มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 9 การตายของลั่วไหวหนาน
หลิ่วสือซุ่ยที่มิได้ปรากฏตัวออกมาเป็นเวลานาน เวลานี้มิใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไปแล้ว
สีหน้าของเขายังคงสุขุมเหมือนอย่างแต่ก่อน แต่เปลวไฟในดวงตากลับลุกโชนคุ้มคลั่ง
เมื่อถูกศรโลหิตของลั่วไหวหนานโจมตีจนต้องถอย เขาอาศัยเพลิงอาคมที่ลุกโชนอยู่เต็มพื้นพุ่งตัวเข้าไปอีกครั้ง กระบี่บินฟันลงไป!
ขณะเดียวกัน กำปั้นข้างขวาของเขาที่มีเพลิงอาคมสีดำลุกโชนอยู่ได้เหวี่ยงเข้าไปที่ใบหน้าของลั่วไหวหนาน
เส้นลมปราณของลั่วไหวหนานเสียหาย แต่เขาก็ได้ขับเอาเพลิงอาคมออกมาจากในร่างกายผ่านทางโลหิตที่กระอักมาคำนั้น ใจแห่งเต๋าปลอดโปร่ง เขาเรียกระฆังดาวเหนือกลับมา!
ลำแสงที่เจิดจ้าดวงหนึ่งส่องสว่างภายในเรือนที่ถูกความมืดยามค่ำคืนปกคลุมเอาไว้
เสียงตู้มดังสนั่น กำแพงสวนแตกเป็นเสี่ยงๆ คลื่นอากาศอันรุนแรงหอบเอาก้อนอิฐขึ้นมา ก่อนจะสาดกระจายออกไปรอบทิศทาง ศิษย์สำนักเป่ยซีที่เฝ้าอยู่ด้านนอกล้มสลบลงไปกับพื้น
สภาวะของลั่วไหนหนานสูงส่งกว่าหลิวสือซุ่ย ต่อให้เวลานี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่หลิ่วสือซุ่ยจะเผชิญหน้าตรงๆ ได้
หลิ่วสือซุ่ยฝึกฝนกระบี่บินขึ้นมาใหม่หลังออกไปจากชิงซาน เดิมคุณภาพของตัวกระบี่นั้นธรรมดา จึงถูกทำลายลงในพริบตา กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ระฆังดาวเหนือแหวกเปลวเพลิงอาคม กระแทกเข้าใส่ทรวงอกเขาอย่างแรง
หลิ่วสือซุ่ยกระอักโลหิตพลางถอยไป
วันนี้ลั่วไหวหนานได้รับบาดเจ็บติดกันสองครั้ง โดยเฉพาะครั้งหลังที่ถูกหลิ่วสือซุ่ยลอบโจมตี ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส เพื่อความปลอดภัย เขาจึงไม่คิดรั้งอยู่ที่นี่อีก หากแต่ใช้วิชาหลบหนีฟ้าดินหนีเพลิงอาคมที่ปกคลุมอยู่ทั่วเรือนขึ้นไปบนท้องฟ้าเตรียมจะบินหนีไป
ลำแสงกระบี่สายหนึ่งพลันปรากฏขึ้น แทงทะลุร่างกายเขาไป!
ลำแสงกระบี่สายนั้นเบาบางและเย็นยะเยือก ยากที่จะพบเห็นได้
ลั่วไหวหนานส่งเสียงอึกออกมาคำหนึ่ง มองดูบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งที่อยู่บนพื้น
ลำแสงสายหนึ่งพุ่งโจมตีใส่บ้านหลังนั้น
ยังมีศัตรูที่แข็งแกร่งซ่อนตัวอยู่ กระทั่งระฆังดาวเหนือเขาก็มิได้สนใจแล้ว ทนฝืนความเจ็บปวดหนีไป
เพลิงสีดำสองดวงพุ่งออกมาจากใต้เท้าของหลิ่วสือซุ่ย
เขากระโดดขึ้นไปอากาศ กอดขาของลั่วไหวหนานเอาไว้
ลั่วไหวหนานฟาดฝ่ามือไปที่หลังของเขา
หากเป็นเวลาปกติ ฝ่ามือนี้ของเขาจะต้องฟาดจนหลิ่วสือซุ่ยตายอย่างแน่นอน แต่ในเวลานี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส อานุภาพจึงลดน้อยลงไปมาก
หลิ่วสือซุ่ยกระอักเลือด แต่กลับมิยอมปล่อยมือ สองมือรัดแน่นราวเหล็ก
บ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนพังถล่มลงมา
ลำแสงของระฆังดาวเหนือถูกกระบี่อันเย็นยะเยือกที่บินวกกลับลงมาจากบนฟ้าเล่มนั้นฟันจนแตกกระจาย
คนชุดดำที่สวมหมวกลี่เม่าผู้หนึ่งพุ่งขึ้นมาบนอากาศ
ไม่มีกระบี่ นางทำได้อย่างไร?
เมื่อเห็นคนชุดดำพุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง ลั่วไหวหนานรู้ว่ามาถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้ว
เขาใช้วิชาที่แอบซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครรู้และยังฝึกไม่เชี่ยวชาญ สีหน้ายิ่งขาวซีด
ในม่านตาของเขามีมนุษย์ทองคำตัวเล็กปรากฏขึ้นมา
เขาชี้นิ้วยิงลำแสงที่ดูสวยงามออกไปเส้นหนึ่ง
ลำแสงเส้นนั้นแฝงเอาไว้ด้วยแรงกดดันอันมหาศาล มิใช่ระดับของผู้บำเพ็ญพรตขั้นจินตันอย่างแน่นอน ปกคลุมรัศมีไปสิบกว่าจ้าง
ไม่ว่าคนชุดดำผู้นั้นจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วแค่ไหนก็ไม่มีทางหลบได้
แต่หลังจากนั้นก็ได้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายของเขาขึ้นอีกครั้ง
จู่ๆ คนชุดดำที่สวมหมวกลี่เม่าผู้นั้นได้หายไป
จากนั้นนางก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าลั่วไหวหนาน พร้อมกับลำแสงกระบี่อีกสิบกว่าสาย
ลำแสงกระบี่เหล่านั้นพุ่งออกมาจากร่างกายของนาง
ต่อให้เป็นหลบหนีฟ้าดินก็ไม่อาจเทียบได้
ร่างกระบี่ไร้ลักษณ์!
ลั่วไหวหนานคิดถึงภาพบางภาพที่กั้วหนานซานเคยเล่าให้ตนฟังได้ พลันรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
เขามองดวงตาของคนที่อยู่ใต้หมวกลี่เม่าผู้นั้น คาดเดาได้ว่านางคือใคร
เจ้าล่าเยวี่ย!
เขาส่งเสียงคำราม สิบนิ้วประกบเข้าด้วยกัน
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง
ราวกับมีภูเขายักษ์ที่ไร้รูปลักษณ์สองลูกถาโถมเข้าใส่เจ้าล่าเยวี่ย
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้หลบ หากแต่ฝืนรับการโจมตีเอาไว้
มือของลั่วไหวหนานตะปบไปที่คอของนาง
บนมือของเขาเต็มไปด้วยรอยบาดแผล พ่นศรโลหิตออกมา
ขอเพียงเขาออกแรงนิดหนึ่ง เจ้าล่าเยวี่ยก็จะตายทันที
แต่ไม่ทันแล้ว
กำปั้นของหลิ่วสือซุ่ยที่ห่อหุ้มเอาไว้ด้วยเพลิงอาคมสีดำพุ่งเข้าไปที่ท้องน้อยเขาราวกับมังกร
เสียงตู้มดังสนั่น
เมฆหมอกยามค่ำคืนถูกสายลมอันคุ้มคลั่งพัดพาจนสลายหายไป
ทั้งยังคล้ายมีเสียงแตกเสียงหนึ่งดังขึ้น
ทั่วทั้งเมืองต่างถูกปลุกขึ้นมา
ตอนแรกถูกกระบี่พรหมจรรย์แทงทะลุร่างกาย จากนั้นถูกวิชาปีศาจโลหิตโจมตีอย่างเต็มที่ จินตันของลั่วไหวหนานมิอาจทนรับต่อไปได้อีก จึงแตกละเอียดลงทันที
ใบหน้าเขาขาวซีด นิ้วมือค่อยๆ คลายออก
นิ้วมือของเจ้าล่าเยวี่ยวาดผ่านคล้ายสายลม
บริเวณลำคอของเขามีรอยเลือดปรากฏขึ้นมารอยหนึ่ง
รอยเลือดขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว
เสียงฉึบดังขึ้น
ขาดออก
……
……
ตู้มๆๆๆ
เสียงตกกระแทกสี่เสียงดังขึ้นในซากปรักหักพังของบ้านแทบจะในเวลาเดียวกัน
ท่ามกลางฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย สามารถมองเห็นศีรษะและร่างกายของลั่วไหวหนานได้
หลิ่วสือซุ่ยและเจ้าล่าเยวี่ยยืนขึ้นมา
เขากระอักโลหิตออกมาอีกคำหนึ่ง
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้เป็นอะไร ใบหน้าที่อยู่ใต้หมวกลี่เม่าขาวซีดเล็กน้อย
นางยื่นมือไปเรียกกระบี่พรหมจรรย์กลับมา
หลิ่วสือซุ่ยยื่นมือออกไปรับกระบี่
ทั้งสองคนสบตากัน ก่อนจะหมุนตัวแล้วหายไปในความมืด
……
……
ชั้นบนสุดของหอเจินชี่
กู้ชิงเดินมายังริมหน้าต่าง เริ่มคลายข่ายพลังริมหน้าต่างด้วยสีหน้าจริงจัง สองมือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเงาวูบไหว — เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่พูดเอาไว้ไม่มีผิด ตอนที่เขาคลายข่ายพลังก่อนหน้านี้ก็ได้ทำการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องจริง ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้เพราะเหตุใด เจตน์กระบี่แบกสวรรค์ก็คล้ายจะเหมาะสำหรับเอามาใช้วางข่ายพลังเป็นพิเศษ
หน้าต่างเปิดออกเป็นช่องว่างเล็กๆ
เจ้าล่าเยวี่ยปรากฏตัวขึ้นในห้อง สำแสงกระบี่ที่อยู่บนเสื้อผ้าและเส้นผมค่อยๆ หายไป
กู้ชิงวางข่ายพลังที่อยู่ตรงนอกหน้าต่างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้ามายืนอยู่ข้างนาง จากนั้นหยิบเอาหีบใบหนึ่งมาจ่อตรงปากนาง
เจ้าล่าเยวี่ยถ่มโลหิตสดๆ คำหนึ่งลงไปในหีบ จากนั้นกระชากชุดสีดำออก แล้วโยนลงไปในหีบเช่นกัน
ไฟกระบี่ลุกโชน
เพียงพริบตา โลหิตและชุดสีดำที่อยู่ในหีบก็ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
กู้ชิงรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
อีกประเดี๋ยวหญ้าสามพิสุทธิ์นั้นก็จะถูกนำมาปลูกไว้ในเถ้าถ่านเหล่านี้ หลังปิดบังไอพลังแล้ว เชื่อว่าคงจะไม่มีใครเห็นถึงความผิดปกติได้
กระทั่งพวกเขาจัดการเรื่องราวเหล่านี้เสร็จเรียบร้อย เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในหอเจินชี่ถึงได้รู้ตัว เสียงแหวกอากาศดังขึ้น พวกเขาน่าจะกำลังรีบไปทางด้านนั้น
กู้ชิงมองเจ้าล่าเยวี่ย
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ยังมีปัญหาบางอย่างเหลืออยู่ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของพวกเรา”
กู้ชิงถาม “คนผู้นั้นคือใคร?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “หลิ่วสือซุ่ย”
กู้ชิงตกใจเล็กน้อย ก่อนกล่าวอย่างทอดถอนใจ “นั่นสิ ก็มีแต่พวกเรานี่แหละถึงจะทำเรื่องนี้”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาถามขึ้นมาอีกว่า “แต่ว่าเจ้านั่นคาดการณ์ถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “มิใช่คาดการณ์ได้ หากแต่เป็นเขาที่เป็นคนวางกับดักนี้ขึ้นมา”
……
……
ในซากปรักหักพัง ร่างกายและศีรษะของลั่วไหวหนานแยกจากกัน ไร้ซึ่งลมหายใจ
จิตทารกดวงหนึ่งลอยออกมาจากลำคอที่ขาดสะบั้นของเขาอย่างเงียบๆ
จิตทารกดวงนั้นมีขนาดเล็กมาก ส่องแสงสีทองที่เบาบางออกมา ดูแล้วอ่อนแรง คล้ายว่าพร้อมจะดับลงเมื่อสายลมยามค่ำคืนพัดมา
ลำแสงกระบี่และลำแสงอาวุธวิเศษส่องสว่างซากปรักหักพัก ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากรีบเดินทางมาจากหอเจินชี่
จิตทารกมิกล้าเผยตัว เพราะมันยังอ่อนแอเกินไป พร้อมที่จะสลายหายไปได้ทุกเมื่อ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่ไม่กล้าเชื่อว่าเป็นมันด้วย
คืนนี้เป็นกับดักที่เขาตกลงกับกั้วหนานซานเอาไว้ ใครจะไปคิดถึงว่ามันจะกลายเป็นกับดักจริงๆ ได้ หรือว่าสำนักชิงซานคิดฆ่าตัวเอง?
จิตทารกจมลงไปในส่วนลึกของบ่อน้ำ ไหลทวนน้ำลงไป ก่อนจะออกจากเมืองลงไปในแม้น้ำ กระทั่งไม่มีผู้คนแล้วมันถึงจะลอยขึ้นมา มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังเขาอวิ๋นเมิ่ง
ยอดเขาอันเงียบสงัดสิบกว่ายอดปรากฏกายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน ที่นี่ยังอยู่ห่างจากใจกลางของเขาอวิ๋นเมิ่งอีกไกล
จิตทารกบินไปถึงด้านล่างหน้าผา มุดเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งที่มีเถาวัลย์บดบังอยู่ ก่อนจะใช้พลังเปิดเขตปิดกั้นขึ้นมา
บนโต๊ะหินที่อยู่ในส่วนลึกของถ้ำมีขวดสีเขียวใบเล็กวางอยู่ใบหนึ่ง
เขาสีเขียวใบเล็กนั้นไม่รู้ว่าทำมาจากเครื่องเคลือบหรือว่ามรกต เปล่งแสงที่ดูริบหรี่ออกมา
นี่คือภาชนะวิเศษที่เขาต้องอาศัยโชคอย่างมากกว่าจะหามาได้ มันสามารถเก็บพลังวิญญาณบนฟ้าดินและใช้เลี้ยงดูจิตทารกได้
ขอเพียงเข้าไปในขวดสีเขียวใบนี้ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจิตทารกจะแตกสลายและตายลงไป
จิตทารกของลั่วไหวหนานลอยไปยังด้านบนขวดสีเขียว
ทันใดนั้น เส้นแสงที่เล็กละเอียดจำนวนหลายสิบเส้นพลันลอยขึ้นมาจากบนโต๊ะ แปรเปลี่ยนเป็นตาข่ายผืนหนึ่งรัดจิตทารกเอาไว้
เส้นแสงเหล่านั้นเป็นเส้นตรงดิ่ง ดูเหมือนกับเส้นบนกระดานหมากล้อม
ตรงจุดที่เส้นเหล่านั้นตัดกันได้รวมกันกลายเป็นจุดแสงที่ดูคล้ายน้ำค้าง ดูแข็งแรงเหมือนตัวหมาก
บนใบหน้าของจิตทารกเผยให้เห็นสีหน้าตกใจและหวาดกลัว พยายามที่จะดิ้นรนหนีออกไป
ซู่ๆ!
เส้นแสงเหล่านั้นตกลงบนร่างของจิตทารก ส่งเสียงแผดเผาออกมา
จิตทารกเผยให้เห็นสีหน้าเจ็บปวด รากกำเนิดได้รับความเสียหาย แสงสีทองยิ่งดูสลัวลง
ถงเหยียนเดินออกมาจากสวนลึกของถ้ำ
………………………………….