มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 118 คนที่ไม่อาจถูกลืมได้เหล่านั้น (1)
รัฐทายาทของจิ้งอ๋องก็คือถงเหยียน
เขาคือปรมาจารย์แห่งวิถีหมากล้อม เชี่ยวชาญในการคาดการณ์วางแผนเป็นอย่างมาก
ที่เจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ยสามารถสังหารลั่วไหวหนานได้ก็เป็นเพราะแผนการของเขา
ในชีวิตนี้เขาเคยพ่ายแพ้อย่างแท้จริงเพียงแค่ครั้งเดียว นั่นก็คือพ่ายแพ้ให้แก่จิ๋งจิ่วในตอนที่ประลองหมากล้อมในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย
ดังนั้นในสายตาของเขาไม่มีฟ้าดิน ไม่มีผู้แสวงมรรคาอีกยี่สิบสามคนที่เหลือ มีเพียงแค่จิ๋งจิ่ว คำพูดประโยคนี้ก็ถูกเขาจดลงไปสมุดเช่นกัน แล้วก็ย่อมต้องมีรายละเอียดอีกมากมาย อย่างเช่นโฉมหน้าที่แท้จริงของโลกนี้ อย่างเช่นเป้าหมายที่เขามาที่นี่ —- เพื่อช่วยให้ศิษย์น้องเป็นผู้รวบรวมแผ่นดินในท้ายที่สุดและได้รับยันต์เซียนวัฒนะ
ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออก มีคนเดินเข้ามาพร้อมกับลมหนาว
ไม่มีสัญญาณลับที่ใช้เคาะประตู ไม่มีการขออนุญาต เขารู้ว่าคนที่มาก็คือจิ้งอ๋องผู้เป็นบิดาของตน
“เจอตัวองค์หญิงแคว้นฉินแล้ว นางอยู่ที่เมืองเป่ยไห่ ตอนนี้น่าจะถูกเจ้าเมืองเป่ยไห่เชิญเข้าไปในเรือน เจ้าว่าเมืองเป่ยไห่จะก่อกบฏเมื่อไร?”
เห็นได้ชัดว่าจิ้งอ๋องเชื่อมั่นใจตัวลูกชายที่เพิ่งจะอายุเพียงสิบขวบผู้นี้มาก กระทั่งเรื่องใหญ่เช่นนี้ก็ยังสอบถามความเห็นของเขา
ถงเหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนกล่าวว่า “เกรงว่าเจ้าเมืองเป่ยไห่จะส่งตัวองค์หญิงกลับไปให้ฮ่องเต้แคว้นฉินเพื่อแลกกับผลประโยชน์บางอย่างขอรับ”
จิ้งอ๋องรู้สึกแปลกใจกับการวิเคราะห์ของเขา
“เมืองเป่ยไห่มั่นคง กองทัพเองก็แข็งแกร่ง บุตรชายของเจ้าเมืองถูกยกย่องว่าเป็นเทพแห่งการต่อสู้ ตอนนี้มีองค์หญิงอยู่ในมือ หรือพวกเขาจะไม่คิดอะไรเลยแม้แต่น้อย?”
ถงเหยียนรู้ถึงสถานะของเทพแห่งการต่อสู้ผู้นั้น ความจริงในช่วงเวลาสองปีนี้ เขากับเมืองเป่ยไห่มีการส่งจดหมายอย่างลับๆ ไปมาหากันอยู่
“เจ้าเมืองเป่ยไห่ขี้ขลาด อีกทั้งสภาพอากาศยังหนาวเย็น พืชผลไม่อุดมสมบูรณ์ ยากจะตัดสินใจได้”
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “คิดหาวิธีให้แคว้นฉีสนับสนุนพวกเขา นอกจากนี้ขอให้ท่านพ่อส่งสายลับออกไปปล่อยข่าวลือในเมืองเสียนหยาง บางทีอาจจะพอได้ผลอะไรบ้างขอรับ”
จิ้งอ๋องกล่าวอย่างยินดี “แผนการของลูกข้าช่างวิเศษนัก”
ถงเหยียนคิดในใจนี่มันใช่แผนการอะไรที่ไหนกัน แต่เขาไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ต่อ จึงถามว่า “ท่านพ่อคิดว่าแคว้นจ้าวเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
จิ้งอ๋องล่าวอย่างดูถูก “ฮ่องเต้เลอะเลือนผู้นั้นดูยังไงก็ยังไม่ตาย แคว้นจ้าวยังต้องทนทุกข์ต่อไป เมื่อไรเขาตาย เกรงว่าแคว้นจ้าวก็ต้องล่มสลายตามไปด้วย”
……
……
ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ห้าแคว้นใหญ่ก็มีฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไปถึงสองพระองค์ แล้วก็มีฮ่องเต้พระองค์ใหม่สองพระองค์
ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นฉินขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้าย ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นฉู่นอกจากโง่เขลาแล้วก็ยังมีฉายาใหม่ว่าราชาเลอะเลือน
แต่ถ้าจะพูดถึงราชาที่เลอะเลือนจริงๆ ก็ต้องพูดฮ่องเต้ของแคว้นจ้าวที่ตาบวมเหมือนตาปลาพระองค์นั้น
หากจะเขียนเรื่องชั่วร้าย เรื่องฉาวโฉ่และเรื่องไร้สาระที่ฮ่องเต้เลอะเลือนพระองค์นี้ได้ทำออกมา เกรงว่ากระดาษภายในเมืองหลวงลั่วหยางคงจะแพงหูฉี่เป็นแน่
นับแต่โบราณมา ฮ่องเต้เลอะเลือนมักจะเกิดมาคู่กับขุนนางที่มีอำนาจ
ขุนนางที่ได้รับความรักและความเชื่อใจจากฮ่องเต้แคว้นจ้าวมากที่สุดก็คือขันทีอาวุโสแซ่หง เขาไม่ถึงกับมีอำนาจล้นฟ้า แต่ก็เป็นที่หวาดกลัวของทุกคน
ในช่วงเย็นวันหนึ่ง ท้องฟ้าแดงฉาน ขันทีชราแซ่หงมิได้ออกมาจากวัง หากนอนพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ภายในสวน
ขันทีน้อยอายุสิบกว่าขวบคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ข้างกายเขา ในมือถือพัดใบธูปฤาษี กำลังพัดให้เขาอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็คอยไล่ยุงกับแมลงวันอย่างเงียบๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ขันทีชราแซ่หงยังคงไม่ลืมตา แขนของขันทีน้อยเริ่มหนักอึ้ง แต่เขากลับไม่กล้าหยุดการเคลื่อนไหว แล้วก็ไม่สามารถเปลี่ยนมือได้
เมื่อวันก่อนเขาพัดอยู่ที่นี่ทั้งคืน แขนขวาบวมเป่ง ไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย
แสงสุดท้ายของวันหายไป ในที่สุดขันทีชราแซ่หงก็ลืมตาขึ้นมา
ขันทีน้อยรู้สึกดีใจ ในใจครุ่นคิดว่าในที่สุดคืนนี้ก็ไม่ต้องพัดทั้งคืน แล้วก็รู้สึกจิตตกขึ้นมาเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าคงมิใช่ว่ากงกงรู้สึกว่าตนเองยังพัดไม่ดีพอหรอกนะ
ขันทีชราแซ่หงมองเค้า ในสายตาที่ขุ่นมัวมีความรู้สึกสนใจปรากฏขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าเข้าวังมากี่ปีแล้ว
ขันทีน้อยฉีกยิ้มขึ้นมา “เรียนกงกง เกือบห้าปีแล้วขอรับ”
ขันทีชราแซ่หงกล่าวว่า “ตอนแรกสุดเจ้าถูกตีอยู่หนึ่งปี จากนั้นเจ้าก็ใช้เวลาอีกปีหนึ่งทำให้ตัวเองไม่ต้องโดนตีอีก แล้วก็ใช้เวลาอีกสองปีถึงทำให้ข้ามองเห็น เช่นนั้นเจ้าทำอะไรอีกถึงมาถือพัดอันนี้ได้”
ในขณะที่ขันทีชราเริ่มพูด ขันทีน้อยก็เริ่มโขกศีรษะ หน้าผากและพื้นสัมผัสกัน ส่งเสียงดังตึกตึก
เมื่อได้ยินคำถามสุดท้าย ขันทีน้อยก็ก้มศีรษะพลางกล่าวว่า “ข้าเอาเงินทั้งหมดที่สะสมเอาไว้สี่ปีแรกออกมามอบให้คนอื่น แล้วก็… ใช้มีดแทงคนคนหนึ่งขอรับ”
“อายุเพียงเท่านี้ก็รู้จักวิธีการควบคุมจุดอ่อนของคนอื่นแล้ว เจ้าช่างฉลาดจริงๆ อีกทั้งยังไม่เลือกวิธีที่จะทำให้ตัวเองก้าวหน้าด้วย แถมนิสัยยังถูกใจข้านัก”
ขันทีชราแซ่หงหรี่ตามองเขา “กระทั่งพรสวรรค์เองก็ไม่เลว แต่ทำไมข้าถึงต้องสอนเจ้าด้วยล่ะ?”
……
……
เหอจานเหลียวหน้ากลับไปมองดูสวน บนใบหน้าที่ขาวซีดไม่มีอารมณ์แค้นเคืองใดๆ มีเพียงความตื้นตันและเคารพยำเกรง
นี่ย่อมต้องเป็นสิ่งที่เขาแสร้งทำ แต่ว่าถึงแม้ขันทีชราแซ่หงจะปฏิเสธคำขอของเขา แต่เขาก็ยังได้ประโยชน์บางอย่างอยู่
ภายในวังมีขันทีมากมายขนาดนั้น จะมีสักกี่คนที่มีสิทธิ์มานั่งพัดไล่ยุงให้หงกงกง? ดูแล้วในช่วงเวลาหลังจากนี้ ชีวิตของเขาน่าจะดีขึ้น นางสนมผิงอาจจะให้ของอะไรบางอย่างแก่เขาเพื่อเห็นแก่หน้าหงกงกงก็เป็นได้ แต่เมื่อคิดถึงคำพูดประโยคสุดท้ายของขันทีชราแซ่หง เขาก็รู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาเล็กน้อย
ใช่สิ ทำไมล่ะ?
เขาเองก็อยากจะตะโกนใส่ดวงอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้าว่า ‘ทำไมล่ะ?’
ทำไมตัวเองต้องมาประสบกับชีวิตที่น่าเศร้าเช่นนี้ด้วย ทำไมต้องมาคอยรับใช้คนอื่นอย่างน่าไม่อายเช่นนี้ด้วย?
ขันทีชราแซ่หงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในวังหลวงแคว้นจ้าว แต่ถ้าหากเป็นที่แผ่นดินเฉาเทียนก็ถือว่าอยู่แค่จินตานระดับกลางเท่านั้น แต่เขากลับต้องคอยคุกเข่าประจบประแจงขันทีชราแซ่หง เพราะหลังจากที่ถูกตอนไปแล้ว เขาก็ไม่สามารถฝึกวิชาของตัวเองได้อีก ได้แต่ต้องหาวิชาที่เหมาะสมในโลกนี้มาแทน
แต่ที่ขันทีชราแซ่หงพูดมาก็ถูกเหมือนกัน ทำไมล่ะ?
ด้านหน้ามีทางแยก ทางเส้นหนึ่งตรงไปยังตำหนักของนางสนมผิง อีกเส้นหนึ่งตรงไปยังสวนดอกไม้
หลายปีมานี้สวนดอกไม้แห่งนี้ค่อนข้างรกร้าง ว่ากันว่าฮ่องเต้จับนางกำนัลไปกดน้ำตายอยู่ที่นั่นเยอะแยะมากมาย อีกทั้งผียังดุอย่างมาก
กระทั่งหญิงสาวที่รอคัดเลือกเป็นนางสนมก็ยังไม่ไปที่นั่นด้วยกลัวว่าจะกระทบกับโชคชะตา แล้วนับประสาอะไรกับเหล่าขันทีที่เชื่อเรื่องผีสางและโลกหน้ากันล่ะ
เหอจานเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ อยากจะผ่อนคลายอารมณ์
ท้องฟ้าเริ่มมืด แสงไฟในตำหนักที่อยู่ห่างออกไปสว่างเป็นอย่างมาก ต้นหญ้าที่อยู่ในสวนดอกไม้ยืดยาว ดูไปแล้วเหมือนเงาผีในป่าลึก
เหอจานย่อมไม่กลัว เขาเดินเข้าไปในส่วนลึกของสวนดอกไม้อย่างคุ้นเคย เตรียมจะขึ้นไปนอนบนก้อนหินที่ใช้ตกแต่งในสวน
ทันใดนั้นเขาพลันพบว่าคืนนี้ภายในสวนดอกไม้ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย
ริมสระน้ำมีต้นเกาลัดต้นเล็กอยู่ต้นหนึ่ง
ใต้ต้นเกาลัดมีเด็กหนุ่มรูปร่างซูบผอมยืนอยู่ผู้หนึ่ง
เด็กหนุ่มคนนั้นสวมชุดสีเหลืองอ่อน สีหน้าดูกลัดกลุ้ม
เหอจานรู้ว่าเขาเป็นองค์รัชทายาทของแคว้นจ้าว อายุมากกว่าตัวเองสองสามปี มิใช่ผู้แสวงมรรคา
……
……
ในช่วงเวลาสองสามคืนหลังจากนั้น เหอจานจะเห็นรัชทายาทแคว้นจ้าวอยู่ในสวนดอกไม้
สิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือเห็นๆ อยู่ว่ารัชทายาทมิใช่ผู้แสวงมรรคา เหตุใดถึงเอามือลูบไล้กิ่งไม้ ทอดตามองออกไปคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างคล้ายกับผู้แสวงมรรคาอย่างไรอย่างนั้น
เสด็จพ่อของท่านคือฮ่องเต้เลอะเลือน จริงอยู่ที่ว่าเรื่องนี้น่าอับอายขายหน้า แต่ชีวิตของท่านจะยากลำบากกว่าขันทีน้อยอย่างข้าอย่างนั้นหรือ?
ในคืนหนึ่งเมื่อเหอจานมองดูคนที่อยู่ใต้ต้นเกาลัดผู้นั้น แล้วก็ดูลักษณะพื้นที่ริมสระน้ำ เขาก็ได้ทำการตัดสินใจออกมา
เขามาถึงสวนดอกไม้ล่วงหน้า หลังมั่นใจแล้วว่าริมสระไม่มีคน เขาก็เดินไปยังใต้ต้นเกาลัดต้นนั้น หยิบเอามีดเล่มเล็กที่ไม่เคยห่างกายเล่มนั้นขึ้นมา จากนั้นเริ่มเฉือนกิ่งไม้กิ่งนั้นอย่างช้าๆ
เขาระมัดระวังไม่ให้กิ่งไม้ถูกเฉือนจนขาด จากนั้นใช้ดินมาปิดรอยเฉือนบนกิ่งไม้เอาไว้ แล้วเก็บกวาดพวกเศษไม้ออกไปจนสะอาด
จากนั้นเขาก็เริ่มเฝ้ารอให้รัชทายาทตกลงไปในสระน้ำเพราะกิ่งไม้ที่หัก
แต่ไม่รู้ว่าเขาเฉือนได้ไม่ลึกพอหรือว่ามือของรัชทายาทอ่อนเปลี้ยไม่มีแรง เรื่องที่เหอจานคิดว่าอาจจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์เรื่องนี้จึงไม่ได้เกิดขึ้น
ฤดูร้อนจากไป ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน เหอจานล้มเลิกความพยายาม เรียกได้ว่าลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
ในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เขานั่งยองๆ อยู่ริมสระ ด้วยคิดอยากจะให้รางวัลตัวเองด้วยอาหารเสียหน่อย จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงแคร่กดังมาจากด้านบน
………………………………………………………………