มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 103 สามเกียจคร้านในใต้หล้า (1)
ในอดีตตอนที่อยู่ในสวนดอกเหมยเก่าในเมืองเจาเกอ เซ่อเซ่อเคยมอบกระดิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างมากคู่หนึ่งให้แก่จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ย
กระดิ่งของจิ๋งจิ่วในเวลานี้ถูกเอาไปผูกไว้ที่คอของหลิวอาต้า
เจ้าล่าเยวี่ยรับปากว่าจะมอบกระบี่ชั้นยอดให้เซ่อเซ่อเล่มหนึ่ง ภายหลังก็ได้มอบให้แล้ว
จิ๋งจิ่วรับปากนางว่าจะทำเรื่องหนึ่งให้ เรื่องอะไรก็ได้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ทำ
ในตอนนั้นลั่วไหวหนานและองค์ชายจิ่งซินต่างไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของเขา เพราะคำว่าอะไรก็ได้มักจะหมายถึงอะไรก็ไม่ได้
จิ๋งจิ่วเชื่อว่าเซ่อเซ่อจะไม่ทำให้ตัวเองลำบากใจ
เพียงแต่ในตอนที่เอากระดิ่งให้จักรพรรดิแห่งหมิงใช้ในคุกสะกดมาร เขาเคยคิดว่านางจะโกรธเขาเพราะเรื่องนี้หรือไม่ ถ้าเกิดนางให้ตัวเองไปสังหารผู้อาวุโสในสำนักเสวียนหลิงทั้งหมดจะทำอย่างไร?
ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเดาถูกแล้ว หากเขาจะไปฆ่าเหล่าไท่จวินของสำนักเสวียนหลิง นั่นมิเท่ากับว่าต้องฆ่าเหล่าผู้อาวุโสของสำนักเสวียนหลิงจนหมดก่อนหรือ?
ที่เขาเคยคิดเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะเขาคาดการณ์ได้ถึงเรื่องราวต่างๆ หลายเรื่อง
ไม่ว่าการทำนายของเทียนจิ้นเหรินในตอนนั้นจะถูกต้องหรือไม่ สุดท้ายเหล่าไท่จวินก็เป็นคนที่ต้องตาย และยิ่งนางใกล้ตาย ปัญหาของแม่ของเซ่อเซ่อก็จะยิ่งใหญ่โต
การให้เลือกระหว่างย่ากับแม่ ไม่ว่าจะสำหรับใครก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ยากลำบาก โดยเฉพาะสำหรับสาวน้อยที่โตขึ้นมาด้วยการถูกตามใจอย่างเซ่อเซ่อด้วยแล้วล่ะก็
ในเสียงหัวเราะที่เหมือนเสียงกระดิ่งของนางไม่รู้ว่าแอบซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้มากน้อยเท่าไร
เขาลูบศีรษะของเซ่อเซ่อ
เซ่อเซ่อซบลงไปในอ้อมอกเขา กล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่ามีผู้หญิงมากน้อยเท่าไรที่อยากจะมาซบอยู่ในอ้อมอกของเจ้าเช่นนี้? ถึงแม้จะรู้ว่านี่เป็นเพราะเจ้ามิได้มองข้าเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็ยังดีใจ เพราะยังไงซะพวกนางก็ซบไม่ได้”
ในขณะที่พูด บนใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไร
“เออใช่ เจ้ารู้ไหมว่าเหอจานไปไหน? ตอนนั้นเขาบอกว่าจะพาข้าไปเผิงไหล ไปกินปลาย่างที่อร่อยกว่าต้าเจ๋อ แต่ไปๆ มาๆ ก็หายไปหลายปีแล้ว”
เสียงของเซ่อเซ่อเบาลงเรื่อยๆ จนเกือบจะไม่ได้ยิน
จิ๋งจิ่วก้มหน้ามองดูหยดน้ำตาบนใบหน้าของนาง มือขวาลูบเส้นผมของนาง ครุ่นคิดเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เขาอยู่วัดกั่วเฉิง ครั้งนี้ก็มาด้วย”
เซ่อเซ่อส่งเสียงแปลกใจ ก่อนจะจับแก้มเขามาหอมไปทีหนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นถลาลงไปทางด้านล่างภูเขา ทิ้งเสียงหัวเราะเอาไว้
เสียงกระดิ่งเพราะจริงๆ
จิ๋งจิ่วคิดเช่นนี้จริงๆ เขาใช้มือเช็ดใบหน้า เพลิงกระบี่ไล้ผ่าน กลับมาสะอาดสะอ้านอีกครั้ง
จากนั้นเขาเริ่มครุ่นคิดต่อ
ยันต์เซียนวัฒนะเขาต้องเอามาให้ได้ ดังนั้นต้องเตรียมการอะไรบางอย่าง
ไป๋เจ่าเคยพูดถึงดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่ง เขารู้ว่ามันคืออะไร
สำนักจงโจวมีของวิเศษอยู่ชิ้นหนึ่งที่สามารถนำเอาจิตของผู้บำเพ็ญพรตเข้าไปในโลกแห่งความฝันได้ ว่ากันว่าทุกอย่างในโลกแห่งความฝันล้วนแต่เหมือนจริง เมื่ออยู่ในนั้นจะสามารถรับรู้ได้ถึงฟ้าดิน เรื่องราวบนโลก นิสัยคน —- การใช้ชีวิตบำเพ็ญเพียรอยู่ในโลกแห่งความฝัน ใช้วันเวลาชะล้างใจแห่งเต๋า ก็เหมือนกับการธุดงด์ในโลกปุถุชนของวัดกั่วเฉิง เพียงแต่เป็นเพราะความต่างของเวลาในโลกแห่งความจริงและโลกแห่งความฝัน กระบวนการรับรู้สิ่งต่างๆ ภายในโลกแห่งความฝันจึงถูกบีบให้หดสั้นลงได้ แต่แน่นอนว่าสิ่งที่ได้รับย่อมไม่อาจเหมือนจริงเหมือนอย่างการลงมาเดินในโลกปุถุชน
จิ๋งจิ่วคิดขึ้นมาว่าเมื่อครู่น่าจะขอของบางอย่างมาจากเซ่อเซ่อ
ห่างออกไปมีเสียงดนตรีดังลอยขึ้นมา การเทศนาธรรมในวันนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว
จิ๋งจิ่วเดินลงไปทางด้านล่างภูเขา มองหาศิษย์สำนักจงโจวผู้หนึ่ง จากนั้นถามว่าสมณะของวัดกั่วเฉิงพักอยู่ที่ไหน
ศิษย์สำนักจงโจวผู้นั้นพาเขาไปยังหุบเขาทางด้านตะวันออกแห่งหนึ่ง ก่อนจะบอกลา
ท้องฟ้ายามเย็นมาเยือน วัดสองสามแห่งที่อยู่ในหุบเขายิ่งดูเงียบสงัด
วัดกั่วเฉิง สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยและสำนักฌานเป่าทงล้วนแต่พักอยู่ในหุบเขาแห่งนี้
สำนักจงโจวเป็นสำนักพลังจักรวาล แต่กลับมีวัดมากมายขนาดนี้ ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าสำนักจงโจวเปิดกว้างหรือว่าชอบความหรูหรา
ในตอนที่จิ๋งจิ่วเดินไปถึงวัดที่สมณะของวัดกั่วเฉิงพัก ไป๋เจ่าก็รอเขาอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของสำนักจงโจว วันนี้น่าจะยุ่งวุ่นวายถึงจะถูก แต่นางกลับมาปรากฏตัวที่นี่ จะต้องเป็นศิษย์สำนักจงโจวก่อนหน้านี้เป็นคนแจ้งนางอย่างแน่นอน
จิ๋งจิ่วย่อมต้องคิดถึงสาเหตุได้ เพียงแต่เขาไม่ได้คิด เขากล่าวว่า “ข้ามาหาคน”
ไป๋เจ่าได้ยินเสียงดังมาจากในวัด กล่าวว่า “ถึงแม้จะไม่รู้ว่าท่านมาหาใคร แต่ก็น่าจะยังอยู่ด้านใน”
ประตูไม้ของอารามใหญ่ปิดสนิท เซ่อเซ่อเขย่งปลายเท้ามองดูด้านใน มือเล็กๆ เคาะประตูไม่หยุด กล่าวตะโกนว่า “แน่จริงก็มาเปิดประตูให้ข้าสิ!”
จิ๋งจิ่วและไป๋เจ่าไม่ได้เดินเข้าไป หากแต่มองดูอยู่ไกลๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดประตูอารามก็เปิดออก
เซ่อเซ่อเดินเข้าไปอย่างโมโห แต่เมื่อเห็นร่างที่นั่งคุกเข่าอยู่บนอาสนะ หันหน้าไปทางพระพุทธรูปโบราณ ใจของนาพลันอ่อนลงทันที
นางเดินไปด้านหลังเหอจาน กล่าวว่า “ต่อให้….เป็นพระแล้ว ก็ไม่ต้องเศร้าขนาดนี้หรือเปล่า? นี่ถึงขนาดหลบหน้าข้า”
เหอจานได้ยินคำปลอบใจที่ฟังดูเหลวไหลของเซ่อเซ่อ จึงถอนใจออกมาพลางกล่าวว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร?”
เซ่อเซ่อนั่งยองๆ อยู่ด้านข้างเขา มองดูใบหน้าเขา ในสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นและอยากลอง
เหอจานโกนผมออกจนหมด หนวดเคราเองก็โกนจนเกลี้ยงเกลา ใบหน้ากลับดูอ่อนเยาว์กว่าเดิมมาก
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของเซ่อเซ่อ เขาก็กล่าวเตือนอย่างระแวงว่า “ห้ามจับหัวข้า”
เมื่อถูกอีกฝ่ายคาดเดาความคิดถูก เซ่อเซ่อก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาเล็กน้อย นางกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงเศร้าเสียใจ เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามาสิ”
เหอจานกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “เพื่อนของข้าหักหลังพวกเดียวกันเอง สุดท้ายทำให้เพื่อนของข้าคนหนึ่งต้องตายไป เจ้าว่าข้าเป็นตัวอะไร?”
เซ่อเซ่อกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “นั่นเป็นเรื่องของเพื่อนเจ้า เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
เหอจานกล่าวว่า “มองคนไม่ออก ทำให้เกิดเรื่องร้าย หรือว่านี่ไม่ใช่ความผิดข้า?”
เซ่อเซ่อกล่าวว่า “จริงอยู่ที่เจ้าตาบอด แต่นั่นมันก็เป็นปัญหาของคนๆ นั้น ปัญหาของเจ้าไม่ถือว่าร้ายแรง”
“ตั้งแต่เล็กข้าไม่มีพ่อแม่ จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าพ่อแม่ตัวเองเป็นใคร เพิ่งจะรู้ประวัติความเป็นมาของแม่ ข้างกายก็เกิดเรื่องใหญ่ แค่นี้ก็เห็นได้แล้วว่าข้ามันเป็นตัวอัปมงคล”
เหอจานนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ข้าคิดว่า…ต่อไปเจ้าอย่ามาหาข้าจะดีกว่า”
เซ่อเซ่อโมโหอย่างมาก กล่าวว่า “ตอนที่พ่อของข้าตาย ข้าจำอะไรไม่ได้เลย นับตั้งแต่ที่ข้าจำได้ ย่าของข้าก็กลัวว่าแม่ข้าจะแต่งงานใหม่ ทุกวันคิดแต่ว่าจะฆ่านางอย่างไร จากนั้นให้ข้าขึ้นเป็นเจ้าสำนักต่อ เพราะอย่างไรเสียข้าก็แซ่เต๋อ เท่ากับว่าการมีอยู่ของข้าก็คือเหตุผลที่แม่ข้าจะต้องตาย อย่างนั้นลูกสาวอย่างข้าถือเป็นตัวอะไร?”
กล่าวจบประโยคนี้ นางก็เศร้าเสียใจเป็นยิ่งนัก ในดวงตาเต็มไปด้วยหยดน้ำตา
เหอจานเหลียวหน้ามามองนาง ในใจรู้สึกทนไม่ได้ กล่าวปลอบนางว่า “อย่าร้องๆ”
เซ่อเซ่อยิ่งร้องไห้หนักขึ้น เสียงร้องไห้ดังสะท้อนไปมาด้านหน้าพระพุทธรูป
เหอจานลังเลอยู่ครู่ก่อนกล่าวว่า “ถ้ายังไง…ข้าพาเจ้าไปย่างปลากินดีไหม?”
เซ่อเซ่อหัวเราะขึ้นมาทันที นางเช็ดน้ำตาพลางกล่าวว่า “เอาสิ”
เหอจานเองก็ยิ้มขึ้นมาอย่างเหนื่อยใจ ไม่รู้ว่าที่นางร้องไห้นั้นจริงหรือปลอม
เซ่อเซ่อพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา กล่าวว่า “แต่ที่นี่คือเขาอวิ๋นเมิ่งนะ ไปจับปลามาเผาจะไม่เป็นอะไรหรือ?”
เหอจานกล่าว “ไม่ต้องกลัว ข้ามีเพื่อนอยู่ในสำนักจงโจว”
ในตอนที่พูดถึงคำว่าเพื่อนขึ้นมา สีหน้าของเขาก็ดูไม่ค่อยธรรมชาติขึ้นมา
ที่แท้เดิมเขาไม่ได้อยากมาที่เขาอวิ๋นเมิ่ง ด้วยตัวว่าจะเจอกับเพื่อนผู้นั้น ที่บอกว่าไม่มีหน้าจะมาพบก็คือเช่นนี้
……………………………………………………………………..