มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 10 หนึ่งคนที่ไม่ได้บรรลุ
ตอนที่เจ้าสำนักและหยวนฉีจิงเดินทางไปยังทะเลตะวันตก เดิมนั่นคือโอกาสที่ดีที่สุดที่ฟางจิ่งเทียนจะได้ฆ่าคนปิดปาก แต่เขาไม่ได้ปรากฏตัว จะต้องเป็นเพราะมีคนบอกเขาอย่างแน่นอน
ในบรรดาคนที่จิ๋งจิ่วสงสัยนั้นมีเจ้าสำนักและหยวนฉีจิง แล้วก็มีไป๋กุ่ยอยู่ด้วย แต่เขาลืมผู้ที่มีสายตาดีที่สุดในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานผู้นั้นไป
เขาลูบป้ายไม้ไผ่ที่อยู่ในมือ ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้
เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงว่าเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลฟางจิ่งเทียนก็เป็นศิษย์ของคนผู้นั้น หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่ก็ถามออกมาว่า “หากเจ้าบอกว่าผู้บำเพ็ญพรตมักจะรับศิษย์ในตอนที่อายุมากแล้ว เช่นนั้นเหตุใดนักพรตไท่ผิงถึงรับศิษย์เร็วขนาดนี้ อีกทั้งยังรับเอาไว้จำนวนมากขนาดนี้ด้วย?”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเอ่ยถึงชื่อนี้และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชื่อนี้ออกมาต่อหน้าจิ๋งจิ่ว
นางอยากจะแสดงความใจเย็นและสุขุม แต่เสียงของนางกลับสั่นเครือเล็กน้อย
“ความคิดของคนผู้นั้นพิเศษอย่างมาก เขาไม่เคยเชื่อเรื่องกรรมอะไรพวกนั้นเลย แล้วก็ย่อมไม่มีทางกลัวด้วย เขาคิดว่าคนที่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ก็ควรบำเพ็ญเพียร เขายังเชื่อเรื่องที่บอกว่าคนยิ่งเยอะก็ยิ่งมีพลังมาก ดังนั้นเขาจึงเริ่มรับศิษย์ตั้งแต่อายุยังน้อย…”
จิ๋งจิ่วชะงักไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อว่า “หากไม่เป็นเพราะเขาไม่สามารถจินตนาการถึงการสืบทอดทางสายเลือดของตัวเองได้ เกรงว่าเขาคงจะมีลูกไปหลายหมื่นคนแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยไม่สามารถเข้าใจได้ ในใจครุ่นคิดว่าความคิดของนักพรตไท่ผิงช่างแปลกประหลาดเสียจริง
นี่เป็นเพราะจิ๋งจิ่วไม่ได้บอกความคิดของไท่ผิงออกมาจนหมด มิเช่นนั้นเจ้าล่าเยวี่ยคงไม่รู้สึกแปลก หากแต่จะเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างมากแทน
ก็เหมือนอย่างจิ๋งจิ่วในเวลานี้ ถึงแม้จะผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว แต่เมื่อคิดถึงความคิดของไท่ผิงขึ้นมาอีกครั้ง เขายังคงรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างมากอยู่
บนโลกนี้ สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหนาวเย็นและไม่สบายใจได้นั้นมีอยู่น้อยมาก ความคิดอันชั่วร้ายอันนั้นย่อมต้องอยู่ในอันดับแรก
“แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าในความคิดของคนผู้นั้น อย่างนั้นก็มีบางส่วนที่ถูกอยู่”
จิ๋งจิ่วกล่าว “หากไม่เป็นเพราะเขารับเอาหลิ่วฉือและหยวนฉีจิงเป็นศิษย์ไว้แต่แรก การจะเอาชิงซานกลับมาคงไม่ง่ายดายเช่นนั้น”
แน่นอน ลำพังแค่มีหลิ่วฉือและหยวนฉีจิงคอยช่วยนั้นยังไม่พอ อาจารย์อาและอาจารย์ลุงเหล่านั้น แล้วยังมีเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ในยอดเขาซ่อนเร้นล้วนแต่สภาวะสูงส่งเป็นอย่างมาก ถึงแม้เขาและศิษย์พี่จะแข็งแกร่ง แต่การจะบดขยี้อีกฝ่ายทั้งหมดยังคงเป็นเรื่องที่เปลืองแรงอย่างมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีกำลังจากที่อื่น
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าล่าเยวี่ยได้ฟังความลับเมื่อในอดีตเหล่านั้น นางลืมตาโตพลางกล่าว “หรือว่านักพรตไท่ผิงไปขอความช่วยเหลือจากภายนอก?”
“เรื่องของชิงซาน จะให้คนอื่นสอดมือเข้ามายุ่มย่ามได้อย่างไร”
จิ๋งจิ่วมองไป๋กุ่ยที่อยู่ในอ้อมอกนาง
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจความหมายของเขา ร่างกายที่เดิมเคยชินแล้วกลับแข็งเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนกล่าวว่า “เหล่าผู้พิทักษ์ควรจะรักษาจุดยืนที่เป็นกลางมิใช่หรือ?”
ไป๋เจ่าลืมตามองจิ๋งจิ่ว มิได้กล่าวกระไร จากนั้นหลับตาลงอีกครั้งแล้วนอนหลับต่อ
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ผู้พิทักษ์เองก็เป็นผู้บำเพ็ญพรต ย่อมต้องมีความปรารถนาของตัวเองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการบรรลุเป็นเซียน หรือว่าอายุขัยที่มากกว่าเดิม”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “นักพรตไท่ผิงไปสัญญาอะไรกับพวกเขาเอาไว้?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ตอนนั้นเขาพูดเพียงแค่ประโยคเดียว”
เป็นเพราะประโยคนั้น ผู้พิทักษ์สองท่านจึงมายืนอยู่ข้างศิษย์พี่และเขา พวกเขาถึงได้สามารถสยบแต่ละยอดเขา และควบคุมสถานการณ์ในชิงซานมาได้จนถึงทุกวันนี้
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวถามอย่างสงสัย “พูดว่าอะไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “หนึ่งคนบรรลุ ไก่หมาขึ้นสวรรค์”
เจ้าล่าเยวี่ยถึงได้รู้ว่าที่แท้เป็นซือโก่วและท่านอินเฟิ่ง
ในตอนที่ศิษย์ชิงซานจะผ่านจากประตูนอกสำนักเข้ามายังธารสี่เจี้ยน พวกเขาจะต้องเข้าไปในหอเล็กหลังหนึ่ง ภายในหอมีภาพเหมือนของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ชิงซานแขวนเอาไว้อยู่ ภาพที่สะดุดตาที่สุดในนั้นก็คือภาพเหมือนของเจ้าสำนักรุ่นก่อนๆ ไม่มีใครเคยคิดมาก่อนว่าลำดับการจัดวางภาพเหมือนเหล่านั้นดูเหมือนเรียบง่าย แต่ความจริงแล้วกลับแอบซ่อนความลับเอาไว้อย่างมากมาย
สำหรับพวกเขาแล้ว การสืบทอดของชิงซานไม่เคยขาดตอนมาก่อน นับตั้งแต่ท่านปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักจนมาถึงนักพรตเต้าหยวน แล้วก็มาถึงนักพรตไท่ผิง กระทั่งเจ้าสำนักในตอนนี้ การสืบทอดชัดเจนเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีใครรู้ว่าในช่วงก่อนที่นักพรตไท่ผิงจะกลับมาควบคุมชิงซานอีกครั้งได้เคยเกิดเรื่องราวต่างๆ มากมายขนาดนั้น
การสืบทอดของยอดเขาต่างๆ ในอดีตเหล่านั้น ในตอนนี้ได้สูญหายไปในสายธารแห่งประวัติศาสตร์แล้ว ผู้อาวุโสจากสายสืบทอดอื่นที่มีสภาวะลึกล้ำ บางคนถูกสังหารไปในตอนนั้น บางคนถูกจับไปขังไว้คุกกระบี่ บางคนหลบเข้าไปในยอดเขาซ่อนเร้นแล้วสาบานว่าจะไม่ออกมาอีก หลังผ่านไปหลายร้อยปี ผู้อาวุโสที่ถูกขังอยู่ในคุกกระบี่และหลบไปอยู่ในยอดเขาซ่อนเร้นเหล่านั้นจะยังมีชีวิตอยู่อีกสักกี่คน?
ชิงซานในตอนนี้เหลือเพียงสายสืบทอดของนักพรตไท่ผิงเพียงคนเดียวเท่านั้น
ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานล้วนแต่เป็นยอดเขาซั่งเต๋อ คำพูดนี้กล่าวไม่ผิด
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ หรือว่าประวัติศาสตร์เช่นนี้มันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง?
ถึงแม้ใจแห่งเต๋าของนางจะหนักแน่นเพียงใด แต่นางก็ยังอดรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาไม่ได้ นางมองจิ๋งจิ่วอย่างตกตะลึง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
ตอนนั้นชิงซานประกาศว่านักพรตไท่ผิงเก็บตัวไม่ออกมา ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น อย่างนั้นครั้งนี้เจ้าจะควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้หรือไม่?
“ไม่ต้องกังวลไป สุดท้ายมันก็เป็นการแย่งชิงภายใน ไม่ถึงกับตายหรอก”
จิ๋งจิ่วยื่นมือไปลูบศีรษะของนาง พลางกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเวลาอีกมากให้ค่อยๆ เตรียมตัว”
อายุขัยของผู้บำเพ็ญพรตยืนยาว มีเวลามากมาย ยิ่งไปกว่านั้นเวลาและกำลังส่วนใหญ่ของพวกเขาล้วนแต่ใช้ไปกับการบำเพ็ญเพียร ดังนั้นหลายๆ เรื่องจึงดำเนินไปอย่างเชื่องช้า
แม้แต่การดำเนินแผนการชั่วร้ายก็เชื่องช้าอย่างมากเช่นกัน
ด้านนอกถ้ำมีเสียงดังขึ้น ไม่รู้ว่ายอดเขาไหนส่งจดหมายกระบี่มา
เจ้าล่าเยวี่ยเอาแมวขาววางกลับไปบนตั่งหยกเหมันต์ จากนั้นเดินออกไปนอกถ้ำ
“ตื่น”
จิ๋งจิ่วกล่าว
แมวขาวลืมตาขึ้นมองเขา
จิ๋งจิ่วกล่าว “อาต้า มีคนอยากจะฆ่าข้า”
ตรงหน้าตั่งหยกเหมันต์เงียบสงัด
แมวขาวคิดในใจ มีคนอยากจะฆ่าเจ้าอยู่ตลอดนั่นแหละ เพียงแต่ฆ่าไม่ได้เสียที
หากทำได้ล่ะก็ เจ้าตายไปนานแล้ว บางทีอาจจะตายอย่างมีเกียรติอยู่ใต้อุ้งเล็บข้านี่แหละ
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด”
ม่านตาของแมวขาวหดเล็ก ดูค่อนข้างชั่วร้าย
“ไม่มีใครชอบเจ้า”
“เพราะอะไร?”
“หรือเป็นเพราะเหงา เพราะเบื่อ? ก็ต้องเป็นเพราะอิจฉาน่ะสิ เจ้าโง่”
“อย่างนี้นี่เอง”
“เจ้าไม่รู้สึกผิดหวัง น้อยใจ หรือว่าเศร้าใจบางหรือ?”
“การเป็นที่ต้องการ เป็นที่รัก นั่นคือความปรารถนาทางด้านจิตใจของคนธรรมดา เจ้าและข้าเป็นผู้บำเพ็ญพรต เหตุใดต้องสนใจสิ่งเหล่านี้”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ จิ๋งจิ่วมองดูป้ายไม้ไผ่รูปไก่ฟ้า ก่อนจะเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นเดินออกไปนอกถ้ำ
แมวขาวมองดูแผ่นหลังของเขา พลางครุ่นคิดอย่างเฉยชา เสแสร้ง เสแสร้งเข้าไป
……
……
จิ๋งจิ่วเดินไปยังริมผา มองดูแต่ละยอดเขาที่อยู่ในทะเลหมอก ดูค่อนข้างโดดเดี่ยว
เจ้าล่าเยวี่ยเดินไปข้างกายเขา ความรู้สึกของภาพดูเปลี่ยนไป
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่มีใครชอบข้าเลย รู้สึกล้มเหลวจัง”
เขาหมายถึงไก่ปีศาจเยาจี
เจ้าล่าเยวี่ยนึกว่าเขาหมายถึงฟางจิ่งเทียน จึงกล่าวถามว่า “ในเมื่อเจ้าสำนักและกฎแห่งกระบี่ต่างรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร เหตุใดจึงไม่ห้ามเขา?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หลิ่วฉือกับหยวนฉีจิงยังคงรู้สึกผิดต่อคนผู้นั้นอยู่ สำหรับพวกเขาแล้ว การที่ฟางจิ่งเทียนจะทำอะไรเพื่อคนผู้นั้น เดิมก็ไม่ถือเป็นเรื่องที่ผิดอะไร”
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจความหมายของเขา หากฟางจิ่งเทียนจะทำอะไรจริงๆ เจ้าสำนักและกฎแห่งกระบี่จะต้องลงมือแน่นอน แต่ถ้าหากเป็นแค่ความคิด ใครจะไปพูดอะไรได้ล่ะ?
ศิษย์คิดล้างแค้นให้อาจารย์ นี่เป็นเรื่องที่สมควรที่สุดบนโลกนี้แล้ว
“มีศิษย์นี่ดีจริงๆ”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกว่า “ข้าค่อนข้างโดดเดี่ยว”
ยากมากที่เขาแสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมา หรือพูดอีกอย่างก็คือยากมากที่เขาจะมีอารมณ์อะไรบางอย่าง
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขาพลางกล่าวอย่างจริงจัง “ตอนนี้ก็มีพวกข้าอยู่มิใช่หรือ?”
จิ๋งจิ่วพบว่าเป็นจริงดั่งว่า ยอดเขาเสินม่อที่โดดเดี่ยวที่สุดในชิงซานยิ่งคึกคักขึ้นเรื่อยๆ เพราะวานรและคนในยอดเขามีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
เขายิ้มขึ้นมาอย่างพึงพอใจ ทะเลเมฆที่อยู่ด้านนอกหน้าผาดูงดงามมากขึ้นกว่าเดิม
……………………….