มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 133 คิ้วยังคงเต็มไปด้วยเมฆหมอก
คำถามนี้ยากจะตอบได้
ไม่ว่าจะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ก็ล้วนแต่ฟังดูไม่ดี ดังนั้นจิ๋งจิ่วจึงไม่ได้สนใจชิงเหนี่ยว
ดวงตาของชิงเหนี่ยวกรอกไปมา ก่อนกล่าวถามอีกว่า “ต่อให้เจ้าไล่เจ้าซื่อบื้อนั่นออกไปจากดินแดนแห่งความฝัน เขาก็ยังไปบอกคนอื่นได้ อย่างเช่นนักพรตไป๋”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ขอเพียงผู้แสวงมรรคาที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝันไม่รู้ความคิดของข้าก็พอ”
ชิงเหนี่ยวกล่าวว่า “แต่ข้าเอาความคิดของเจ้าไปบอกพวกเขาได้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าไม่มีทางทำแบบนั้น”
ชิงเหนี่ยวค่อนข้างเศร้าใจ กล่าวว่า “ทำไมเจ้าถึงเดาความคิดของข้าออก?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เพราะข้ารู้ว่าเจ้าอยากได้อะไร”
ชิงเหนี่ยวนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ กล่าวถามว่า “เรื่องนั้นข้าไม่มีทางช่วยเจ้าได้”
ตอนที่เล่นหมากล้อมอยู่ใต้ศาลา นางเคยกล่าวเอาไว้ประโยคหนึ่ง — นางเป็นดวงจิตของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง แต่มิใช่กฎเกณฑ์
จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของนาง จึงกล่าวว่า “ข้าจะจัดการเอง”
ชิงเหนี่ยวกล่าวว่า “เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เหตุใดเจ้าถึงได้มั่นใจถึงเพียงนี้?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “อาจเป็นเพราะข้ามีประสบการณ์ในด้านนี้ค่อนข้างเยอะกระมัง”
ชิงเหนี่ยวกล่าว “หลังจากนี้ข้าควรทำอย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเคยบอกแล้ว คนที่รู้ความลับสวรรค์มีมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าไปดูพวกเขาหน่อยก็แล้วกัน”
……
……
ราชวังที่ถูกหิมะปกคลุม โลหิต ซากศพ
เมื่อเห็นภาพที่อยู่บนท้องฟ้า เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ด้านนอกหุบเขาหุยอินพากันฮือฮาขึ้นมา จากนั้นนิ่งเงียบไปเป็นเวลาครู่ใหญ่
เซ่อเซ่อและหญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยสบตากัน มองเห็นความตกตะลึงที่อยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย มิได้กล่าวกระไร
ถงเหยียนตายลงแบบนี้อย่างนั้นหรือ!
สำนักชิงซานลงมือได้เด็ดขาดจริงๆ
แต่ทุกคนต่างไม่ค่อยเข้าใจ
พวกเขามองว่าจังหวะและผลลัพธ์จากการลงมือของสำนักชิงซานครั้งนี้ล้วนแต่ไม่ดีอย่างมาก
ถงเหยียนตายแล้ว กองทหารม้าของแคว้นฉินยังอยู่ จิ้งอ๋องจะก่อกบฏ สถานการณ์ของไป๋เชียนจวินจะได้เปรียบอย่างมาก
ทางด้านสำนักชิงซาน ศิษย์ของสำนักอู๋เอินเหมินผู้นั้นตายแล้ว จัวหรูซุ่ยแขนขาดได้รับบาดเจ็บสาหัส แคว้นฉู่จะได้รับผลกระทบอย่างมาก แล้วก็จะสูญเสียความเป็นไปได้ที่จะช่วงชิงความเป็นใหญ่กับแคว้นฉินและจ้าว
การลงมือของจิ๋งจิ่วครั้งนี้ไม่ชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้?
ในส่วนลึกของหุบเขาหุยอิน แสงอาทิตย์สาดลงมาจากด้านบนโพรง ส่องสว่างคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่กำลังหมุนอย่างช้าๆ
คนที่อยู่ด้านบนคันฉ่องฟ้ากระจ่างดูเหมือนมีชีวิต คล้ายจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาเพื่อแสดงละครชีวิตที่มีทุกข์สุขพบจากอย่างไรอย่างนั้น
ถงเหยียนนั่งอยู่บนอาสนะ มองดูผู้คนที่อยู่ทางนั้น นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
ศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินผู้นั้นลืมตาตื่นขึ้นมา
ถงเหยียนมองไป
ทั้งสองคนสบตากัน ก่อนจะแยกจากกันอีกครั้ง
ก็เหมือนกับที่หญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเคยพูดกับเซ่อเซ่อเอาไว้ ผู้แสวงมรรคาไม่สามารถเอาบุญคุณความแค้นจากในดินแดนแห่งความฝันกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้
ส่วนในใจพวกเขาจะคิดอย่างไร เรื่องนั้นไม่มีใครรู้
ถงเหยียนคาดเดาได้ว่าศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินผู้นี้เป็นใคร จึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ที่มากกว่านั้นก็คือระแวดระวัง
หลิ่วสือซุ่ยที่อยู่ในคุกกระบี่ก็ยังถูกปล่อยออกมา เห็นได้ชัดว่าสำนักชิงซานเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้มาเป็นอย่างดี ตั้งใจว่าจะเอายันต์เซียนวัฒนะไปให้ได้
เมื่อคิดถึงยันต์เซียนที่ทำให้ทุกคนลุ่มหลง แล้วก็วิธีการจิ๋งจิ่วแล้ว คิ้วทั้งสองข้างของถงเหยียนพลันขมวดขึ้นมา แต่คิ้วกลับยังคงบางเป็นอย่างมาก คล้ายกับใบหลิวที่ถูกสายลมม้วนจนหักงอขึ้นมา
สองมือเขาห้อยตกลงข้างกาย เตรียมจะผลักล้อรถเข็นออกไป แต่เมื่อมือสัมผัสกับพื้น เขาถึงได้คิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ที่นี่มิใช่ชางโจว แล้วก็มิใช่เมืองหลวงของแคว้นฉู่
ผู้แสวงมรรคาหลายคนที่ตื่นขึ้นมาจากคันฉ่องฟ้ากระจ่างก่อนหน้านี้มองเห็นภาพนี้ จึงพากันหลุดยิ้มออกมา ในใจครุ่นคิดว่าที่แท้ถงเหยียนแห่งจงโจวก็มิได้ต่างอะไรกับพวกตนเอง
ในเวลานี้หลิ่วสือซุ่ยจำเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว
เขาจ้องมองแผ่นหลังของถงเหยียนที่กำลังจากไป ในใจครุ่นคิดว่าเรื่องที่คุณชายต้องการปิดบังคงจะต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน ตัวเองควรคิดหาวิธีถ่วงคนผู้นี้เอาไว้หรือไม่?
ถงเหยียนเดินผ่านอุโมงค์กลับมายังหอเล็ก หลังออกมาจากหอก็มิได้เดินออกไปนอกหุบเขาหุยอิน หากแต่เหยียบอากาศทะยานออกไป
วิชาหลบหนีฟ้าดินยอดเยี่ยมล้ำลึก เพียงไม่กี่อึดใจเขาก็ฝ่าทะเลเมฆขึ้นมายังยอดเขายอดหนึ่งที่สูงเป็นอย่างมากของเขาอวิ๋นเมิ่ง
ริมหน้าผามีรั้วไม้
หญิงสาวชุดขาวผู้หนึ่งยืนอยู่ริมรั้ว
นางมองดูภูเขาหิมะที่อยู่ห่างออกไป ตนเองก็ยืนจนดูคล้ายภูเขาหิมะลูกหนึ่งเช่นกัน
ถงเหยียนลงมายังยอดเขา กล่าวคารวะว่า “คารวะอาจารย์”
ตามหลักแล้ว ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือขั้นมหายาน นางไม่ควรจะสนใจงานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้นัก แต่นักพรตไป๋กลับยืนดูอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานี่สิบกว่าวันแล้ว
“จิ๋งจิ่วไม่ตั้งใจเป็นฮ่องเต้ให้ดี เขาคิดจะทำอะไร?” นางกล่าวถาม
ถงเหยียนกล่าว “เขาไม่คิดจะเข้าร่วมการช่วงชิงแผ่นดิน หากแต่จะสังหารผู้แสวงมรรคาทั้งหมดขอรับ”
“อาศัยเพียงเขา?” นักพรตไป๋หมุนตัวกลับมา
บนใบหน้าของนางคล้ายมีหมอกบางๆ ปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง มองไม่เห็นใบหน้า คล้ายมองเห็นแค่เพียงความเย็นยะเยือกที่อยู่ในส่วนลึก
ถงเหยียนครุ่นคิด ก่อนจะมั่นใจว่าการวิเคราะห์ของตนเองไม่ผิด จากนั้นกล่าวว่า “ขอรับ”
นักพรตไป๋กล่าวว่า “นักฆ่าอย่างจัวหรูซุ่ยสุดท้ายก็มีแต่ต้องตาย แล้วเขาจะไปแตกต่างได้อย่างไร?”
ในคันฉ่องฟ้ากระจ่างมีการจำกัดสภาวะเอาไว้ ผู้บำเพ็ญพรตบรรลุได้ถึงแค่ขั้นจิตก่อรูประดับต้น หรือก็คือขั้นคเนจรระดับต้น ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางจะสู้กับกำลังของแคว้นหนึ่งแคว้นได้
ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เขาน่าจะเตรียมทำลายขีดจำกัดขอรับ”
จิ๋งจิ่วไล่เขาออกมาจากดินแดนแห่งความฝัน ก็ด้วยเพราะไม่อยากให้เขาเอาการคาดเดานี้ไปบอกแก่ไป๋เชียนจวินและผู้บำเพ็ญพรตคนอื่น
หากผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นล่วงรู้ความคิดของจิ๋งจิ่ว และคิดว่าความคิดของเขามีโอกาสเป็นไปได้ พวกเขาจะต้องบุกโจมตีแคว้นฉินก่อนเวลา และรีบชิงสังหารจิ๋งจิ่วก่อนที่จะเขาจะทำสำเร็จอย่างแน่นอน
นักพรตไป๋กล่าวว่า “ความคิดบ้าๆ แบบนี้มาจากไหนกัน?”
ถงเหยียนกล่าว “มั่วกงเคยมีโอกาสที่จะทำลายทัณฑ์สวรรค์ครั้งหนึ่ง ข้าคิดว่าเรื่องนี้น่าจะไปกระตุ้นเขาเข้าขอรับ”
“อยู่ในดินแดนแห่งความฝันก็คิดจะบรรลุกลายเป็นเซียน?”
บนใบหน้านักพรตไป๋มีรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นมา
ถงเหยียนรู้ว่าเหตุใดอาจารย์ถึงได้ดูแคลนความคิดของจิ๋งจิ่วถึงเพียงนี้
คันฉ่องฟ้ากระจ่างคือของวิเศษโดยธรรมชาติอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพลังเซียนสะกดเอาไว้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ดวงจิตของผู้แสวงมรรคาที่อยู่ด้านในจะทำลายข่ายพลังปิดกั้นได้
ในอดีตก็เคยมีเหตุการณ์เหมือนอย่างมั่วกงปรากฏขึ้นมา แต่ก็ถูกเจตจำนงของเซียนทำลายจนสิ้น จิ๋งจิ่วเองก็มีแต่ต้องเจอจุดจบเช่นนี้เหมือนกัน
ถงเหยียนมิได้กล่าวกระไรอีก
ความคิดของจิ๋งจิ่วนั้นช่างเหลวไหลเสียจริง
ต่อให้ผู้แสวงมรรคาคนอื่นจะรู้ถึงความคิดของเขา แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่มีทางเชื่อเช่นกัน
ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเป็นเพียงความคิดที่เหลวไหลจริงๆ เหตุใดจิ๋งจิ่วถึงต้องทำอะไรมากมายขนาดนี้ ยอมเสียค่าตอบแทนมากมายขนาดนี้เพื่อจะไล่ตัวเองออกมาจากดินแดนแห่งความฝันด้วย?
ถงเหยียนคิดถึงคำถามนี้ จู่ๆ พลันรู้สึกว่าลมบนยอดเขาหนาวเย็นกว่าที่ผ่านมา
……
……
สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังแล้ว ตำหนักเย็นย่อมต้องเป็นสถานที่ที่หนาวเย็นที่สุด แต่จิ๋งจิ่วมิได้คิดเช่นนี้ เพราะเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ อาจเป็นเพราะตอนนี้เขายังอยู่ในตำหนักหลักอยู่ กฎเกณฑ์ทุกอย่างเหมือนเดิม ข้าวของเครื่องใช้ถูกส่งเข้าไปมิได้ขาด มีเพียงประตูวังที่ถูกปิดเอาไว้ เหล่าขันทีและนางกำนัลห้ามมิให้พูดคุยกับเขา
ในคืนวันหนึ่ง นกชิงเหนี่ยวมาเกาะที่หน้าต่าง ส่งเสียงจิ๊บๆ
จิ๋งจิ่วเสร็จสิ้นการนั่งสมาธิ ลืมตาขึ้นมา
นกชิงเหนี่ยวเดินจากบนตั่งมาตรงหน้าเขา เงยหน้ามองเขาพลางกล่าว “หนังสือสารภาพผิดของเจ้าเขียนได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ขนาดข้ายังเกือบนึกว่าเจ้าเป็นกษัตริย์ปัญญาอ่อนจริงๆ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “มหาบัณฑิตเขียนได้ไม่เลว”
นกชิงเหนี่ยวถึงได้รู้ว่ากระทั่งหนังสือสารภาพผิดก็ยังมีคนเขียนให้ จึงกางปีกขวาออกมาปิดใบหน้า พลางกล่าวอย่างเหนื่อยใจว่า “เจ้ายังเกียจคร้านได้มากกว่านี้หรือเปล่า?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
นกขิงเหนี่ยวรู้ว่าการคุยกับเขานั้นเป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่สุดในโลก จึงเรียกสติของตนเองขึ้นมาพลางกล่าวว่า “เจ้าคิดไม่ถึงแน่ว่าข้าเห็นหนังสือสารภาพผิดฉบับนั้นที่ไหน”
ในใจจิ๋งจิ่วครุ่นคิดว่าบนกำแพงเมืองในเมืองหลวงและเมืองต่างๆ น่าจะมี ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไปเห็นมาจากไหน?
นกชิงเหนี่ยวกล่าวว่า “จากในวังหลวงของแคว้นจ้าว”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าไปที่นั่นทำอะไร?”
นกชิงเหนี่ยวกล่าวว่า “ข้าไปดูตามที่ต่างๆ อย่างที่เจ้าบอก คิดไม่ถึงว่าจะเห็นคนคนหนึ่งจริงๆ”
จิ๋งจิ่วมองนางเงียบๆ มิได้กล่าวกระไร
ชิงเหนี่ยวกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “ฮ่องเต้แคว้นจ้าวเหมือนจะตื่นรู้แล้วเช่นกัน”