแต่เป็นเพราะเหตุผลง่ายๆ เพียงเหตุผลเดียว
นี่คือชิงซานของเขา
เจ้าล่าเยวี่ย กู้ชิงและหยวนฉวี่ยืนอยู่ข้างกายเขา มองออกไปด้านนอกยอดเขา
ลำแสงกระบี่สองร้อยกว่าสายปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ไม่นานก็มาถึงยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน
ศิษย์ชิงซานกลับมาแล้ว
ภารกิจจัดการปู้เหล่าหลินเสร็จสิ้น
กู้ชิงกล่าวเสียงเบาๆ “มีข่าวแจ้งกลับมา หลิ่วสือซุ่ยมิได้กลับมาด้วย ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไร หากแต่ยื่นมือขวาออกมา
เจ้าล่าเยวี่ยเรียกกระบี่มิคำนึงออกมา
จิ๋งจิ่วยื่นนิ้วมือข้างขวาสองนิ้วประกบกัน ร่ายเคล็ดกระบี่
กระบี่มิคำนึงแหวกอากาศออกไป แปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้งสีแดง แค่เพียงพริบตาก็หายไปในท้องฟ้า
หลายวันก่อนกระบี่มิคำนึงเพิ่งจะไปทางด้านนั้นมา ยังจดจำเส้นทางได้ชัดเจน จึงไม่จำเป็นต้องแบ่งจิตจำแนกแห่งกระบี่ไปคอยนำทาง จิ๋งจิ่วจึงเบาแรงขึ้นมาก
หยวนฉวี่มองดูลำแสงกระบี่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในท้องฟ้า ก่อนจะถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “ในคืนนั้นข้าไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าต้องบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์ก่อน จึงจะใช้กระบี่ท่องทะยานหมื่นลี้ได้หรอกหรือ?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่ว พลางกล่าวว่า “กระบี่ท่องทะยานมิใช่กระบี่สังหาร เป้าหมายถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้า เพียงแค่ขยับไปมาก็สามารถหลบได้”
คำพูดนี้มิผิด แต่มันมิใช่ความจริงทั้งหมด
หยวนฉวี่ยังคิดอยากถาม กู้ชิงยิ้มๆ แล้วลากเขาออกไป พวกเขาไปยังริมธารสี่เจี้ยนเพื่อต้อนรับศิษย์ร่วมสำนักที่เดินทางกลับมา
ยอดเขาเสินม่อโดดเดี่ยวจนเคยชิน แต่เรื่องใหญ่แบบนี้ อย่างไรก็ต้องมีคนออกหน้าบ้าง
………………………….