มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 8 คนในกับดักคือใคร
ลั่วไหวหนานมองดูคนชุดดำ สีหน้าเรียบเฉย เขาน่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัว
“จัดการน้ำที่อยู่บนตัวเจ้าก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ได้ คนอื่นจะรู้กันหมดว่าเจ้าแอบอยู่ในบ่อน้ำ”
เขามองชายชุดดำพลางกล่าว “ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ข้ามีภาพลักษณ์เป็นคนง่ายๆ แต่กระทำการใดล้วนแต่ระมัดระวัง ข้าไม่มีทางลืมตรวจดูในบ่อน้ำอย่างแน่นอน”
คนชุดดำกล่าว “ข้าควรจะซ่อนอยู่ที่ไหน?”
ลั่วไหวหนานกล่าว “ในตู้ ระยะยิ่งใกล้ พลังก็ยิ่งรุนแรง ซึ่งนี่ก็เป็นวิธีที่ปู้เหล่าหลินของพวกเจ้าชอบใช้ พยายามเข้าใกล้ผู้บำเพ็ญพรตให้ได้มากที่สุด ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าปกปิดกลิ่นอายพลังได้อย่างไร เดี๋ยวข้าจะพยายามปัดไปว่าเป็นเพราะของวิเศษอะไรบางอย่าง”
คนชุดดำก้มมองดูเสื้อผ้าที่เปียกชื้นของตัวเอง ในดวงตามีเปลวไฟขนาดเล็กปรากฏขึ้นมา แต่กลับมีความงดงามอย่างมาก ดูค่อนข้างแปลกประหลาด
ในระยะเวลาสั้นๆ น้ำบนร่างกายของเขาเหล่านั้นถูกทำให้ระเหยกลายเป็นไอ ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ลั่วไหวหนานมองดูภาพนี้ คิ้วเลิกขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “นี่คือเพลิงปีศาจ?”
คนชุดดำมิได้ตอบคำถามนี้ หากแต่มองดูรอยน้ำที่อยู่บนพื้นเหล่านั้น พลางยื่นมือออกไปเตรียมจะกำจัดร่องรอย
ลั่วไหวหนานส่ายศีรษะ “อาจจะทำให้คนที่อยู่ด้านนอกรู้ตัวได้ ปล่อยให้มันแห้งเองแล้วกัน”
จากในบ่อน้ำมาถึงห้อง บนพื้นในสวนมีรอยเท้าที่เปียกๆ ทิ้งเอาไว้อยู่ การจะปล่อยให้มันถูกลมพัดจนแห้งย่อมต้องช้ากว่าการใช้เพลิงปีศาจเผามากนัก จำเป็นต้องใช้เวลาสักพัก
อันที่จริงลั่วไหวหนานมิได้กังวลว่าจะทำให้คนที่อยู่ด้านนอกรู้ตัว เพราะภายในเรือนได้มีการวางข่ายพลังเพื่อปิดกั้นไอพลังเอาไว้แล้ว เขาเพียงแค่อยากจะพูดคุยกับอีกฝ่าย
เขาไม่ได้พูดคุยกับคนอื่นตามสบายมานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสถานะของคนชุดดำก็ทำให้เขารู้สึกสนใจอย่างมากด้วย
“นี่เป็นการพบหน้ากันครั้งแรกของพวกเรา คิดไม่ถึงว่าจะมาพบกันในสถานการณ์เช่นนี้”
ลั่วไหวหนานกล่าวกับคนชุดดำว่า “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าหน่อยนะ”
คนชุดดำกล่าว “ไม่ลำบาก เพียงแค่ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นเข้าใจผิดมันไม่ค่อยดีสักเท่าไร”
ลั่วไหวหนานกล่าว “จิ๋งจิ่วเป็นคนดี ข้าคิดว่าอาจจะเป็นเจ้าที่เข้าใจผิดว่าเขาเข้าใจเจ้าผิด สรุปแล้วก็คือต่างเข้าใจผิด เจ้าก็อย่าได้โทษเขาเลย”
คนชุดดำนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เริ่มกันเถอะ”
รอยเท้าเปียกๆ บนพื้นเหล่านั้นเริ่มจางหายไป เมื่อไรพวกเขาจัดการธุระเสร็จ มันก็น่าจะหายไปจนหมด
นิ้วของลั่วไหวหนานจิ้มลงไปบนโต๊ะ กล่าวว่า “การโจมตีครั้งแรกของเจ้าไม่อาจใช้พลังของตานปีศาจได้ เพราะสำนักจงโจวของข้ามีการรับรู้ที่ไวต่อวิชาของพรรคมารอย่างมาก”
คนชุดดำกล่าว “ข้าจะใช้กระบี่”
ลั่วไหวหนานยกนิ้วขึ้นมา
คนชุดดำเรียกกระบี่ออกมา กระบี่ปักลงไปตรงตำแหน่งที่นิ้วจิ้มลงไปเมื่อครู่อย่างไร้ซุ่มเสียง
“ระดับเท่านี้เหมาะมาก ทำให้สงสัยถึงตัวเจ้าได้พอดี”
ลั่วไหวหนานรับรู้ได้ถึงเจตน์กระบี่ชิงซานอันเบาบางภายในรอยเฉือนอันเรียบลื่นที่อยู่บนผิวโต๊ะ ภายในใจรู้สึกตกใจเล็กน้อย ผ่านมาหลายปีแล้ว วิถีกระบี่ของอีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะไม่ถดถอย แต่กลับยิ่งมีความชำนาญมากขึ้น หากตอนนั้นเขายังฝึกกระบี่อยู่ที่ชิงซาน ไม่รู้ว่าตอนนี้จะก้าวหน้าไปถึงระดับไหน
เขากล่าวว่า “เมื่อข้าหลบกระบี่นี้ของเจ้าแล้ว ข้าก็จะใช้ระฆังดาวเหนือโจมตีกลับ เจ้าจะรับมืออย่างไร?”
คนชุดดำกล่าว “ในเมื่อข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะไม่หลบ”
“ดีมาก เช่นนั้นหลังจากนี้ก็ค่อนข้างง่าย”
ลั่วไหวหนานเดินไปยังมุมหนึ่งของห้อง กล่าวว่า “ข้าจะไม่เลือกที่จะโจมตีแลกกับเจ้าจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย หากแต่จะใช้หลบหนีฟ้าดินหลบมาตรงนี้ เจ้าคาดการณ์ล่วงหน้าได้ไหม?”
คนชุดดำเดินเข้าไป กล่าวว่า “ไม่ได้ แต่ในวิชาปีศาจโลหิตมีวิชาหลบหนีที่คล้ายกันอยู่ ในพื้นที่เล็กๆ น่าจะตามเจ้าทัน”
“วิชาปีศาจโลหิตของเจ้าฝึกถึงขั้นไหนแล้ว?”
“ขั้นสี่”
ลั่วไหวหนานคิดในใจ มิเสียทีที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด ถึงแม้จะละทิ้งวิถีธรรมไปเข้าวิถีมาร แต่สภาวะก็ยังก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว เช่นนั้นขอเพียงตัวเองมิได้มีลูกไม้อื่นแอบซ่อนไว้ การที่ถูกอีกฝ่ายโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้
“ข้าต้องทำให้เจ้าบาดเจ็บแค่ไหน?”
“หักแขน”
ทั้งสองคนพูดคุย ทำท่าทาง จัดวางตำแหน่ง
หลังกำหนดรายละเอียดต่างๆ เสร็จสิ้น คนชุดดำก็เดินไปยังตู้เสื้อผ้า จากนั้นจู่ๆ พลันหยุดฝีเท้าแล้วถามขึ้นมาว่า “เหตุใดเจ้าจึงยอมทำเรื่องแบบนี้?”
“ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะ เวลานี้ข้าคือคนที่โดดเด่นที่สุด”
ลั่วไหวหนานยิ้มเยาะตัวเองพลางกล่าว “ข้าถูกนักฆ่าของปู้เหล่าหลินลอบสังหาร นี่จะกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจมากที่สุด แบบนี้มันถึงจะเพียงพอที่จะช่วยเจ้าได้”
คนชุดดำกล่าว “ข้าหมายความว่า เหตุใดเจ้าต้องทำเรื่องแบบนี้?”
ลั่วไหวหนานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “สุดท้ายก็ต้องมีคนเสียสละ อีกทั้งข้าก็ไม่ได้ตายจริงๆ เสียหน่อย”
คนชุดดำมิได้กล่าวกระไร หลังเดินเข้าไปในตู้เสื้อผ้าก็ปิดประตูตู้จากด้านใน
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง
ลั่วไหวหนานเดินไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะ มองดูตัวเองในกระจก ก่อนจะหลับตาลงแล้วเริ่มรอคอย
……
……
การประมูลในหอเจินชี่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
หลายคนต่างรู้แล้วว่าของวิเศษที่สำคัญที่สุดในการประมูลวันนี้คืออะไร
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังกล่องที่อยู่ตรงกลาง
ทุกคนต่างรู้ว่าต่อให้ของที่อยู่ในกล่องจะล้ำค่าแค่ไหน แต่อีกประเดี๋ยวไม่มีใครที่จะเข้าร่วมการประมูล
เพราะนั่นคือหญ้าสามพิสุทธิ์
หลายคนเองก็คาดเดาได้แล้วว่าผู้ที่อยู่ในห้องชั้นบนสุดคือใคร เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้
ห้องนั้นเงียบมาก
กู้ชิงมิได้นั่ง
เขาได้ตรวจสอบจนมั่นใจแล้วว่าข่ายพลังของหอเจินชี่สามารถป้องกันไม่ให้คนที่อยู่ภายนอกมองเห็นภายในห้องได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย
บนโต๊ะมีชาเชวี่ยเสอวางอยู่สองถ้วย
แต่ภายในห้องกลับมีเขาเพียงแค่คนเดียว
……
……
ภายในบ้านหลังหนึ่งในเมืองกุ้ยอวิ๋น
ที่นี่ก็มีคนอยู่แค่คนเดียว
เจ้าล่าเยวี่ยที่อยู่ในชุดสีดำนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เบื้องหน้าคือหน้าต่างบานหนึ่ง
ด้านนอกหน้าต่างคือถนนสายหนึ่ง ห่างออกไปหลายสิบจ้างมีเรือนหลังเล็กอยู่หลังหนึ่ง รอบนอกเรือนมีศิษย์ของสำนักเป่ยซี
นางตรวจสอบจนมั่นใจแล้วว่าลั่วไหวหนานอยู่ในเรือนหลังนี้
ผ่านมาสามปี นางกลับมาหวีผมใหม่ ทั้งยังมัดขึ้นเป็นเปียเล็กๆ สวมใส่หมวกลี่เม่าเอาไว้
กระบี่อยู่ในฝัก แผ่ไอเย็นจางๆ ออกมา นั่นคือกระบี่พรหมจรรย์ที่จินหมิงเฉิงให้นางมา
นางกำลังรอคอยการมาถึงของช่วงเวลานั้น
ส่วนจะเป็นเมื่อใดนั้น นางไม่รู้
ลั่วไหวนานเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะในเมื่อเป็นการแสดง อย่างนั้นก็ต้องแสดงให้เหมือนจริงที่สุด แล้วก็ต้องกะทันหันด้วย
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด บนบานประตูของตู้เสื้อผ้าได้มีรูกลมเล็กๆ รูหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ลำแสงกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นมา จากนั้นดับลงไป วาดผ่านร่างกายของลั่วไหวหนาน ตัดมุมแขนเสื้อไปชิ้นหนึ่ง จากนั้นฟันลงไปบนมุมโต๊ะ
ลั่วไหวหนานลุกขึ้นมา ระฆังดาวเหนือปรากฏออกมาอย่างไร้ซุ่มเสียง กระแทกไปที่คนชุดดำที่พุ่งตัวออกมาจากในตู้เสื้อผ้าราวกับภูติผี
คนชุดดำมิได้หลบ มิขวาตะปบออกมา เพลิงอาคมสิบกว่าสายพ่นออกมา ปกคลุมลั่วไหวหนานเอาไว้
ลั่วไหวหนานใช้วิชาหลบหนีฟ้าดิน หายตัวไปจากตำแหน่งที่ยืนอยู่อย่างน่าอัศจรรย์ ก่อนที่จะไปปรากฏตัวอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง
เปลวไฟสองดวงที่อยู่ในดวงตาของคนชุดดำลุกโชนขึ้นมา
เปลวไฟสีดำสายหนึ่งกระจายออกมาจากร่างกายของเขา ก่อนจะม้วนไปบนพื้นราวกับหมอกที่หนักอึ้ง
ร่างกายของเขาเองก็หายไปในพริบตา หลังจากนั้นมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าลั่วไหวหนาน
ลั่วไหวหนานมิได้พูดจา คนชุดดำก็มิได้พูดจา ทั้งสองต่างนิ่งเงียบ หากมีคนมาเห็นภาพนี้ จะต้องรู้สึกว่ามันแปลกอย่างมากแน่นอน
ทุกที่ภายในห้องเต็มไปด้วยร่องรอยของเพลิงอาคม ขาโต๊ะเริ่มลุกไหม้ ส่งกลิ่นไหม้ฟุ้งกระจาย อีกไม่นานศิษย์สำนักเป่ยซีที่อยู่ด้านนนอกน่าจะรู้ตัว
—-ต้องรีบทำเวลา
ลั่วไหวหนานใช้สายตาส่งสัญญาณ
คนชุดดำยกมือขึ้นมา ก่อนจะโจมตีไปที่เขาพร้อมกับเพลิงอาคมอีกหลายสิบสาย
ลั่วไหวหนานเบี่ยงตัวเปิดจุดสำคัญ เขามิได้หลบ หากแต่รอให้ฝ่ามือของเขาฟาดลงมา
ในดวงตาของคนชุดดำมีความลังเลปรากฏขึ้นมา
ลั่วไหวหนานเข้าใจเขาผิด จึงยิ้มเล็กน้อยพลางพยักหน้า
ฝ่ามือของคนชุดดำฟาดลงมา
ฟาดลงไปบนทรวงอกของลั่วไหวหนาน
เสียงผัวะทึบๆ ดังขึ้น
มุมปากของลั่วไหวหนานมีโลหิตไหลทะลักออกมา
ตามแผนที่วางเอาไว้แต่แรก ในเวลานี้เขาควรจะโจมตีกลับ หักแขนซ้ายของอีกฝ่าย จากนั้นอีกฝ่ายหลบหนีไป การแสดงฉากนี้จบลงแต่เพียงเท่านี้
ลั่วไหวหนานพลันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เขามองไปในดวงตาของคนชุดดำ
ดวงตาของคนชุดดำแดงก่ำ เหมือนมีความรู้สึกคุ้มคลั่ง
เขามิได้ดึงมือกลับ มือขวายันหน้าอกของลั่วไหหนานเอาไว้
เพลิงอาคมที่แฝงเอาไว้ด้วยพลังทำลายอันน่าหวาดกลัวไหลทะลักเข้าไปในร่างกายของลั่วไหวหนานอย่างไม่ขาดสาย
หรือว่าธาตุไฟเข้าแทรก?
ลั่วไหวหนานครุ่นคิด
เพลิงอาคมของคนชุดดำพลันรุนแรงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า!
“ที่แท้เจ้าอยากฆ่าข้า”
ลั่วไหวหนานคิดในใจ
ในดวงตาของเขามีอารมณ์ที่ซับซ้อนปรากฏขึ้นมา ไม่รู้ว่าผิดหวังหรือว่าอะไร
เพลิงอาคมที่แฝงเอาไว้ด้วยจิตสังหารจำนวนนับไม่ถ้วนได้โจมตีเข้าไปในเส้นลมปราณของเขา จนทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ยากจะฟื้นฟูกลับมาให้เป็นเหมือนเดิมได้
ลั่วไหวหนานใบหน้าซีดขาว พ่นโลหิตสดๆ ออกมาคำหนึ่ง
โลหิตที่แฝงเอาไว้ด้วยพลังจักรวาลของสำนักจงโจวพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของคนชุดดำราวลูกธนู โจมตีเข้าใส่ผ้าสีดำผืนนั้นจนเป็นรูพรุน
ผ้าสีดำโบยบินออกไปราวผีเสื้อ เผยให้เห็นใบหน้านั้น
ใบหน้านั้นค่อนข้างดำ แต่สะอาดสะอ้าน ให้ความรู้สึกที่ดูเป็นมิตร
เขาคือหลิ่วสือซุ่ย
……………………………………