มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 73 จับปลา (3)
กระบี่มิคำนึงเข้าไปในดินแดนแห่งความว่างเปล่าแล้วเร่งความเร็วอีกครั้ง ระหว่างทางเข้าไปในแดนอัศนีสองครั้งเพื่อรับการชำระล้างจากสายฟ้า เติมพลังวิญญาณ ตกเย็นวันที่สองก็เดินทางมาถึงส่วนลึกของทะเลที่อยู่ห่างไกล
น้ำวนยักษ์ยังคงเป็นเหมือนอดีตที่ผ่านมา กลืนกินน้ำทะเลไม่หยุด แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับไม่ได้ดูคุ้มคลั่งแต่อย่างใด ฟังดูไพเราะเสนาะหู มิน่าถึงถูกเรียกว่าดินแดนลี้ลับหมิงเฉวียน[1]
หมอกที่ปกคลุมเกาะยังคงหนาทึบ กระทั่งปลาก็ยังไม่อาจเข้าไปได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าในอดีตเด็กรับใช้ผู้นั้นและซีหวังซุนออกมาจากเกาะได้อย่างไร
ยักษ์นั่งขัดสมาธิอยู่ในทะเล มือซ้ายถือไม้ยักษ์หมื่นปีเอาไว้ มือขวายันศีรษะ หนังตาตกลงมา รู้สึกง่วงเป็นอย่างมาก แต่ยังคงอดทนเหลือบมองไปทางหมอกแห่งนั้นเป็นพักๆ
กระบี่มิคำนึงบินลงมาจากบนฟ้า บินมาถึงตรงหน้าเขา สั่ปลายกระบี่นสะเทือน วาดเป็นวงกลมสองสามวง จากนั้นหยุดลง
ในดวงตายักษ์เผยให้เห็นสายตายินดี จากนั้นยื่นนิ้วมือไปแตะกระบี่มิคำนึงอย่างระมัดระวัง
การเคลื่อนไหวของเขามีความแม่นยำ มิได้ทำให้กระบี่มิคำนึงกระเด็นออกไปแม้แต่นิดเดียว
กระบี่มิคำนึงส่งเสียงฟิ้วบินจากไป
ยักษ์มองไปยังทิศทางที่กระบี่บินหายไป พลางโบกมือ
ในท้องฟ้ามีลมแรงพัดโบกขึ้นมา
ยักษ์เก็บมือกลับมา เอามือปิดปากหาวออกมาทีหนึ่ง ก้มหน้ามองดูเกาะที่อยู่ในหมอก สีหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูใสซื่อ
เขาลุกขึ้นเดินไปยังน้ำวนยักษ์ที่ห่างออกไปทางเหนือหลายร้อยลี้ ก่อนจะโยนไม้โบราณหมื่นปีที่อยู่ในมือลงไป
เขาตะโกนไปทางตะวันตก ก่อนจะหมุนตัวเดินไปทางแผ่นดินประหลาดที่อยู่ห่างไกลแห่งนั้น
รุ่งเช้าวันที่สอง เกาะเผิงไหลเจอกับพายุลูกแรกของฤดูร้อนในปีนี้
ในขณะที่ชาวเรือและลูกเรือกำลังรู้สึกตื่นเต้น พวกเขาพลันได้ยินเสียงคำรามที่ดังแทรกอยู่ในลมพายุ จึงอดตะโกนอย่างดีใจขึ้นมาไม่ได้
เทพทะเลส่งสัญญาณมาแล้ว!
ออกเรือได้แล้ว!
เรือสำเภาและเรือเทพจำนวนหลายพันลำแล่นออกจากฝั่ง มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของทะเล ทิ้งร่องรอยที่สวยงามเอาไว้นับไม่ถ้วนบนท้องทะเลสีน้ำเงิน
……
……
บนทะเลสาบสีน้ำเงินสะท้อนแสงอาทิตย์ราวกระจก
แสงอาทิตย์กระจายตัว
น้ำแหวกออก
เรืออูเผิงลำหนึ่งค่อยๆ แล่นผ่านไป
ทันใดนั้นพลันมีหยาดฝนตกลงมาบนผิวทะเลสาบ เกิดเป็นระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วน
ที่นี่คือทะเลสาบเอียนอวี่ของเมืองซางโจว ทิวทัศน์งดงาม เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต่างถิ่นจะมาเยือนเป็นประจำนอกเหนือจากหอไจซิง
หลิ่วสือซุ่ยนั่งอยู่ตรงหัวเรือ ในมือถือเบ็ดไม้ไผ่คันหนึ่ง เสี่ยวเหอนั่งอยู่ตรงข้าม ในมือถือเข็มกำลังเย็บอะไรบางอย่างอยู่
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีปลาติดเบ็ด
ฝนตกปรอยๆ ลงไปบนผิวน้ำ ทำให้เกิดฟองอากาศเล็กๆ ดูไปคล้ายกับฟองอากาศที่ปลาหายใจออกมา นี่ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิด
หลิ่วสือซุ่ยใจเย็น สีหน้าเรียบเฉย มองไม่เห็นความหงุดหงิดใดๆ
เสี่ยวเหอเห็นว่าเขาไม่ได้สังเกตตนเอง ดวงตาขยับเล็กน้อย แอบเป่าลมไปที่ผิวทะเลสาบเบาๆ
ตอนอยู่ที่เมืองไห่โจวและในระหว่างทางที่หลบหนี นางแสดงความสงบเรียบร้อยเวลาที่อยู่ต่อหน้าหลิ่วสือซุ่ยมาโดยตลอด
เพราะการเคลื่อนไหวเล็กๆ นี้ นางจึงดูทะเล้นขึ้นมา ดูแล้วน่ารักเป็นอย่างมาก
สายเบ็ดสั่นขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะยืดเป็นเส้นตรงในพริบตา
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกประหลาดใจ เขาดึงคันเบ็ดขึ้นมา พบว่าเป็นปลาไนตัวหนึ่ง จึงกล่าวอย่างดีใจว่า “ได้แล้ว”
เสี่ยวเหอมองเขายิ้มๆ พลางกล่าวว่า “ไหนเลยจะมีเรื่องที่คุณชายทำได้ไม่ดี”
หลิ่วสือซุ่ยรีบโบกมือ “ข้าไม่ใช่คุณชายเสียหน่อย”
เสี่ยวเหอลืมตาโตมองเขา กล่าวว่า “ท่านย่อมต้องเป็นคุณชายแน่นอน”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวจริงจัง “อย่างคุณชายข้าต่างหากถึงจะเป็นคุณชาย”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เสี่ยวเหอพลันรู้สึกเจ็บที่หัวไหล่ขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็รู้สึกเย็น ไม่มีใจที่จะทำอะไรอีก พร้อมทั้งส่งเสียงเหอะออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
หลิ่วสือซุ่ยไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ นางจึงอารมณ์ไม่ดี ในใจครุ่นคิดว่าหรือจะเป็นเพราะฝน?
ฝนพลันหยุดลง
อากาศในหน้าร้อนคล้ายอารมณ์ของเด็กสาว
แสงอาทิตย์แปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรง น้ำในทะเลสาบมีไอน้ำลอยขึ้นมา ดูอบอ้าวเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ผู้บำเพ็ญพรตจะไม่กลัวความร้อนความหนาว แต่ก็รู้สึกไม่สบายตัวเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นคลื่นลมก็สงบลงแล้ว
หลิ่วสือซุ่ยแกะปลาไนตัวนั้นออกจากเบ็ดแล้วโยนกลับลงไปในน้ำ จากนั้นกล่าวว่า “ไปกันเถอะ”
บัณฑิตชราเคยเตือนเขาเอาไว้ก่อนตายว่าให้รอทุกอย่างสงบลงแล้วค่อยกลับชิงซาน ตอนนี้ผ่านจากศึกถล่มลานเมฆมาได้หลายสิบวัน สถานการณ์น่าจะสงบลงแล้ว
เสี่ยวเหอครุ่นคิดถึงว่ากำลังจะเดินทางไปชิงซาน จะได้เจอกับจิ๋งจิ่วที่ตนเองหวาดกลัวที่สุด จึงตอบรับอย่างประหม่า
เรืออูเผิงเข้าฝั่ง เปลี่ยนเป็นรถม้า
ม้าที่ลากรถเป็นม้าสีขาวที่มีนิสัยอ่อนโยนตัวหนึ่ง เดินทางจากเมืองซางโจวลงใต้อย่างไม่เร่งร้อน
หลิ่วสือซุ่ยไม่ได้เลือกขี่กระบี่ เพราะจะสะดุดตาเกินไป
ลานเมฆถูกทำลาย แต่ปู้เหล่าหลินยังมีนักฆ่าอีกจำนวนมากที่ยังมีชีวิตอยู่ คนเหล่านั้นจะต้องอยากสังหารเขาอย่างแน่นอน เมื่อรวมกับเรื่องของลั่วไหวหนาน ตอนนี้เขาตกอยู่ในอันตรายจริงๆ
รถม้าหยุดลงในตอนที่อยู่ห่างจากเมืองอวิ๋นจี๋ประมาณสามสอบกว่าลี้ หลิ่วสือซุ่ยใช้ประโยชน์จากท้องฟ้ายามค่ำคืน พาเสี่ยวเหอข้ามเขาสองลูก มายังหน้าผาแห่งหนึ่ง
หลิ่วสือซุ่ยยืนอยู่ริมผา มองดูเปลวไฟที่กระจัดกระจายในหมู่บ้าน เขาสูดหายใจลึกๆ
กระทั่งเขาเห็นบิดามารดาที่กำลังเก็บใบบัวอยู่ในสวน สีหน้าจึงดูอ่อนโยนขึ้น
“เหตุใดจึงไม่ไปเจอหน่อย?” เสี่ยวเหอกล่าวถาม
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “อีกสักหลายวันค่อยว่ากัน ถ้าหาก…ไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ ล่ะก็”
เสี่ยวเหอมองดูเขา ในใจครุ่นคิดถ้ากลับไปยังชิงซาน ยังจะมีเรื่องอะไรอีก เจ้าเป็นคนที่มีความดีความชอบมากที่สุดในการทำลายปู้เหล่าหลินนะ
ข้ามเขาอีกสองลูก กลับมายังรถม้า เสี่ยวเหอปลดข่ายพลัง ทั้งสองคนขึ้นรถกลับไปยังเมืองอวิ๋นจี๋ ในตอนที่มาถึงก็เป็นเวลารุ่งเช้าแล้ว
เหลาสุราเปิดชั้นล่าง ซึ้งนึ่งถูกเอาไปวางไว้ริมถนน ไอน้ำที่พวยพุ่งออกมากับเมฆหมอกที่ไหลมาจากในภูเขาปะปนเข้าด้วยกัน ไม่สามารถแยกแยะออกได้
หลิ่วสือซุ่ยมองดูหมู่ยอดเขาที่อยู่ในหมอก ในที่สุดก็รู้สึกผ่อนคลายลง เขากล่าวกับเสี่ยวเหอว่า “หาอะไรกินก่อน จากนั้นพวกเราค่อยเข้าไป”
เขาใช้เงินสี่เหรียญซื้อซาลาเปาไส้ผักมาสองลูก แบ่งกับเสี่ยวเหอคนละลูก
เสี่ยวเหอมองดูซาลาเปาที่ใหญ่กว่าใบหน้าตน ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มกัดจากตรงไหน ดูกระอักกระอ่วน
หลิ่วสือซุ่ยมิได้สนใจนาง ฉีกกระดาษที่แปะอยู่ด้านล่างซาลาเปาออก จากนั้นกัดเข้าไปคำหนึ่ง รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นเขาพลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
หลังนั้นครู่หนึ่ง ลำแสงกระบี่สิบกว่าสายแหวกอากาศพุ่งออกไป จากนั้นก็มีลำแสงที่เปล่งประกายออกมาจากอาวุธอีกสองสาย แล้วก็ยังมีเงาของเรือเมฆขนาดใหญ่อีกลำหนึ่ง
เมฆหมอกปกคลุมเมืองเอาไว้ คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นภาพที่อยู่บนท้องฟ้าได้เหมือนอย่างเขา แต่ชาวเมืองในเมืองอวิ๋นจี่มีประสบการณ์ในด้านนี้อย่างมาก เมื่อเห็นก้อนเมฆบนฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงก็รู้ทันทีว่ามีผู้บำเพ็ญพรตบินผ่านไป เสียงพูดคุยทยอยดังขึ้นมา
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกกังวลใจ ในใจครุ่นคิดว่าหรือมีศัตรูบุกเข้ามา?
ในขณะที่เขาเตรียมจะโยนซาลาเปาในมือทิ้งแล้วพาเสี่ยวเหอขี่กระบี่บินออกไป เขาก็ได้ยินเสียงพูดคุยที่ดังมาจากรอบทิศ
จากนั้นเขาสังเกตเห็นเหล่าชาวบ้านในเมืองล้วนแต่ดูมีความสุข ไม่เห็นถึงสีหน้าที่ตื่นกลัวเลยแม้แต่น้อย
“นั่นเป็นเรื่องของท่านเซียน เกี่ยวอะไรกับพวกเรา?”
“เรื่องมงคลแบบนี้ หรือพวกเราจะรู้สึกยินดีด้วยไม่ได้?”
“ท่านผู้นั้นคือบุตรสาวคนเดียวของเจ้าสำนักจงโจว เป็นเทพธิดาที่แท้จริง! ชาติตระกูลเช่นนี้ สถานะเช่นนี้ กลับเดินมาทางมาชิงซานเพื่อขอแต่งงานด้วยตัวเอง อย่าว่าแต่อาจารย์เซียนที่อยู่ในชิงซานเลย กระทั่งพวกข้าก็ยังรู้สึกบนใบหน้ามีแสงเปล่งประกายแล้วเนี่ย!”
เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยของชาวเมือง เสี่ยวเหอตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนกล่าวถามว่า “นางจะขอใครแต่งงาน?”
หลิ่วสือซุ่ยเองก็ตกใจ ก่อนกล่าวว่า “หรือจะเป็นคุณชาย?”
…………………………………………………………….
[1]หมิงเฉวียน หมายถึง น้ำพุแห่งเสียง