มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 106 ประกายไฟเต็มท้องฟ้าถามเจ้าว่าไหวไม่ไหว (2)
ก่อนหน้านี้ที่เขาสามารถเป็นฝ่ายบุกโจมตีอยู่ตลอดได้ ก็เนื่องด้วยเหตุผลนี้
“ข้าเคยบอกแล้ว สายตาเจ้าไม่ไหว” จิ๋งจิ่วกล่าว
จัวหรูซุ่ยรับรู้ถึงกระบี่ของตนเอง พบว่าการโคจรปราณกระบี่ติดขัดขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายได้รับผลกระทบอะไรบางอย่าง
จิ๋งจิ่วพลันหมุนตัวมองไปทางด้านนอกหุบเขา จากนั้นมองไปทางไป๋เจ่า
ไป๋เจ่าเองก็รับรู้ได้ จึงพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า นางกำลังบอกว่าตนเองก็ไม่สามารถใช้ข่ายพลังกันอาจารย์เหล่านั้นเอาไว้ด้านนอกแบบนี้ไปเรื่อยๆ ได้
จิ๋งจิ่วมองไปทางจัวหรูซุ่ย กล่าวว่า “เร็วหน่อย”
จัวหรูซุ่ยกล่าว “อย่างนั้นท่านก็ยอมแพ้เสียสิ”
ทันทีที่พูดจบ ประกายไฟก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้ประกายไฟไม่ได้ปรากฏขึ้นตรงที่อื่นภายในหุบเขา อย่างเช่นบริเวณหน้าผา อย่างเช่นริมธาร หากแต่ปรากฏอยู่แค่ตรงพวกเขาสองคน
พวกเขาอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่สิบจ้าง ประกายไฟจำนวนมากขนาดนี้ปรากฏขึ้นพร้อมกันที่นี่ หนาทึบแน่นขนัด คล้ายกลายเป็นคันฉ่องแสงบานหนึ่ง แสบตาเป็นอย่างมาก
เซ่อเซ่อและหญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยผู้นั้นเอามือปิดหน้า มีแค่ดวงตาที่โผล่ออกมา ดูน่ารักยิ่งนัก
สีหน้าเหอจานเคร่งเครียด พบว่าหากเป็นตัวเองจะต้องไม่สามารถรับการโจมตีที่คลุ้มคลั่งเหมือนดั่งห่าฝนนี้ได้แน่
จัวหรูซุ่ยแข็งแกร่งจริงๆ อายุเพียงเท่านี้ก็สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของวิถีกระบี่แห่งชิงซานได้แล้ว ปราณกระบี่มหาศาล เพลงกระบี่ดุดัน ช่างเหมือนกับสัตว์ประหลาดจริงๆ
ปัญหาอยู่ที่ว่า เหตุใดจิ๋งจิ่วจึงรับมือได้?
ไป๋เจ่าค่อนข้างเป็นห่วงจิ๋งจิ่ว เพราะว่ากระบี่ของจิ๋งจิ่วนั้นเสียเปรียบจริงๆ
จัวหรูซุ่ยเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนักชิงซาน
กระบี่บินของเขาดูเหมือนธรรมดา แต่ความจริงแล้วระดับชั้นมิธรรมดา เกรงว่าจะเหนือกว่ากระบี่ทะเลครามของกั้วหนานซานเสียด้วยซ้ำ ถือเป็นกระบี่เซียนชั้นสูงที่แท้จริง
ต่อให้วิถีกระบี่ของจิ๋งจิ่วจะไม่ได้ด้อยไปกว่าจัวหรูซุ่ย แต่กระบี่ที่น่าเกลียดเล่มนั้นจะรับการโจมตีที่คุ้มคลั่งเช่นนั้นได้อย่างไร?
ประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในม่านตาของถงเหยียน
เขาเองก็มองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จิ๋งจิ่วจะโจมตีกลับหรือมีโอกาสชนะเลย จึงรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ
……
……
“ศิษย์หลานไป๋ โปรดคลายข่ายพลังด้วย”
ในท้องฟ้ายามค่ำคืนพลันมีเสียงทุ้มต่ำและเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้น
ไป๋เจ่าฟังออกว่านั่นเป็นเสียงของผู้อาวุโสเยวี่ยเชียนเหมิน จึงจนปัญญา ได้แต่ต้องคลายข่ายพลังที่อยู่ด้านนอกหุบเขาออก
ทันทีที่ข่ายพลังถูกคลายออกก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศดังแน่นขนัด จากนั้นมองเห็นลำแสงหลายสิบสายส่องสว่างท้องฟ้ายามค่ำคืน
แม้นจะได้รับการเตือนมาก่อนล่วงหน้า แต่จิ๋งจิ่วก็คิดไม่ถึงว่าระดับของวิถีกระบี่ของเด็กคนนี้จะยอดเยี่ยมจริงๆ สุดท้ายก็ยังทำให้เขาอวิ๋นเมิ่งรู้ตัวได้
คนจากสำนักจงโจวและสำนักชิงซาน แล้วยังมีผู้เข้าร่วมงานคนอื่นอย่างสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย สำนักคุนหลุน สำนักต้าเจ๋อต่างรีบเดินทางมาเมื่อทราบข่าว พวกเขามองจากบนฟ้าลงมายังเบื้องล่าง
ภาพภายในหุบเขาปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน
ประกายไฟเต็มท้องฟ้า จิ๋งจิ่วและจัวหรูซุ่ยอยู่ในนั้น
ข่ายพลังถูกคลายออก ลมจากด้านนอกหุบเขาไหลทะลักเข้ามา พัดพาเอาประกายไฟเหล่านั้นลอยขึ้นไปด้านบน ดูคล้ายหิ่งห้อยจำนวนนับหมื่นที่บินขึ้นไปพร้อมกัน
ทุกคนย่อมต้องรู้ว่าประกายไฟเหล่านี้คือร่องรอยที่เกิดจากการปะทะกระบี่ของจิ๋งจิ่วและจัวหรูซุ่ย จึงรู้สึกตกตะลึงเป็นยิ่งนัก
สองคนนี้แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลยหรือ
ศิษย์หนุ่มสาวเหล่านั้นต่างกำลังครุ่นคิดว่าหากในเวลานี้เป็นตนเองที่ยืนอยู่ในหุบเขา เกรงว่าคงจะถูกกระบี่บินฟันเป็นชิ้นๆ ไปตั้งนานแล้ว เหล่าผู้อาวุโสที่มีสภาวะล้ำลึกต่างกำลังหวนนึกถึงตนเองในสมัยที่อายุเท่านี้ว่ามีฝีมือระดับนี้หรือเปล่า จากนั้นพลางส่ายศีรษะอย่างทอดถอนใจ ในใจครุ่นคิดว่าเทียบไม่ได้เลย
มิเสียทีที่จัวหรูซุ่ยเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนักชิงซาน สมแล้วที่เป็นสัตว์ประหลาดที่เอาชนะเจ้าล่าเยวี่ยได้ แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ จิ๋งจิ่วเองก็ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์หลานของนักพรตจิ่งหยาง คิดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถรับมือกับการโจมตีอันคุ้มคลั่งของอีกฝ่ายได้ ทุกคนต่างบอกว่าสภาวะเขาหยุดนิ่งไปสิบปี ไฉนดูมิคล้ายจะเป็นเช่นนั้นเลย?
……
……
จิ๋งจิ่วรับรู้ได้ถึงการมาเยือนของคนที่อยู่ในท้องฟ้าเหล่านั้น คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย
เขาเคยชินกับการที่ถูกผู้อื่นจ้องมอง แต่มิได้หมายความว่าจะชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือว่ากระบี่
เขาตัดสินใจที่จะจบการต่อสู้ครั้งนี้ จึงคลายสองมือที่ไพล่อยู่ข้างหลังมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มต่อสู้
กระบี่เหล็กพลันปรากฏกายขึ้นในท้องฟ้ายามค่ำคืน กลับมาข้างกายเขา ก่อนจะปักลงไปในพื้นดิน
นี่คือโอกาสในการโจมตีที่ดีที่สุด
แต่จัวหรูซุ่ยกลับไม่ขยับ
ในเวลานี้ ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมา
มองไปทางจิ๋งจิ่ว
เมื่อรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของไอพลังในฟ้าดินภายในหุบเขา เขาก็รีบถอยไปด้านหลังอย่างไม่ลังเล ถอยไปจนถึงชายป่าที่อยู่ห่างออกไปร้อยจ้าง จากนั้นนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น
เขาหลับตา ฝ่ามือของมือซ้ายชูขึ้นไปด้านบน มือขวาร่ายเคล็ดกระบี่
กระบี่บินเล่มนั้นปรากฏตัวขึ้นในท้องฟ้า จากนั้นหายไปอีกครั้ง
ชายเสื้อของจิ๋งจิ่วสะบัดเล็กน้อย ก่อนจะหายตัวไปเช่นกัน
แสงดาวสาดส่องลงมาในหุบเขา เงียบสงัดไร้ซุ่มเสียง แต่กลับแฝงเอาไว้ด้วยความอันตรายที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก
ลมยังคงพัดมา พัดพายอดไม้และใบหญ้า ทุกเส้นโครงร่างคล้ายกลายเป็นลำแสงกระบี่ หนาทึบน่าครั่นคร้าม
ไม่รู้ว่าเป็นลมที่โกรกเข้าไปในถ้ำที่อยู่บนหน้าผา หรือว่าเสียงเสียดสีกันของใบไม้ ภายในหุบเขาจึงมีเสียงหวีดที่ดังโหยหวน
สีหน้าของจัวหรูซุ่ยดูขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ
เจตน์กระบี่อันน่าสะพรึงปกคลุมทั่วทั้งหุบเขา
เซ่อเซ่อและคนอื่นๆ ไม่สามารถยืนดูอยู่ที่เดิมได้ ต่างถอยขึ้นไปบนหน้าผา
สีหน้าของเหอจานค่อนข้างคร่ำเคร่ง
ผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในท้องฟ้าเหล่านั้น โดยเฉพาะศิษย์หนุ่มสาวเหล่านั้นเองก็ทนไม่ไหว ถอยห่างออกไปสิบกว่าลี้
เสียงหวีดของสายลมและเสียงเสียดสีของใบไม้ที่ฟังดูโหยหวนเหล่านั้นพลันหายไป กลายเป็นเสียงกระบี่ที่ฟังดูโศกเศร้าเสียงหนึ่ง
จิ๋งจิ่วปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าจัวหรูซุ่ย
กระบี่ของจัวหรูซุ่ยถูกเขาเหยียบเอาไว้ใต้เท้า
จิ๋งจิ่วชี้นิ้วไปยังหน้าอกของจัวหรูซุ่ย ปลายนิ้วมีลำแสงกระบี่สายหนึ่ง
จัวหรูซุ่ยลืมตา มองดูนิ้วมือนิ้วนั้นที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ คล้ายมองดูกระบี่ที่แหลมคมที่สุดบนโลก
เขาคลายนิ้วที่กำลังร่ายเคล็ดกระบี่ มิได้พยายามจะควบคุมกระบี่ใหม่อีกครั้ง นิ้วทั้งสิบกางออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใช้บ่อน้ำเยือกเย็นในสารทฤดูมาผนึกนิ้วมือของจิ๋งจิ่วเอาไว้
ในงานชุมนุมทดสอบกระบี่ของชิงซานในครั้งนั้น กู้หานแห่งยอดเขาเหลี่ยงว่างเคยลองใช้วิธีนี้มาผนึกกระบี่ของจิ๋งจิ่วแต่เขาก็ล้มเหลว
จัวหรูซุ่ยทราบเรื่องนี้ แต่เขาคิดว่าเรื่องที่ศิษย์พี่ทำไม่ได้ ตัวเองจะต้องทำได้อย่างแน่นอน
ลำแสงกระบี่สว่างวาบ
มือของจัวหรูซุ่ยวางลงไปบนแขนเสื้อของจิ๋งจิ่ว
นิ้วมือของจิ๋งจิ่วจิ้มไปที่หน้าอกของเขา
ผัวะๆๆๆๆ
เสียงทึบเบาๆ จำนวนนับไม่ถ้วนดังสะท้อนไปมาในร่างกายของเขา
ควันสีขาวหลายสิบสายลอยออกมาจากชุดของเขา
จัวหรูซุ่ยถูกกระแทกจนลอยเข้าไปในป่า ไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ต้นหนึ่ง
ต้นไม้ส่งเสียงแคร่ก จากนั้นหักโค่นเป็นสองท่อน
ควันสีขาวค่อยๆ หายไป บนร่างกายเขามีรอยกระบี่ปรากฏขึ้นมาหลายสิบรอย คล้ายมีโลหิตซึมออกมา
……
……
ภายในหุบเขาเงียบสงัด
บนท้องฟ้าเองก็เช่นกัน
ฟ้าดินไร้ซุ่มเสียง
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังจิ๋งจิ่ว บ้างตกตะลึง บ้างเคารพยำเกรง บ้างมีศรัทธาแรงกล้า
จิ๋งจิ่วใช้วิชาอะไรกันแน่?
การเคลื่อนไหวของเขาดูลึกลับและยากคาดคะเนได้ เกรงว่าหลบหนีฟ้าดินของสำนักจงโจวก็ยังมิอาจเทียบได้
ภายในใจทุกคนเกิดคำถามจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นคิดถึงข่าวลือนั้นขึ้นมา
“สำนักท่านมีศิษย์อัจฉริยะมากมายขนาดนี้ ช่างน่ายินดีจริงๆ เพียงแต่….เก็บซ่อนเอาไว้เสียมิดชิดเหมือนกันนะ”
เยวี่ยเชียนเหมินมองฟางจิ่งเทียนและหนานว่างพลางกล่าว น้ำเสียงไม่ถึงกับขมขื่น กลับคล้ายเป็นการหยั่งเชิงเสียมากกว่า
ฟางจิ่งเทียนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร มองดูร่างที่อยู่ในหุบเขาร่างนั้น คล้ายกำลังคิดอะไรอยู่
หนานว่างกล่าวอย่างเฉยชา “ก็แค่ร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิด หรือชิงซานของข้าต้องไปเที่ยวป่าวประกาศด้วย?”