มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 123 หนึ่งคืนยาวเหมือนชั่วชีวิต (1)
ถ้าหากให้ประชาชนแคว้นฉู่และเหล่านางที่อยู่ในราชสำนักได้เห็นภาพนี้แล้วล่ะก็ พวกเขาจะต้องตกตะลึงจนพูดไม่ออกแน่นอน
การคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้นั้นเป็นเรื่องที่สมควร ต่อให้เป็นฮ่องเต้ที่เลอะเลือนก็ตาม แต่นี่คือมหาบัณฑิตจางเลยนะ!
หลิ่วสือซุ่ยย่อมต้องรู้ว่าผู้บงการแผนการลอบสังหารครั้งนี้คือใคร แล้วก็รู้ว่ามหาบัณฑิตผู้นี้มีสถานะเป็นอย่างไรในแคว้นฉู่ แต่เขากลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องปกติ
เขากล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “ฆ่าไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
มหาบัณฑิตจางสีหน้าไม่เปลี่ยน คล้ายมิได้ยินประโยคนี้ แล้วก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหนี
เขาเข้ามาในตำหนักเพียงคนเดียว นี่เป็นการแสดงให้เห็นเจตนาของเขาแล้ว
“อย่าเหลวไหล”
จิ๋งจิ่วโบกมือ บอกให้มหาบัณฑิตลุกขึ้น
มหาบัณฑิตจางกล่าวว่า “ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่ฝีมือกระหม่อม”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้ารู้”
มหาบัณฑิตจางนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ฝ่าบาท หากพระองค์ทรงต้องการว่าราชการด้วยตัวพระองค์เอง กระหม่อมสามารถ….”
“ไม่ต้องการ”
จิ๋งจิ่วไม่รอให้เขาพูดจบ กล่าวว่า “ถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น หลังจากนี้เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อยแล้วกัน”
……
……
มหาบัณฑิตจางออกจากวังไปจัดการเรื่องเหล่านี้ แล้วก็ไม่ลืมที่จะหาตัวขันทีและนางกำนัลเหล่านั้นกลับมา เพราะถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ต้องมีคนคอยรับใช้
ประตูตำหนักถูกปิดลง ทหารหลวงคอยคุ้มกันอยู่ด้านนอกอย่างแน่นหนา อย่าว่าแต่มือสังหารเลย กระทั่งแมลงวันที่ได้กลิ่นคาวเลือดก็ยังไม่สามารถบินเข้าไปได้
ขันทีและนางกำนัลเหล่านั้นต่างหวาดกลัวเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ประตูตำหนักจะถูกเปิดออกและเกิดการฆ่าฟันกันอีกครั้ง จึงนอนตัวสั่นอยู่ตลอดทั้งคืน
วันที่สอง พระอาทิตย์ขึ้นตามปกติ
ประตูวังถูกเปิดออก ทหารหลวงสลายตัว พระราชวังถูกแสงอาทิตย์ยามเช้าส่องสว่าง ทุกอย่างเป็นเหมือนปกติ คล้ายไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่แน่นอนว่าย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง อย่างเช่นเจ้ากรมพิธีการที่ร่ำรวยและมีอำนาจจู่ๆ ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เหล่าขุนนางหนุ่มถูกลดตำแหน่ง บ้างถูกขับออกจากเมือง บ้างถูกรมหมอกพิษตายอยู่ในป่าทางทิศใต้..
คุณชายใหญ่ตระกูลจางถูกไล่กลับไปเฝ้าหลุมศพบรรพชนอยู่ที่บ้านเก่า จนกระทั่งหลายปีหลังจากนั้นถึงจะถูกทหารม้าของราชสำนักคุมตัวกลับมายังเมืองหลวง
ภายในวังเองก็มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เกิดขึ้น แต่มันกลับสะดุดตาเป็นอย่างมาก
ข้างกายฝ่าบาทมีองครักษ์หนุ่มเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง
องครักษ์หนุ่มคนนั้นคอยเฝ้าอยู่ข้างกายฝ่าบาทตลอดเวลา ไม่ห่างแม้แต่เพียงก้าวเดียว เวลากลางคืนก็จะเฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนัก คล้ายไม่จำเป็นต้องนอนหลับ
……
……
งานชุมนุมแสวงมรรคาเข้าสู่ช่วงใหม่ สัญญาณที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือเริ่มมีผู้แสวงมรรคาเสียชีวิตลง แล้วออกมาจากดินแดนแห่งความฝัน
ภายในถ้ำที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขาหุยอิน ลมพัดเย็นสบาย ค่อยๆ ไล้ไปบนคันฉ่องโบราณที่ทำขึ้นมาจากสัมฤทธิ์ ผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่งลืมตาขึ้นมา
เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ในสายตาเขาสับสนเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ได้สติขึ้นมา เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เขาอยู่ในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่างเป็นเวลาสิบห้าปี เมื่อลืมตาขึ้นมาถึงได้พบว่าที่แท้ในโลกแห่งความจริงเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วัน
ผู้บำเพ็ญพรตผู้นั้นมองไปยังคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่อยู่ตรงหน้า พบว่าแตกต่างไปจากตอนที่เข้าไป
สายลมที่เย็นสบายเป็นเหมือนมือที่ไร้รูปร่างข้างหนึ่ง ค่อยๆ หมุนคันฉ่องฟ้ากระจ่างอย่างช้าๆ
แสงอาทิตย์จากโพรงด้านบนส่องสว่างพื้นด้านล่าง เปลี่ยนแปลงไม่หยุด คนตัวเล็กๆ ที่เหมือนเม็ดงาที่อยู่ด้านบนเหล่านั้นคล้ายจะขยับเข้ามา
สายตาของผู้บำเพ็ญพรตผู้นั้นเคลื่อนไปบนคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ในสัญชาตญาณคิดอยากจะหาตำแหน่งของแคว้นฉี ด้วยคิดอยากจะดูคนที่ตัวเองรู้จักเหล่านั้น
ทันใดนั้นเขาพลันได้สติขึ้นมาว่าเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แต่ว่า….หากเวลาสิบห้าปีนั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน เหตุใดเขากลับจดจำได้ชัดเจนถึงเพียงนี้?
เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ความรู้สึกเช่นนี้ซับซ้อนเป็นยิ่งนัก ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ หากให้คนธรรมดามาเผชิญกับความรู้สึกเช่นนี้ เกรงว่าคงจะกลายเป็นบ้า หรือไม่ก็จมดิ่งอยู่ในนั้นจนยากจะหลุดพ้นออกมาได้
ผู้บำเพ็ญพรตรับมือได้ค่อนข้างดีกว่าคนธรรมดา แต่ก็ยังยากที่จะได้สติกลับคืนมาทั้งหมดในระยะเวลาสั้นๆ
แต่การตระหนักรู้ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ หากสามารถวิเคราะห์และซึมซับได้ ก็จะทำให้ใจแห่งเต๋ายิ่งมีความมั่นคงมากขึ้น ซึ่งนี่ก็คือเป้าหมายของงานชุมนุมแสวงมรรคา
จากนั้นมีผู้บำเพ็ญอีกสองสามคนทยอยลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งที่พวกเขาประสบพบเจอนั้นเหมือนกับผู้บำเพ็ญพรตก่อนหน้านี้คนนั้น พวกเขาใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งถึงจะยอมรับความจริงได้ แล้วเริ่มพูดคุยถึงสิ่งที่ตนเองพบเจอในดินแดนแห่งความฝัน จากนั้นพวกเขาถึงได้พบว่าที่แท้พวกตนเองนั้นถูกมือสังหารชุดดำที่มีสภาวะลึกล้ำสูงส่งคนหนึ่งสังหาร
มือสังหารชุดดำผู้นั้นเป็นใครกันแน่?
พวกเขามองไปทางผู้บำเพ็ญพรตที่ยังไม่ตื่นขึ้นมา ในใจคาดเดาถึงสถานะที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝันของคนเหล่านั้น
จิ๋งจิ่วน่าจะเป็นฮ่องเต้แคว้นฉู่ผู้นั้น ไป๋เจ่าคือองค์หญิงแคว้นฉินที่ตกยากผู้นั้นจริงหรือเปล่า? แล้วยังมีคนผู้นั้น….
สายตาของพวกเขามองไปยังจัวหรูซุ่ย
จัวหรูซุ่ยหลับตา คล้ายกำลังหลับลึก ดูไม่ได้ต่างอะไรกับเวลาปกติ
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ในร่างกายของเขาถึงได้มีจิตสังหารที่เบาบางอย่างมากสายหนึ่งแผ่กระจายออกมาอย่างช้าๆ
ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นสบตากัน พากันยิ้มเจื่อน คาดเดาได้ถึงสถานะของมือสังหารชุดดำผู้นั้น ในใจครุ่นคิดว่าตนเองตายก็สมควรแล้ว
สัตว์ประหลาดแห่งสำนักชิงซานผู้นี้ไม่คิดอยากได้ตำแหน่งใหญ่โตในดินแดนแห่งความฝัน แต่กลับคิดจะฆ่าคน เช่นนั้นจะมีสักกี่คนที่รับมือเขาได้?
ผู้บำเพ็ญพรตอีกคนหนึ่งลืมตาขึ้นมา ร่างกายเขาแต่งตัวเป็นเหมือนบัณฑิต เขาก็คือศิษย์ที่หลงตัวเองของสำนักคุนหลุนผู้นั้น
ศิษย์สำนักคุนหลุนคนนี้มองไปรอบกาย สายตาสับสน จู่ๆ ก็ร้องไห้ขึ้นมาอย่างเจ็บปวด ผู้บำเพ็ญพรตที่ตื่นขึ้นมาก่อนหน้าเขาไม่ได้มีสีหน้าเยาะเย้ยดูถูก เพราะพวกเขาเองก็เข้าใจความรู้สึกของศิษย์สำนักคุนหลุนผู้นี้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่พวกเขาตื่นขึ้นมา สีหน้าท่าทางของพวกเขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าศิษย์คุนหลุนผู้นี้เท่าไหร่ ศิษย์สำนักคุนหลุนคนนี้มองไปรอบกาย
ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดศิษย์สำนักคุนหลุนผู้นี้ก็รับความจริงได้ จึงหยุดร้องไห้
ผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่งที่รู้จักเขาถามอย่างเป็นห่วงว่า “สหายชิว เจ้าออกมาได้อย่างไร? หรือว่าถูกมือสังหารชุดดำผู้นั้นหาตัวพบเช่นกัน?”
ศิษย์สำนักคุนหลุนผู้นั้นแซ่ชิวนามเฉิงเต้า เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงงุนงงเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “มือสังหารชุดดำอะไรกัน?”
ผู้บำเพ็ญพรตคนนั้นตกใจเล็กน้อย กล่าวถามว่า “หากมิใช่ว่าถูกสัตว์ประหลาดผู้นั้นหาตัวพบ ด้วยความสามารถของสหาย เหตุใดถึงออกมาจากดินแดนแห่งความฝันเร็วขนาดนี้?”
ชิวเฉิงเต้าถอนใจพลางกล่าวว่า “ข้าไปเกิดอยู่ในนิกายเจ็ดเทพแห่งแคว้นหลัว บำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบาก ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะได้รับความเชื่อใจจากประมุขนิกายจนถูกส่งตัวเข้าไปช่วยฮ่องเต้ปรุงยาในวัง เดิมคิดอยากจะอยู่ในวังสักหลายสิบปี รับใช้ฮ่องเต้ ภายหน้ากลายเป็นประมุขนิกาย จากนั้นช่วยเหลือแคว้นให้แข็งแกร่ง ใครจะไปคิดบ้างว่ากองทัพเมืองเป๋ยไห่ที่กำลังโจมตีแคว้นฉินจู่ๆ จะวกลงใต้ แล้วร่วมมือกับกองทัพของจิ้งอ๋องแห่งแคว้นฉู่โจมตีกระหนาบแคว้นหลัวจากสองด้าน ในเวลาเพียงแค่ยี่สิบวัน กองทัพของทั้งสองแคว้นก็บุกเข้ามาถึงเมืองหลวง วังหลวงถูกเผาจนพังพินาศ หนีออกมาไม่ได้ แต่ต่อให้หนีออกมาได้แล้วจะยังไง? ดูแล้วนิกายเจ็ดเทพก็คงถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน”
ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งความฝันมาเป็นเวลาสิบห้าปี จู่ๆ พลันได้ยินว่าแคว้นหลัวซึ่งเป็นหนึ่งในห้าแคว้นต้องมาล่มสลายลงแบบนี้ จึงรู้สึกทอดถอนใจเป็นอย่างมาก นิ่งเงียบไม่พูดอะไร มีเพียงผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่งที่อุทานตกใจออกมา “อะไรนะ? แคว้นหลัวถูกทำลายแล้วหรือ? นี่มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่กัน?”
ชิวเฉิงเต้ามองดูคนผู้นั้น กล่าวถามว่า “เจ้าออกมาเมื่อไหร่?”
ผู้บำเพ็ญพรตคนนั้นคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ออกมาก่อนพี่เต้าหนึ่งชั่วยาม”
ชิวเฉิงเต้ากล่าวว่า “อย่างนั้นก็ไม่ถึงสามสิบวันหลังเจ้าออกมา กองทัพของทั้งสองแคว้นก็บุกเข้ามาแล้ว”
ผู้บำเพ็ญพรตคนนั้นได้ยินเช่นนี้จึงตกตะลึงเล็กน้อย ครุ่นคิดถึงญาติพี่น้องที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝันเหล่านั้น ภายในดวงตาคล้ายมีความรู้สึกเจ็บปวดปรากฏขึ้นมา
ชิวเฉิงเต้ากล่าวถามว่า “เจ้าเป็นคนแคว้นหลัว?”
ผู้บำเพ็ญพรตผู้นั้นยกมือขึ้นคารวะพลางกล่าวว่า “พูดไปแล้วน่าอาย ตอนที่ตายข้าเป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่ธรรมดาคนหนึ่งในราชสำนัก กลับเป็นชื่อเสียงภายในวังของสหายที่ข้าได้ยินมานานแล้ว”
นักพรตหนุ่มผู้หนึ่งที่ช่วยฮ่องเต้ปรุงยาอยู่ในวังกลับมีชื่อเสียงโด่งดัง ย่อมไม่มีทางเป็นชื่อเสียงที่ดีอะไร เขาไม่สะดวกที่จะพูดชัดเจนนัก
แต่ชิงเฉิงเต้ากลับมิได้มีความรู้สึกเขินอาย เขาลูบเคราตัวเองเบาๆ ดูค่อนข้างกระหยิ่มยิ้มย่อง
…………………………………………………….