มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 121 เรื่องที่อย่าได้พูดถึงอีกเหล่านั้น (2)
เจ้าเมืองเป๋ยไห่คือตำแหน่งที่แต่งตั้งให้แก่จวิ๋นอ๋อง
เรือนเจ้าเมืองก็คือเรือนจวิ้นอ๋อง ใหญ่โตโอ่โถง หลังจากที่สวนดอกไม้ด้านหลังถูกปรับปรุงอยู่หลายครั้ง มันก็ยิ่งดูคล้ายวังหลวงขึ้นกว่าเดิม
จวิ้นอ๋องคือลูกพี่ลูกน้องของอดีตฮ่องเต้แคว้นฉินที่เดินทางไปแคว้นฉู่ เช่นนั้นสถานะของไป๋เชียนจวินที่อยู่ในโลกนี้ก็คือลูกพี่ลูกน้องขององค์หญิงที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก
องค์หญิงแคว้นฉินยังอยู่ริมหน้าต่าง หยิบยืมแสงสว่างจากดวงอาทิตย์มาเย็บปักอะไรบางอย่างอยู่ นิ้วมือที่เรียวยาวจับเข็มเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด สีหน้าเรียบเฉย ขนตาไม่ขยับ
นางกระทั่งความรู้สึกตกอับก็ยังไม่มี ยิ่งไม่มีความรู้สึกว่ากำลังทุกข์ยาก
ไป๋โจ้วเดินเข้าไปยังสวนดอกไม้ด้านหลัง เทชาให้ตัวเองชามหนึ่ง นั่งลงตรงหน้านาง ดูคุ้นเคยกับนางอย่างเห็นได้ชัด
ในโลกแห่งความเป็นจริง พวกเขาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องเช่นกัน เพียงแต่ค่อนข้างห่างเหิน มิได้ใกล้ชิดเหมือนอย่างในตอนนี้
ไป๋โจ้วครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้เงียบๆ ยกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง
“ศิษย์พี่ลำบากแล้ว” องค์หญิงเอาเข็มแทงกลับไปบนผ้า มองดูเขาพลางกล่าว
ไป๋โจ้วกล่าว “ตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์จะดีกว่าที่คิดเอาไว้เล็กน้อย ฤดูใบไม้ผลิในปีหน้าน่าจะผ่านไปได้”
องค์หญิงคิดอยากจะพูดเรื่องที่ไปยืมทหารจากชาวหูมา แต่นั่นเป็นเพียงแค่ข่าวลือ ในเมื่อเขาไม่ได้พูด นางเองก็ไม่สามารถพูดอะไรมากได้ จึงกล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “เช่นนั้นก็ดี”
ไป๋โจ้วพลันกล่าวว่า “แต่แรงต้านที่พบเจอนั้นมากกว่าที่ข้าคิดไว้ หากคิดอยากจะฟื้นฟูอาณาจักรโดยเร็ว พวกเราจำเป็นต้องดึงตัวคนที่มีความสามารถมาสวามิภักดิ์ให้ได้มากกว่านี้ หากข้าได้แต่งงานกับเจ้า มีชื่อเสียงเกียรติยศมากขึ้น ข้าคิดว่ามันคงจะราบรื่นมากยิ่งขึ้น”
องค์หญิงไม่ได้หาเหตุผลมาบอกปฏิเสธหรือว่าหาวิธีมาบอกปัด อย่างเช่นวันหลังค่อยว่ากันอะไรทำนองนั้น นางเพียงแต่กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ต่อไปอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก”
ไป๋โจ้วมองนาง วางถ้วยชาลงกลางกล่าวว่า “ชาวหูอาจจะรุกข้ามแดนมา ข้าจะไปเตรียมตัวเสียหน่อย ไปก่อนล่ะ”
กล่าวจบประโยคนี้ เขาก็ออกไปจากสวนดอกไม้
นับตั้งแต่วันนี้ เขาก็มิได้เอ่ยถึงข้อเสนอนี้อีก กระทั่งจำนวนครั้งที่มาเยือนสวนดอกไม้แห่งนี้ก็น้อยลงไปมาก
องค์หญิงมองดูร่างที่หายไปทางด้านนอกสวนร่างนั้น พลางถอนใจออกมาเบาๆ
ตอนนี้เมืองเป๋ยไห่จับมือกับชาวหู ชาวหูไหนเลยจะรุกข้ามแดนมาอีก?
เทพแห่งการต่อสู้ที่กล้าหาญและเจนจัดในการทำสงคราม ที่ผ่านมาล้วนแต่ลงมือกับชาวหูอย่างเยือกเย็น เรียกได้ว่าโหดร้ายทารุณ สามารถฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้อย่างง่ายดาย
ชาวหูเองก็ปฏิบัติต่อชาวฉินเช่นเดียวกัน ภาพที่ชาวหูถือหอกแทงเด็กทารกขึ้นมานั้นเป็นฝันร้ายของชาวเป๋ยไห่จำนวนมาก
แม้นจะมีความแค้นที่หยั่งลึกเช่นนี้ยังสามารถร่วมมือกันได้ ยังมีอะไรที่ศิษย์พี่ไม่กล้าทำอีก?
……
……
แผ่นดินทางเหนือเกิดสงครามอย่างต่อเนื่อง แต่แผ่นดินทางใต้นั้นสงบสุข
แคว้นฉู่ฝนตกต้องตามฤดูกาลมาหลายปี พืชพรรณธัญญาหารสมบูรณ์ ประชาชนมีความสุข ภาษี การปกครองล้วนแต่เรียกได้ว่าอยู่ในจุดที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ เหมือนจะอยู่ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด
ความสามารถในการปกครองอาณาจักรของมหาบัณฑิตจางปรากฏสู่สายตาของผู้คน กระทั่งอำนาจทางการทหารของจิ้งอ๋องก็ยังถูกราชสำนักริบกลับมาอย่างเงียบๆ ด้วยฝีมือของเขา
ไม่ว่าจะในมุมมองของอาณาจักรหรือมุมมองส่วนตัว ตอนนี้มหาบัณฑิตก็ได้อยู่ในจุดสูงสุดแล้ว เช่นนั้นก็ถึงช่วงเวลาที่จะทำการเปลี่ยนแปลง
มาถึงจุดสูงสุดของขุนนางแล้ว ยังจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก?
หลายๆ คนได้แอบแนะนำให้มหาบัณฑิตจางขยับไปข้างหน้าอีกก้าว กระทั่งลูกชายของเขาเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
ในประวัติศาสตร์หากขุนนางคิดจะยึดราชบัลลังก์ เขาจำเป็นต้องกังวลเรื่องการโจมตีกลับของราชวงศ์และความคิดของประชาชน แต่แคว้นฉู่ในเวลานี้ไม่มีปัญหาเหล่านี้เลย ใครจะไปสนับสนุนฮ่องเต้ปัญญาอ่อนผู้นั้นกันเล่า?
“คนเราเกิดมาครั้งหนึ่งก็ต้องทำอะไรบ้าง ด้วยความสามารถของท่านพ่อ เป็นแค่อัครมหาเสนาบอดีก็เพียงพอแล้วอย่างนั้นหรือ? ประชาชนและเหล่าขุนนางต่างเฝ้ารอคอยกันอยู่นะขอรับ!” บุตรชายคนโตของตระกูลจางคุกเข่าอยู่หน้าเตียงของผู้เป็นบิดา กล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า “ต่อให้ไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ หรือท่านจะไม่คิดถึงเรื่องในอนาคตเสียหน่อย? ถึงตอนนั้นท่านจะทนเห็นลูกของตัวเองตายหรือว่าถูกเนรเทศได้อย่างนั้นหรือขอรับ?”
มหาบัณฑิตจางกล่าวว่า “ข้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนของฝ่าบาท ไม่ใช่แค่เพียงอัครมหาเสนาบดี แค่นี้ก็เพียงพอที่จะให้ทำงานแล้ว เรื่องอื่นต่อไปไม่ต้องพูดถึงอีก ส่วนพวกเจ้านั้นไม่เป็นอะไรแน่”
สุดท้ายบทสนทนานี้ก็ถูกนำออกไปพูดต่อ
บุตรชายคนโตแห่งตระกูลจางย่อมไม่ได้พูดถึงความหวาดกลัวต่ออนาคตของตัวเอง เขาเพียงแต่พูดถึงความหมายในคำพูดส่วนแรกของผู้เป็นบิดา
ข้ามิใช่อัครมหาเสนาบดี หากแต่เป็นผู้สำเร็จราชการแทน
ภายในเมืองหลวงพลันแตกตื่น ไม่มีใครกล้ากล่าวโทษ แล้วก็ไม่มีใครกล้าแนะนำอะไรอีก
ในวันหนึ่งมหาบัณฑิตจางออกไปจากวังหลวง นั่งเกี้ยวแปดคนหามออกไปจากเมืองหลวง มุ่งหน้าไปยังภูเขาด้านนอกเมืองเพื่อพักผ่อน
ภายในภูเขามีกระท่อมอยู่หลังหนึ่ง มั่วกงซึ่งเป็นกวีที่มีชื่อเสียงแห่งยุคพักอาศัยอยู่ที่นี่
เหล่าองครักษ์กระจายตัวอยู่รอบกระท่อม
มหาบัณฑิตจางเดินเข้าไปในกระท่อม ประสานมือคารวะมั่วกง แล้วกล่าวว่า “มาเล่นหมากล้อม”
มั่วกง ยิ้มเจื่อน พลางกล่าวว่า “เส้าเยวี่ยยังมีอารมณ์มาเล่นหมากล้อมหรือ?”
มหาบัณฑิตจางกล่าวว่า “ท่านหมายถึงข่าวลือนั่นน่ะหรือ? หลังพูดประโยคนั้นไปแล้ว วันนี้ข้ารู้สึกเพียงโล่งใจ ดีจนไม่รู้จะดียังไงแล้ว”
มั่วกงถอนใจพลางกล่าว “ถึงท่านทำอะไรอย่างเปิดเผย ไม่มีการปิดบังแม้แต่น้อย ข้ายังนึกว่าท่านมีความคิดเช่นนั้นจริงๆ”
มหาบัณฑิตจางกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ตอนนี้ข้าต่างจากฮ่องเต้ตรงไหนล่ะ? สุดท้ายข้าก็เพียงอยากทำเรื่องบางเรื่อง ตำแหน่งสถานะนั้นมิได้สำคัญ”
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งยกชาราคาถูกสองถ้วยเดินเข้ามา เมื่อได้ยินประโยคนี้จึงกล่าวได้ว่า “ฐานะไม่ถูกต้องก็กล่าวไม่สะดวก กล่าวไม่สะดวกก็ยากจะทำได้”
มหาบัณฑิตจางมองเห็นว่าสายตาของเด็กหนุ่มผู้นั้นสุขุมนุ่มลึก ดูคล้ายคนแก่ จึงอย่างแปลกใจว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
เด็กหนุ่มผู้นั้นกล่าวว่า “ศิษย์ของมั่งกงอวิ๋นซีขอรับ”
มหาบัณฑิตจางกล่าวว่า “ชื่อนี้เรียบง่ายเกินไป เกรงว่าชีวิตนี้เจ้ายังต้องเดินทางอีกไกล”
เด็กหนุ่มผู้นั้นยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “มีแต่ต้องลืมว่าตัวเองเป็นแขกที่อยู่ในความฝัน สถานที่ที่ทำให้ใจสงบก็คือบ้านเกิดของข้า ที่ข้าตั้งชื่อนี้ให้กับตนเอง ก็เพื่อจะเตือนตัวเองว่าอย่าไปจงใจจำว่าตนเองเป็นใคร มาจากไหน”
ในคืนวันนั้นมหาบัณฑิตจางกลับมายังเรือนของตัวเอง นั่งลงข้างๆ ผู้เป็นภรรยาพลางบอกเล่าเรื่องเด็กหนุ่มที่ได้เจอในกระท่อมบนภูเขาวันนี้
“ในบรรดาเด็กหนุ่มมากความสามารถที่ข้าได้เคยเจอมา เด็กคนนี้เป็นรองแค่เพียงสองคน”
ภรรยายื่นมือไปหยิบผมเส้นนึงที่ติดอยู่บนปกเสื้อของเขาออก ก่อนจะยื่นไปเผาบนตะเกียงแล้วกลาวว่า “สองคนนั้นคือใครหรือคะ?”
มหาบัณฑิตจางกล่าวว่า “รัฐทายาทของจิ้งอ๋อง ข้าเคยเจอครั้งหนึ่งตอนที่เขายังเป็นเด็ก ส่วนอีกคนหนึ่งย่อมต้องเป็นฝ่าบาท”
มือของผู้เป็นภรรยากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกไฟลวกหรือเปล่า นางกล่าวอย่างตกใจเล็กน้อยว่า “ฝ่าบาท?”
มหาบัณฑิตจางกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงแสร้งทำเป็นเลอะเลือน แต่ความจริงลึกล้ำเหนือประมาณ มิใช่คนธรรมดา”
หลายคนบอกให้เขายึดอำนาจ มีทั้งลูกน้อง มีทั้งบุตรชาย มีทั้งเพื่อนเก่า เขาล้วนแต่ให้คำตอบที่ไม่เหมือนกัน
มีเพียงในช่วงเวลากลางดึก เมื่ออยู่ต่อหน้าภรรยา เขาถึงจะพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจจริงๆ ออกมา
……
……
หลายคนมองว่าที่มหาบัณฑิตไม่ยอมเป็นฮ่องเต้ เป็นเพราะว่าเขาพึงพอใจในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่พวกเขาไม่พอใจ
อย่างเช่นเจ้ากรมพิธีการคนปัจจุบันที่เป็นทั้งลูกน้องและเพื่อนที่จงรักภักดีที่สุดของเขาก็คิดว่าหากท่านไม่เป็นฮ่องเต้ แล้วเมื่อไหร่ข้าถึงจะได้เป็นสมุหราชเลขา?
คนที่ไม่พอใจมากที่สุดก็คือบุตรชายคนโตของตระกูลจาง ในใจครุ่นคิดว่าหากท่านไม่เป็นฮ่องเต้ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าข้าเองก็ไม่มีหวังที่จะได้เป็นฮ่องเต้แล้วน่ะสิ แล้วในอนาคตข้ายังต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอีก?
การเปลี่ยนราชวงศ์คือการซื้อขายที่คุ้มค่าที่สุดบนโลกนี้ ผลประโยชน์มหาศาลสามารถทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนหวั่นไหว และเกิดความคิดชั่วร้าย
มหาบัณฑิตแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะไม่ทำอะไร ดังนั้นคนเหล่านี้จึงแอบเริ่มทำอะไรบางอย่าง
รุ่งเช้าวันหนึ่ง รถส่งน้ำสองสามคันที่มาจากบนภูเขาได้ผ่านด่านการตรวจสอบขององครักษ์เข้าไปในวัง
แสงแรกของวันปรากฏ การลอบสังหารที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดกำลังจะเริ่มขึ้น
……………………………………………………………