มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 1 กลับสำนัก
สวรรค์ในกา ยุคซ่ง : เฉิงปี้
สุริยันเคลื่อนคล้อยถึงตงจิ่ง[1] คล้ายดั่งเงาต้นหอมหมื่นลี้ ช่างสะอาดสดใส หลักนิติธรรมส่งเสริมสอดคล้อง สวรรค์ประทานผู้มากความสามารถ ทั่วทั้งจักรวาลไร้ซึ่งอุปสรรค สุขุมเยือกเย็น ภายในใจไร้ซึ่งความหวาดกลัว
ยามชราประสบความสำเร็จ มากด้วยบารมี ท่องไปแห่งหนใดมิต้องกังวล มิต้องใส่ใจเรื่องที่ไม่ราบลื่น มุ่งหน้าอุทิศตนเพื่อประเทศ จงหยวนฟื้นฟู แผ่นดินขยายใหญ่ ค่อยหวนคืนตำแหน่ง
……
……
หมอกบางปกคลุมหมู่ยอดเขา เขาเขียวสายธารล้วนงดงาม เดินท่องอยู่ภายใน คล้ายเยื้องย่างอยู่ในดินแดนเซียน
เสี่ยวเหอค่อยๆ สงบลง แต่หลิ่วสือซุ่ยกลับค่อนข้างตื่นเต้น เพราะศาลาหนานซงอยู่เบื้องหน้า
ด้านล่างต้นสนบริเวณหน้าผาล้วนแต่มีศิษย์นอกสำนักนั่งขัดสมาธิอยู่ ไอน้ำสีขาวลอยขึ้นมาเป็นระยะๆ เมื่อเห็นภาพที่คุ้นเคยเหล่านี้ เขาย่อมต้องคิดถึงเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อนเหล่านั้นขึ้นมา — ในตอนนั้นเขาจะมาฝึกฝนอย่างหนักอยู่ที่ใต้ต้นสนเหล่านี้ทุกวัน จากนั้นก็ไปปูเตียงพับผ้าห่ม รินชาเทน้ำยังที่พักที่อยู่ห่างไกลจากลำธารวุ่นวายหลังนั้น
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านั้น บนใบหน้าเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มที่จริงใจและหวนคิดถึง
ตรงประตูสำนักไม่มีคนเฝ้า จนกระทั่งมาถึงด้านในศาลาหนานซงถึงจะมีผู้ดูแลเข้ามาขวางทางพวกเขาเอาไว้ จากนั้นถามถึงเหตุผลที่มาที่นี่
หลิ่วสือซุ่ยแจ้งชื่อไป ผู้ดูแลคนนั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก มือขวาเลื่อนไปจับด้ามกระบี่ทันที
หลังจากนั้นผู้ดูแลคนนั้นก็ได้สติขึ้นมา รู้ว่าตัวเองเสียมารยาท จึงรีบเข้าไปแจ้งอาจารย์เซียนในศาลาหนานซง
อาจารย์เซียนคนนั้นเองก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าควรจะคุยอะไรกับหลิ่วสือซุ่ย จึงรีบส่งเขาเข้าไปในสำนัก
เมื่อมาถึงริมธารสี่เจี้ยน แสงอาทิตย์ยามเที่ยงตกกระทบลงบนผิวน้ำ ส่องประกายสีทองจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อเห็นภาพที่คุ้นเคยเหล่านี้ หลิ่วสือซุ่ยคิดถึงหลายๆ เรื่องขึ้นมาอีกครั้ง
ริมธารมีศิษย์สามสี่คนกำลังล้างกระบี่ น่าจะเพิ่งขึ้นไปหยิบกระบี่ของตนเองลงมาจากยอดเขาอวิ๋นสิง จากสีหน้าและความเคลื่อนไหวแล้ว มองออกว่าพวกเขารักและหวงแหนกระบี่ของตนมาก
อาจารย์เซียนแห่งศาลาหนานซงผู้นั้นพาหลิ่วสือซุ่ยและเสี่ยวเหอมาถึงที่นี่ ก่อนจะส่งต่อพวกเขาให้กับอาจารย์ในหอสี่เจี้ยน
เมื่อได้ยินเสียงพูดคุย ศิษย์สามสี่คนที่อยู่ตรงริมธารหมุนตัวกลับมามองหลิ่วสือซุ่ย คาดเดาได้ว่าเขาเป็นใคร จึงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ข่าวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ศิษย์จำนวนมากจากในหอสี่เจี้ยนและหน้าผาฝั่งตรงข้ามรีบเข้ามา
พวกเขามองหลิ่วสือซุ่ยจากระยะห่างสิบกว่าจ้าง ไม่กล้าเข้าใกล้ และไม่กล้าพูดคุยซุบซิบกัน ดูสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก แล้วก็ดูคล้ายหวาดกลัว
ในเรื่องราวที่พวกเขารู้มาก่อนหน้านี้ หลิ่วสือซุ่ยเป็นศิษย์ทรยศคนหนึ่ง แอบกินตานปีศาจ ฝึกวิชามารของสำนักเสวี่ยหมัว ทำร้ายศิษย์ร่วมสำนักในงานชุมนุมซื่อเจี้ยน ถูกขับออกจากสำนัก จากนั้นแอบไปเข้าร่วมกับปู้เหล่าหลิน ไม่รู้สังหารผู้บำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะไปมากน้อยเท่าไร เรียกได้ว่าทำทุกเรื่องที่ชั่วร้าย
ใครจะไปคิดบ้างว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก
ที่สำนักฝ่ายธรรมะสามารถกำจัดปู้เหล่าหลินและทำลายลานเมฆได้นั้น เขาคือคนที่มีความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เรื่องที่เคยเกิดขึ้นเหล่านั้นล้วนแต่เป็นวิธีที่เขาใช้เพื่อทำให้ปู้เหล่าหลินเชื่อใจ ความผิดที่มิอาจให้อภัยได้ก่อนหน้านี้ เวลานี้ได้กลายเป็นหลักฐานยืนยันถึงความอดทนอดกลั้น มองถึงภาพรวมเป็นสำคัญและความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
ประสบการณ์เช่นนี้ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก การหักมุมเช่นนี้รุนแรงมากเกินไปจนทำให้ในตอนที่เขากลับมายังชิงซาน เหล่าศิษย์หนุ่มสาวไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้าเขาด้วยท่าทีอย่างไร ต่างคนต่างสับสนเป็นยิ่งนัก
ธารสี่เจี้ยนไหลเอื่อย ริมธารเต็มไปด้วยผู้คนยืนอยู่ แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ บรรยากาศดูแปลกประหลาด
เสี่ยวเหอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ นางแอบเหลือบมองดูหลิ่วสือซุ่ย
ในกลุ่มคนพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ทำลายความเงียบบริเวณริมธาร
“ศิษย์พี่ ท่านกลับมาแล้วหรือ?”
ไม่มีใครรู้ว่าศิษย์คนไหนเป็นคนเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา
หลิ่วสือซุ่ยมองไปทางด้านนั้น บนใบหน้าค่อยๆ มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา พลางกล่าวว่า “ใช่ ข้ากลับมาแล้ว”
หลังจากประโยคนี้ ริมธารก็เปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมาทันที
“ยินดีต้อนรับศิษย์พี่กลับสำนัก!”
“ศิษย์พี่ลำบากแล้ว!”
“ศิษย์พี่ยิ่งใหญ่!”
เสียงทักทายที่มีความจริงใจจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นริมธารสี่เจี้ยน
หน้าหอสี่เจี้ยน อาจารย์อาเหมยหลี่แห่งยอดเขาชิงหรงและหลินอู๋จือแห่งยอดเขาเทียนกวงสบตากัน ในสายตาเผยให้เห็นรอยยิ้มชื่นชม
ศิษย์แต่ละยอดเขาที่ทราบข่าวต่างทยอยมา ลำแสงกระบี่สองสว่างหน้าผา
เมื่อเห็นหลิ่วสือซุ่ยที่อยู่ในวงล้อมของกลุ่มคน ศิษย์จากแต่ละยอดเขารู้สึกดีใจเป็นยิ่งนัก อารมณ์เริ่มสับสนขึ้นมาอีกครั้ง ศิษย์หนุ่มสาวที่อยู่ริมธารสี่เจี้ยนเพียงแต่รู้เรื่องราวที่เล่าลือต่อๆ กันมาของหลิ่วสือซุ่ย มิได้รู้รายละเอียดหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในเวลานั้น แต่พวกเขาคือคนที่เห็นเหตุการณ์เหล่านั้น บางคนเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ประสบกับเหตุการณ์เหล่านั้นก็ว่าได้ เมื่อคิดถึงวันเวลาอันยากลำบากของหลิ่วสือซุ่ยตอนอยู่ในชิงซาน พวกเขาพลันรู้สึกผิดขึ้นมา ถึงแม้นั่นจะเป็นแผนการของยอดเขาเหลี่ยงว่าง แต่สายตาดูถูกและการเยาะเย้ยถากถางเหล่านั้นล้วนแต่ออกมาจากตัวพวกเขา
ส่วนศิษย์ยอดเขาเทียนกวงเหล่านั้น เมื่อคิดถึงห้องหินที่ไม่มีใครสนใจบนยอดเขาห้องนั้นก็ยิ่งรู้สึกอับอายขึ้นมา
มีลำแสงกระบี่ตรงมาจากยอดเขาเหลี่ยงว่าง จากนั้นบินลงมาริมธาร
กลุ่มคนเปิดทางออก กั้วหนานซานเดินมาตรงหน้าหลิ่วสือซุ่ย ยื่นมือไปตบไหล่เขา ก่อนกล่าวด้วยความรู้สึกตื่นเต้นว่า “กลับมาก็ดีแล้ว”
กู้หานยืนอยู่ด้านหลังกั้วหนานซาน ยิ้มๆ มิกล่าวกระไร
หลิ่วสือซุ่ยมองเขาพลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “ศิษย์พี่ ช่วงนี้ท่านสบายดีไหม?”
กู้หานตอบกลับอย่างจริงจัง “สบายดี”
หลิ่วสือซุ่ยมองไปทางหม่าหวา ยิ้มพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่ท่านยังอ้วนเหมือนเดิมเลยนะ”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของหม่าหวายิ้มจนเหมือนรอยแยกที่ถูกมีดเฉือนบนหมั่นโถว แต่ถ้าสามารถมองทะลุรอยแยกลงไปถึงดวงตาที่อยู่ด้านล่างได้ ก็จะพบว่ารอยยิ้มของเขานี้มีความฝืนอยู่เล็กน้อย
หลิ่วสือซุ่ยหมุนตัวกลับมากล่าวกับเจี้ยนหรูอวิ๋นว่า “คารวะศิษย์พี่สี่”
“กลับยอดเขาก่อนเถอะ มีบางเรื่องต้องคุยกันหน่อย จากนั้นค่อยไปหาท่านเจ้าสำนัก”
เจี้ยนหรูอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จากนั้นมองดูเสี่ยวเหอ สองคิ้วขมวดขึ้นมา เผยให้เห็นสีหน้าที่ดูรังเกียจ
หลิ่วสือซุ่ยมิได้สังเกตเห็นสีหน้าของเขา เมื่อได้ยินคำพูดนี้จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ขณะเตรียมตอบรับ จู่ๆ พลันมีเสียงเสียงหนึ่งดังออกมาจากในกลุ่มคน
เสียงนั้นฟังดูอ่อนโยน คล้ายกับสายลมก็มิปาน พัดผ่านผิวน้ำ เกิดเป็นระลอกคลื่นเล็กน้อย
“ศิษย์พี่ทุกท่าน ข้าขอคุยกับสหายหลิ่วสักเล็กน้อยได้หรือไม่?”
เมื่อเห็นหญิงสาวชุดขาวผู้นั้น ศิษย์ชิงซานที่อยู่ริมธารค่อนข้างตกใจ
หญิงสาวชุดขาวดูบอบบาง คล้ายกิ่งหลิวที่อยู่ในสายลม ทำให้คนที่ได้เห็นเกิดความรู้สึกอยากจะปกป้องคุ้มครอง
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิ่วสือซุ่ยได้พบไป๋เจ่า
……
……
เห็นได้ชัดว่ากั้วหนานซานและศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างต่างรู้ว่าไป๋เจ่าจะคุยอะไรกับหลิ่วสือซุ่ย จึงมิได้ห้ามปราม หากแต่รอคอยอยู่ริมธาร
สถานที่พูดคุยของไป๋เจ่าและหลิ่วสือซุ่ยคือห้องเรียนห้องหนึ่งในหอสี่เจี้ยน
เป็นห้องเรียนที่หลินอู๋จือให้พวกเขาใช้
เขามองดูเสี่ยวเหอที่เฝ้าอยู่หน้าประตู กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเป็นจิ้งจอกสินะ?”
เสี่ยวเหอตกใจ นางไม่รู้ว่าหลินอู๋จือเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักชิงซาน ในใจครุ่นคิดว่าแค่คนสอนหนังสือก็สามารถมองตัวตนของตัวเองออกแล้วหรือ สำนักชิงซานช่างล้ำลึกเหลือประมาณ จึงกล่ามถามอย่างไม่สบายใจว่า “สำนักชิงซาน…ไม่ชอบเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือคะ?”
หลินอู๋จือยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ข้าเป็นคนสอนหนังสือ สอนทุกคนไม่แบ่งชั้นวรรณะ ไม่สนใจเรื่องนี้ แต่ว่ามีบางคนที่สมองมีปัญหา อาจจะคิดไม่เหมือนกันได้”
เสี่ยวเหอกล่าวอย่างหวาดกลัว “เช่นนั้นจะทำอย่างไร?”
หลินอู๋จือกล่าวถาม “เจ้าเป็นอะไรกับศิษย์น้องหลิ่ว?”
เสี่ยวเหอลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “นางบำเรอ?”
หลินอู๋จือกล่าวอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้”
เสี่ยวเหอผิดหวัง ในใจครุ่นคิดว่าเมื่อครู่ท่านบอกว่าไม่สนใจเรื่องนี้มิใช่หรือ
หลินอู๋จือกล่าว “สำนักชิงซานเป็นสำนักฝ่ายธรรมะ ลูกศิษย์จะมีนางบำเรอได้อย่างไร?”
เสี่ยวเหอถึงได้รู้ว่าที่แท้เขาหมายความเช่นนี้ จึงลืมตาโต กล่าวถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร?”
หลินอู๋จืออุทานชื่นชม “สมกับเป็นนางจิ้งจอกจริงๆ…”
เสี่ยวเหอกล่าวอย่างน้อยใจ “ที่แท้อาจารย์เซียนเพียงแค่ล้อข้าเล่น”
หลินอู๋จือหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามีใจให้กัน ก็เป็นคู่รักบำเพ็ญพรตเสียก็สิ้นเรื่อง เหตุใดต้องมาถามข้า?”
เสี่ยวเหอถอนใจออกมา กล่าวว่า “ข้ากลัวเรื่องกฎเกณฑ์อันเข้มงวดของสำนักท่าน อาจารย์จะไม่อนุญาตเอาได้”
หลินอู๋จือกล่าว “กฎสำนักไม่มีข้อกำหนดเรื่องนี้ ส่วนเรื่องอาจารย์…อาจารย์คนก่อนของศิษย์น้องหลิ่ว ตอนนี้คงจะไม่มีหน้ามาต่อว่าอะไรเขาแน่ น่าจะไม่เป็นอะไรหรอก”
สายตาเสี่ยวเหอขยับเล็กน้อย ก่อนกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “อย่างนั้น…อาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วล่ะคะ?”
………………………………………………………….
[1]ตงจิ่ง คือ ชื่อกลุ่มดาวกลุ่มหนึ่ง