มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 126 วันคืนของหลิ่วสือซุ่ย
เมื่อกลับมายังเรือนจิ้งอ๋อง ถงเหยียนทำเหมือนปกติ หยิบเอาสมุดที่พลิกอ่านจนเก่าเล่มนั้นออกมาเปิดอ่านอีกรอบ จากนั้นเริ่มคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้
หากวันนี้มั่วกงไม่อยู่ จัวหรูซุ่ยจะต้องร่วมมือกับองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังต้นไม้ผู้นั้นสังหารเขาอย่างแน่นอน
ถึงแม้เขาจะเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า ถึงแม้อานุภาพของธนูและหน้าไม้ที่อยู่บนเรือจะร้ายกาจแค่ไหน แต่ก็เกรงว่าคงจะไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้
จิ๋งจิ่วคิดจะฆ่าตนเองจริงๆ อย่างนั้นหรือ? หรือเป็นเพราะเรื่องที่เขาพูดถึงเรื่องนั้น?
ในช่วงหน้าร้อน เมืองหลวงของแคว้นฉู่ได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่องหนึ่ง
ชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งมาเดินวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่หน้าวังหลวงในช่วงเวลารุ่งสาง ทหารหลวงรู้สึกผิดปกติ จึงเดินเข้าไปสอบถาม แต่ชายหนุ่มผู้นั้นกลับหยิบเอาแท่งไม้ออกมาฟาดใส่เหล่าทหาร จากนั้นพยายามวิ่งหลบหนี ทว่าสุดท้ายถูกจับเอาไว้ได้ เมื่อตรวจค้นจึงได้พบว่าคนผู้นี้พกมีดเอาไว้ คิดจะลอบเข้าไปในวังเพื่อสังหารฮ่องเต้ เจ้าหน้าที่กรมอาญาได้ลงโทษอย่างหนักในตอนที่ทำการสอบสวน แต่ชายผู้นั้นก็ปิดปากเงียบ นอกจากบอกว่าตนเองพยายามจะสังหารฮ่องเต้เลอะเลือนแล้วก็มิได้พูดอะไรอย่างอื่นอีก มิได้ซัดทอดถึงผู้ที่สั่งการอยู่เบื้องหลัง
สุดท้ายคนผู้นั้นถูกตรวจสอบได้ว่าเป็นนายกองคนหนึ่งตรงด่านหลานอวี๋ เป็นนายทหารคนสนิทที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของนายพลเผย
นายพลเผยเป็นนายทหารชื่อดังของแคว้นฉู่ ชื่อเสียงเป็นรองเพียงจิ้งอ๋อง ประจำการอยู่ที่ชายแดนแคว้นฉู่และแคว้นจ้าวมานาน สู้รบกับกองทัพแคว้นจ้าว สร้างความดีความชอบอย่างใหญ่หลวง
แต่สิ่งที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักกว้างขวางมากกว่านั้นก็คือนายพลเผยผู้นี้เป็นคนสนิทของมหาบัณฑิตจาง
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องไปยังเรือนมหาบัณฑิต กรมอาญาย่อมไม่กล้าทำอะไรมาก เมืองหลวงตกอยู่ในความเงียบที่แปลกประหลาด
ในระหว่างนี้เอง จู่ๆ ชายหนุ่มผู้นั้นก็ฆ่าตัวตายอยู่ในคุกหลวง
เพียงไม่นาน ทั้งคนที่ในใจมีความยุติธรรมอย่างแท้จริง คนที่ถนัดในการฉกฉวยผลประโยชน์จากสถานการณ์ทางการเมืองและคนที่ในใจมีความทะเยอทะยานต่างก็พากันกระโดดออกมา ฎีกาจำนวนนับไม่ถ้วนถูกส่งเข้าไปในวัง เสียงกลองของศาลต้าหลี่[1]ดังขึ้นทุกวัน กระทั่งมีบางคนที่แอบเข้าไปพบฝ่าบาทในวังเวลากลางคืนเพื่อคุยเรื่องบางเรื่องที่ไม่มีใครรู้
เบื้องหลังเรื่องนี้ย่อมต้องมีสองพ่อลูกจิ้งอ๋องคอยขับเคลื่อนอยู่ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือนโยบายใหม่ของมหาบัณฑิตได้สร้างความเสียหายแก่ขุนนางเป็นจำนวนมาก ระยะเวลาในการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนก็ยาวนาน แต่กลับไม่ยอมก้าวต่อไปข้างหน้า นี่เหมือนจะทำให้คนอื่นมองเห็นจุดอ่อนอะไรบางอย่าง แล้วก็ย่อมทำให้เกิดความคิดที่จะจับตามองมากขึ้น เหตุผลต่างๆ นาๆ ได้ทำให้การโจมตีมหาบัณฑิตครั้งนี้กลายเป็นเหมือนพายุอันรุนแรงอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งเมืองหลวงวุ่นวาย มหาบัณฑิตจำต้องใช้วิธีที่แข็งกร้าว มิเช่นนั้นสถานการณ์ก็ยากจะสงบได้
แต่ถ้าหากมหาบัณฑิตใช้วิธีการที่แข็งกร้าว ใครจะรู้บ้างว่ามันจะทำให้เกิดความวุ่นวายแบบไหนขึ้นมา
ในช่วงเวลาที่สถานการณ์กำลังตึงเครียดที่สุดนี้เอง ฮ่องเต้ที่ไม่เคยว่าราชการมาก่อนเลยนับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์มา…จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในการประชุมช่วงเช้าต่อหน้าขุนนางทั้งหมด
เหล่าขุนนางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมหาบัณฑิตต่างรู้สึกยินดี คิดว่าในที่สุดฝ่าบาทก็ได้สติขึ้นมาแล้ว ทรงคิดอยากจะใช้ความวุ่นวายครั้งนี้เล่นงานมหาบัณฑิต
แต่ใครจะไปคิดบ้างว่าฮ่องเต้จะตรัสเพียงประโยคเดียวแล้วเสด็จออกไป
“มหาบัณฑิตจัดการได้ดีมาก พวกเจ้าอย่าวุ่นวาย”
……
……
สถานการณ์ภายในราชสำนัก ความคิดผู้คนไปคนละทาง ปัญหาในการปกครอง…ก็เป็นสิ่งที่ซับซ้อนเหมือนกับลมพายุ ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุหรือว่ากระบวนการหรือว่าผลลัพธ์ เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วมักจะทำให้คนรู้สึกว่าไม่มีเหตุผล ฮ่องเต้ที่ได้ชื่อว่าเลอะเลือนและปัญญาอ่อนกล่าวคำพูดลอยเช่นนี้ออกมา ตามหลักแล้วน่าจะไม่มีอิทธิพลอะไรมาก แต่เป็นเพราะเหตุผลลึกลับบางอย่าง หรือว่าอาจเป็นเพราะฝีมือของมหาบัณฑิต หลังคำพูดประโยคนั้นถูกกล่าวออกมา ลมพายุที่ปกคลุมเมืองหลวงมาหลายสิบวันก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากนี้ย่อมต้องเป็นการตอบโต้กลับ มหาบัณฑิตอาศัยเรื่องนี้ทำการกวาดล้างในราชสำนักและเมืองต่างๆ ทั้งหมดอีกรอบ ลากเอาพวกจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่หลบซ่อนตัวมานานเหล่านั้นออกมา นับจากนี้ก็ไม่มีใครที่จะสั่นคลอนเขาได้อีก
ถงเหยียนรู้ว่าทำไมจิ๋งจิ่วจึงทำเช่นนี้ แต่เขาก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆ หรือจิ๋งจิ่วไม่กลัวมหาบัณฑิตจะชิงราชบัลลังก์?
คนมากมายขนาดนี้คิดจะฆ่าเจ้า รวมถึงข้าด้วย แล้วก็ยังมีศิษย์หลานของเจ้าคนนั้นอีก หากไม่มีตำแหน่งฮ่องเต้ เจ้ายังจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างไร?
……
……
พ่อแม่ของหลิ่วสือซุ่ยในโลกนี้คือคนงานในสำนักบำเพ็ญพรตสำนักหนึ่ง
เขาลืมตาขึ้นมาดูโลกก็มองเห็นกระบี่บิน
เขาเดินได้ก็เริ่มเรียนกระบี่ นับแต่นั้นก็ไม่ทำอะไร มุ่งมั่นอยู่กับการเรียนกระบี่
ตอนอายุสิบสี่ปี เขาก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักบำเพ็ญพรตนั้น กลายเป็นผู้อาวุโสที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนัก
พ่อแม่ของเขาย่อมไม่ต้องทำงานต่ำต้อยเหมือนเมื่อก่อนอีก
จากนั้นเขาออกจากสำนักมาเข้าร่วมกับองค์กรนักฆ่า และตรวจสอบจนมั่นใจว่าคุณชายอยู่ในวังแคว้นฉู่
จากนั้นก็เป็นเรื่องราวนองเลือดของรถส่งน้ำและรุ่งเช้าวันนั้น
มาถึงโลกนี้ได้สิบแปดปี นอกจากเรียนกระบี่อยู่ในสำนักแล้ว เขาก็มาเป็นองครักษ์อยู่ในวังหลวง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกไปข้างนอก
เขารีบกลับมายังวังหลวง แต่ทิวทัศน์อยู่ด้านนอกหน้าต่าง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องมองเห็น
ภูเขาลำธารเหล่านั้นงดงามยิ่งนัก เขามักจะมองดูจนเหม่อลอย ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างทางมักจะได้เจอเรื่องราวต่างๆ อย่างเช่นโจรภูเขามาขวางทางรถเอาไว้ อย่างเช่นม้าตกใจจนทำร้ายคน ดังนั้นเขาจึงสังหารคนไปสองสามคน แล้วก็ช่วยคนมาสองสามคน ความรู้สึกเช่นนั้นมันค่อนข้างคุ้นเคย ทำให้มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย
เมื่อกลับมายังเมืองหลวงแคว้นฉู่ เขาพลันรู้สึกว่าเมืองนี้ดูแปลกหน้า เมื่อเข้าไปในวัง เขายิ่งรู้สึกว่าไม่เคยเห็นสิ่งก่อสร้างเหล่านี้มาก่อน กลับเป็นกำแพงสีแดงและกระเบื้องสีเหลืองเหล่านั้นที่ดูคุ้นตา
เมื่อเดินเข้าไปในตำหนัก มาถึงข้างหน้าต่าง มองดูจิ๋งจิ่วที่เอนกายอยู่บนเตียง เขาอ้าปาก คิดอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
จิ๋งจิ่วมองเขา “พูด”
หลิ่วสือซุ่ยเกาศีรษะ กล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าความจำของข้าเหมือนจะแย่ลงเรื่อยๆ”
จิ๋งจิ่วกล่าวถามว่า “แย่ลงเร็วแค่ไหน?”
หลิ่วสือซุ่ยลืมตาโต มองเขาพลางกล่าว “ท่านคือใคร?”
จิ๋งจิ่วยิ้มขึ้นมา มองดูดวงตาของเขาพลางกล่าวถามว่า “เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร?”
หลิ่วสือซุ่ยคิดอย่างจริงจังเป็นเวลาครู่ใหญ่ ก่อนส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “….นึกไม่ออกจริงๆ เพียงจำได้ลางๆ ว่าท่านดีต่อข้ามาก และข้าต้องปกป้องท่าน”
เขาเฉลียวฉลาด ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่เรียบง่ายอย่างมาก ไม่ได้มีการระมัดระวังใดๆ ต่อดินแดนแห่งความฝันเลย แล้วก็ไม่ได้มีการป้องกันด้วย
ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับผลกระทบ เป็นเพราะในใจเขาคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่งอยู่ตลอดเวลา เขาจำเอาไว้เสมอว่าต้องมาหาจิ๋งจิ่ว
ตอนนี้เขาหาจิ๋งจิ่วพบแล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวลใจอีก อีกทั้งยังถูกทิวทัศน์นอกวังค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับโลกนี้ เช่นนั้นย่อมต้องเริ่มลืมเลือนเรื่องในโลกก่อนหน้า
จิ๋งจิ่วรู้ดีว่านี่เป็นเพราะเหตุใด จึงรู้ว่ามิใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่กลับไม่รู้ว่าหลังจากนี้เขาจะทำอย่างไร
หลิ่วสือซุ่ยตบไหล่เขาพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว ข้าไม่มีทางทิ้งท่านหรอก”
จิ๋งจิ่วเลิกคิ้ว ไม่ได้กล่าวกระไร
หลิ่วสือซุ่ยเดินออกไปด้านนอกตำหนัก มองไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง เหมือนกับเมื่อสามปีก่อน
……
……
การแสวงมรรคาปีที่ยี่สิบ
แผ่นดินเพิ่งจะสงบ
ความวุ่นวายกำลังจะเกิดขึ้น
ความวุ่นวายภายในแคว้นฉินสงบลง กฎหมายเข้มงวด การลงโทษและการให้รางวัลแบ่งแยกชัดเจน ประเทศค่อยๆ รุ่งเรือง
เพียงแต่องค์หญิงที่ถูกขังไว้องค์นั้นไม่มีใครได้เห็นนางอีก หลายคนสงสัยว่านางตายไปแล้ว
ถัดจากกษัตริย์เลอะเลือนพระองค์นั้น ในที่สุดแคว้นจ้าวก็มีฮ่องเต้ที่ยอดเยี่ยมเสียที
ฮ่องเต้หนุ่มปกครองบ้านเมืองได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่แคว้นฉินแม้แต่ก้าวเดียว รุกคืบเข้าไปในแคว้นฉีทีละน้อย สิ่งเดียวที่น่าเป็นห่วงก็คือสุขภาพของเขาที่ไม่ค่อยดีมาโดยตลอด
แคว้นฉีมีอาณาเขตกว้างใหญ่ ประชากรมหาศาล การค้ารุ่งเรือง ประชาชนมีความสุข เพียงแต่เป็นเพราะขุนนางไร้ความสามารถ สุดท้ายจึงได้แต่ต้องอยู่ใต้เงาแคว้นจ้าว
โดยเฉพาะเหอกงกงผู้นั้น โหดร้ายป่าเถื่อน รีดนาทาเร้น กระทั่งพ่อค้าที่ใจกว้างที่สุดก็ยังไม่อาจทนรับได้
กลุ่มการค้าใหญ่ๆ จ้างนักฆ่ามาสังหารเขา แต่กลับไม่สำเร็จ
แคว้นหลัวถูกทำลาย ยิ่งไปกว่านั้นกำลังถูกลืมเลือนไปอย่างรวดเร็ว แผ่นดินกว่าครึ่งตกเป็นของแคว้นฉิน ส่วนที่เหลือตกเป็นของแคว้นจ้าวและจิ้งอ๋องแห่งแคว้นฉู่
แคว้นฉู่และแคว้นฉีมีความคล้ายคลึงกัน ชาวบ้านภูมิใจที่ได้ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย คนในแคว้นนิสัยอ่อนโยน ไม่มองการณ์ไกลและไม่มีความทะเยอะทะยาน
กระทั่งหลายปีมานี้ที่มหาบัณฑิตจางปกครองบ้านเมือง แคว้นฉู่ถึงค่อยๆ รู้สึกได้ถึงความเจริญรุ่งเรือง
ปัญหาอยู่ที่ว่าแคว้นฉู่ที่ดูเหมือนรุ่งเรืองแข็งแกร่งกลับยังมีความกังวลใจลึกๆ อยู่สองอย่างที่ไม่อาจสลัดให้หลุดได้
ความกังวลทั้งสองอย่างนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน — ขุนนางทะเยอะทะยานไม่ภักดี
เมื่อดูจากหลายปีนี้ ความทะเยอะทะยานของมหาบัณฑิตจางถูกเขาควบคุมเอาไว้เป็นอย่างดี แต่จิ้งอ๋องที่อยู่ไกลถึงชางโจวมีทหารม้านับหมื่น หลังบุกเข้าไปในแคว้นหลัว แผ่นดินที่ได้ปกครองก็มีมากกว่าหนึ่งในสามของแคว้นฉู่แล้ว ความทะเยอะทะยานของเขาใครจะเป็นคนควบคุม?
ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ฮ่องเต้แคว้นฉู่พลันมีพระราชโองการ สร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคน
คำพูดทุกประโยคของฮ่องเต้ล้วนคือพระราชโองการ ตามหลักแล้วนี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยมาก ปัญหาก็คือว่ากันว่าฮ่องเต้แคว้นฉู่พระองค์นี้เป็นคนปัญญาอ่อน ไม่พูดไม่จา
ส่วนพระราชโองการที่จำเป็นต้องประกาศเวลาแต่งตั้งหรือริบตำแหน่งขุนนาง เวลาบวงสรวงในช่วงวันปีใหม่ ได้ยินว่าเหล่าขุนนางจะเป็นคนร่างพระราชโองการ จากนั้นมหาบัณฑิตจางจะเป็นผู้ประทับตราลัญจกร
……………..
เหตุใดจู่ๆ ฮ่องเต้ถึงมีพระราชโองการออกมาด้วยตัวพระองค์เอง?
แต่สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือเนื้อหาในพระราชโองการ
ฝ่าบาททรงสั่งให้รัฐทายาทของจิ้งอ๋องเข้าวัง
………………………………………………
[1]ศาลตาหลี่ คือ ศาลใหญ่