มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 13 คนที่ลนลานและคนที่วุ่นวาย
ในตอนที่ต้วนเถียนเหลียนออกมาจากยอดเขาซั่งเต๋อ เขาออกมาอย่างเงียบๆ ไม่เป็นที่สังเกต แล้วก็ไม่ได้บอกใครด้วยว่าตนเองจะไปไหน
การที่จู่ๆ ฉือเยี่ยนมาปรากฏตัวอยู่นอกเมืองเจียนลี่นั้นดูแล้วค่อนข้างแปลกประหลาด นอกเสียจากว่าเขาตามตนเองมาถึงที่นี่
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่นี้เพิ่งจะมีศิษย์ชิงซานผู้หนึ่งตายอย่างน่าอนาถอยู่ในวัดร้างแห่งนี้ อีกทั้งมีความเกี่ยวข้องกับเผ่าหมิง แต่เขากลับบอกแค่ว่ากลับไปค่อยว่ากัน?
คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร? แล้วการที่จู่ๆ เจ้ามาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้มันหมายความว่าอย่างไร?
ต้วนเหลียนเถียนมองดูฉือเยี่ยนอย่างเงียบๆ ต้องการคำอธิบายจากเขา
ฉือเยี่ยนไม่ได้กล่าวกระไร
หิมะที่ตกลงมาในวัดร้างพลันหนักขึ้นกว่าเดิม
คล้ายขนห่าน
ต้วนเหลียนเถียนสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ จึงกล่าวเสียงเบาลงว่า “ข้ามาเจียนลี่เพื่อสืบคดีหนึ่ง”
ฉือเยี่ยนยังคงไม่กล่าวกระไร เพียงแต่มองดูเขาอย่างเงียบๆ
ต้วนเหลียนเถียนส่งเสียงเหอะออกมา พายุหิมะพลันรุนแรงขึ้น
ผู้อาวุโสสองคนของยอดเขาซั่งเต๋อมาเผชิญหน้ากันในวัดร้างแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลชิงซาน!
วัดร้างถูกทำลายลงทั้งหมด กำแพงหน้าต่างถล่มลงมา พายุหิมะโหมกระหน่ำเข้าไปในวัด เพียงครู่เดียวกองไฟก็ดับลง
ป่าที่อยู่นอกวัดเองก็มีหิมะตกลงมาเล็กน้อย กิ่งไม้หนักขึ้น สั่นไหวคล้ายจะหักลงมา พื้นหญ้าสีเขียวสลับเหลืองเองก็มีสีขาวแซมขึ้นมา
ตั๊กแตนที่แอบซ่อนอยู่ในพื้นหญ้าเหล่านั้นพากันแข็งตาย ไม่สามารถอดทนไปถึงหลังฤดูใบไม้ร่วงได้อีก
ร่างกายของต้วนเหลียนเถียนสั่นไหวเล็กน้อย รู้ว่าตนมิใช่คู่มือ จึงเก็บเจตน์กระบี่ พลางมองฉือเยี่ยนที่สีหน้าราบเรียบพร้อมกล่าวอย่างเจ็บแค้น “แหวกทะเลแล้วแน่นักหรือ?”
ฉือเยี่ยนไม่ได้ตอบคำถามเขา หากแต่ขี่กระบี่ออกไป
ต้วนเหลียนเถียนมองดูร่องรอยกองไฟพลางถอนใจออกมา ก่อนจะขี่กระบี่บินตามออกไป
ลำแสงกระบี่หายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน
พายุหิมะหยุดลง
……
……
ยอดเขาซั่งเต๋อไม่มีหิมะตก แต่กลับหนาวเย็นเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะภายในถ้ำหวงห้ามที่หนาวเย็นจนเสียดกระดูก หนาวเย็นยิ่งกว่าที่ราบหิมะ บนผนังหินมีเกล็ดน้ำค้างแข็งที่จับตัวมาเป็นหมื่นๆ ปี กลายเป็นดอกไม้รูปทรงต่างๆ
หยวนฉีจิงยืนอยู่ริมบ่อน้ำ ไม่รู้ว่ากำลังมองดูภาพทิวทัศน์ที่อยู่ก้นบ่อหรือเปล่า แม้นจะได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงคารวะก็มิได้เหลียวหน้ากลับมา
“ข้ามีอำนาจที่จะออกไปจากชิงซานเพื่อสืบคดี ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องมาห้ามข้าด้วย ทั้งยังบีบบังคับพาข้ากลับมา”
ต้วนเหลียนเถียนคล้ายดูขึงขังเต็มไปด้วยเหตุผล แต่ไม่ว่าใครต่างก็ฟังออกถึงความรู้สึกไม่สบายใจในน้ำเสียงของเขา
หยวนฉีจิงมิได้กล่าวกระไร
ฉือเยี่ยนกล่าวถาม “ใครให้เจ้าไปสืบคดีของจั่วอี้?”
ต้วนเหลียนเถียนกล่าว “นี่เดิมทีก็เป็นคดีที่ข้าสืบอยู่แล้ว เหตุใดข้าถึงจะสืบไม่ได้?”
ฉือเยี่ยนกล่าวถามว่า “เวลาสิบกว่าปีเจ้าไม่สืบ เหตุใดตอนนี้จู่ๆ ถึงมาสืบ?”
ต้วนเหลียนเถียนกล่าวอย่างหงุดหงิด “เวลาสิบกว่าปีนี้หลิ่วสือซุ่ยไม่อยู่ชิงซาน ข้าจะสืบได้อย่างไร?”
ฉือเยี่ยนเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าว “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าศิษย์หลานหลิ่วสร้างความดีความชอบให้กับชิงซานอย่างมาก?”
ต้วนเหลียนเถียนลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่ได้คิดมากขนาดนั้น ข้าเพียงแต่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ดูผิด หลิ่วสือซุ่ยจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับการตายของจั่วอี้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเหตุใดต่อให้ต้องตายเขาก็ไม่ยอมบอกมาว่าคืนนั้นเขาไปที่ไหน? เขากำลังแอบซ่อนอะไรอยู่กันแน่?”
“ต่อให้ตายก็ไม่ยอมบอกงั้นหรือ ใช้คำได้ดีนี่”
ฉือเยี่ยนมองเขาพลางกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “ตอนนั้นเจ้าคิดว่าเขาเป็นศิษย์ทรยศที่แอบกินตานปีศาจ และเรียนวิชาลับของพรรคมาร ดังนั้นจึงลงโทษเขาอย่างหนัก ตอนนี้เขากลับมาชิงซานอย่างมีเกียรติ กลายเป็นคนที่มีความดีความชอบ เจ้าเลยรู้สึกลนลานใช่ไหมล่ะ?”
ต้วนเหลียนเถียนสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวว่า “แผนการที่เจ้าสำนักให้ยอดเขาเหลี่ยงว่างไปทำ ทั้งเจ้าและข้าต่างก็ไม่รู้ หรือจะให้ข้าเป็นคนแบกรับแต่เพียงผู้เดียว?”
ฉือเยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ปัญหาอยู่ที่ว่าหลิ่วสือซุ่ยไม่มีวันลืมโทษที่เขาเคยได้รับเหล่านั้น ด้วยอนาคตของเขาในตอนนี้ เจ้าจะลนลานมันก็เป็นเรื่องสมควร”
ต้วนเหลียนเเถียนรู้สึกลนลานจริงๆ เขารีบกล่าวแย้งอย่างร้อนใจ “ข้าไม่ปฏิเสธว่ามีความคิดเช่นนี้อยู่จริงๆ หากเขาเกิดเรื่องอะไร ข้าย่อมไม่ต้องกังวลว่าเขาจะมาล้างแค้น แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าข้ามิได้โกหก เขาน่าสงสัยขนาดนี้ เหตุใดถึงจะสืบไม่ได้?”
ยอดเขาซั่งเต๋อสืบแน่ชัดแล้ว ศิษย์ที่ตายอยู่ในวัดร้างแห่งนั้นมีชื่อว่าเจี่ยนหรูซาน เป็นศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง
นอกจากคดีของจั่วอี้แล้ว การตายของเจี่ยนหรูซานคล้ายจะกลายเป็นหลักฐานยืนยันอย่างหนึ่งได้เช่นกัน อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าอาจจะเป็นเช่นนั้น
เจี่ยนหรูซานตายด้วยน้ำมือของเผ่าหมิง
คล้ายกับการตายของเว่ยเฉิงจึแห่งสำนักจงโจวในตอนแรก
ในโลกบำเพ็ญพรตทั่วไปแล้วต่างคิดว่าเว่ยเฉิงจึถูกปู้เหล่าหลินฆ่าปิดปาก
กุ่ยมู่หลิงในแม่น้ำจั๋วและเอกสารต่างๆ ที่สืบมาได้จากลานเมฆล้วนแต่แสดงให้เห็นว่าหลายปีมานี้ปู้เหล่าหลินร่วมมือกับเผ่าหมิงจริงๆ
ตอนนี้ลานเมฆถูกทำลายไปแล้ว สำนักกระบี่ซีไห่ก็ถอยกลับไปในทะเลที่อยู่ห่างออกไปสองพันกว่าลี้ เช่นนั้นยังมีใครที่สามารถใช้เผ่าหมิงฆ่าคนได้อีก?
“ต้องเป็นหลิ่วสือซุ่ยแน่”
ต้วนเหลียนเถียนกัดฟันกล่าวว่า “พวกเราต่างรู้ว่าซีหวังซุนชื่นชมเขา ในม้วนเอกสารและคำให้การล้วนแต่มีระบุอยู่ หากวิธีการและช่องทางที่ปู้เหล่าหลินติดต่อกับเผ่าหมิงยังมีหลงเหลืออยู่จริงๆ มันก็โอกาสสูงมากที่จะอยู่ในมือเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในที่สุดหยวนฉีจิงก็หมุนตัวมา ก่อนจะมองดูเขาแล้วกล่าวว่า “เจ้าสืบได้อะไรบ้าง?”
ต้วนเหลียนเถียนกล่าวว่า “คนรู้จักของจั่วอี้ในเจวี่ยนเหลียนเหรินมีชื่อว่าหลินหวงเหยียน หลังจั่วอี้ตายไป คนผู้นี้ก็หายไป หลายปีก่อนถูกพบว่าตายแล้วขอรับ”
หยวนฉีจิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ว่าต่อไป”
ต้วนเหลียนเถียนกล่าวอย่างลังเลว่า “ข้าเคยอ่านเอกสารของเจวี่ยนเหลียนเหรินในตอนนั้น พบว่าตอนนั้นหลินหวงเหยียนน่าจะกำลังสืบ…เจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ”
ฉือเยี่ยนขมวดคิ้วถาม “เหตุใดเจวี่ยนเหลียนเหรินถึงเอาเอกสารให้เจ้าดู?”
เจวี่ยนเหลียนเหรินขึ้นชื่อเรื่องการรักษความลับของข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ต้วนเหลียนเถียนมิใช่คนที่มีส่วนร่วมกับเรื่องราว ตามหลักแล้วไม่มีทางเข้าถึงเอกสารเหล่านั้นได้เด็ดขาด
ต้วนเหลียนเถียนกัดฟัน กล่าวว่า “ข้าอ้างนามกฎแห่งกระบี่”
ฉือเยี่ยนสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ในขณะที่กำลังจะต่อว่า หยวนฉีจิงบอกให้เขาพูดต่อ
ต้วนเหลียนเถียนกล่าวว่า “ไม่มีใครรู้ว่าหลินหวงเหยียนกำลังสืบอะไร เพียงแต่รู้ว่าเขาได้เจอกับจั่วอี้ จากนั้นจั่วอี้ก็รีบกลับมายังสำนัก แล้วก็ถูกฆ่าตาย”
หยวนฉีจิงกล่าว “อย่างนั้นเจ้าเองก็อยากตายเหมือนกันหรือ?”
เจ้าอยากตายหรือ?
เวลาที่คำพูดติดปากของศิษย์ชิงซานประโยคนี้หลุดออกมาจากปาก ถ้าไม่ใช่การทอดถอนใจก็เป็นการเย้ยหยัน ความรู้สึกล้วนแต่รุนแรง
แต่ในตอนที่หยวนฉีจิงกล่าวประโยคนี้กลับดูเรียบเฉย คล้ายหิมะที่ตกลงมาอย่างไร้ซุ่มเสียง
ต้วนเหลียนเถียนรู้ว่านี่เป็นการตักเตือนตนเอง จึงรีบคุกเข่าสำนึกผิด
ความผิดข้อแรกคือเขาอ้างนามของยอดเขาซั่งเต๋อ
ความผิดข้อต่อมาก็คือคดีนี้
ตามกฎของชิงซาน หากไม่ได้รับการเห็นชอบจากเจ้าสำนักหรือกฎแห่งกระบี่ ผู้ใดก็ตามที่สืบเจ้าแห่งยอดเขาล้วนแต่มีโทษถึงตาย
“เส้นสายของจั่วอี้ในเจวี่ยนเหลียนเหรินคือหลินหวงเหยียน นี่น่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นความลับอย่างมาก ใครเป็นคนบอกเจ้า?”
ฉือเยี่ยนพลันถามขึ้นมา
ต้วนเหลียนเถียนไม่กล้าลังเลอีก เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งส่งให้อีกฝ่าย
ฉือเยี่ยนรับเอาจดหมายฉบับนั้นมาอ่าน ก่อนจะกล่าวกับหยวนฉีจิงว่า “เหมือนกับจดหมายที่ตระกูลเจี่ยนได้รับ ไม่มีไอพลังหลงเหลือ ไม่สามารถตามรอยได้”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ในที่สุดต้วนเหลียนเถียนก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องนี้มีปัญหา จึงเกิดความรู้สึกเสียใจ
……
……
“เจ้าเป็นคนฆ่าหลินหวงเหยียน?”
“หลังเจวี่ยนเหลียนเหรินสืบพบร่องรอยของเขาก็แจ้งข้า ตอนนั้นข้าออกจากสำนักจะไปฆ่าลั่วไหวหนานพอดี ก็เลยถือโอกาสฆ่าเขาไปด้วย”
“ทำไมถึงไม่บอกข้า?”
“ตอนนั้นเจ้ายังอยู่ในที่ราบหิมะ”
จิ๋งจิ่วมองเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล้าว “เจ้ายังสืบอยู่?”
เจ้าล่าเยวี่ยก้มหน้าส่งเสียงอืมออกมา
หลายวันก่อนจิ๋งจิ่วยังคิดอยู่ว่านางรู้เรื่องกว่าหลิ่วสือซุ่ย ถูกตัวเองพากลับเข้ามาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง แต่วันนี้ดูแล้วเหมือนจะเป็นตัวเองที่คิดมากไป
เขาถอนใจพลางกล่าว “ช่างวุ่นวายจริงๆ”
…………………………….