มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 138 ไฟสลัวภายในห้อง ไม่สามารถส่องทะลุตัวข้าได้
น้อยครั้งที่ภายในตำหนักเย็นจะจุดไฟ แต่วันนี้กลับจุดไฟขึ้นมาดวงหนึ่ง เพราะวันนี้มีแขกคนสำคัญมาเยือน
เมื่อเห็นศีรษะที่เต็มไปด้วยผมขาวโพลนของมหาบัณฑิตจาง จิ๋งจิ่วถึงได้พบว่าเวลานั้นผ่านมานานขนาดนี้แล้ว
“เดิมข้าคิดว่าเจ้ายังอยู่ไปได้อีกหลายปี ด้วยความสามารถของเจ้าแล้ว การก่อกบฏของอ๋องจิ้งนั้นเป็นเรื่องเล็ก แคว้นฉินและจ้าวก็ไม่ถือว่าน่ากลัว ใต้หล้านี้ไม่มีทางที่จะมีปัญหาใดๆ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมาถึงแล้ว”
มหาบัณฑิตจางกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ปีนี้กระหม่อมอายุแปดสิบ ถือว่าอายุมากแล้ว หากไม่เป็นเพราะโอสถที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ทุกวัน เกรงว่ากระหม่อมคงกลายเป็นกระดูกไปนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าใช้เจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า”
มหาบัณฑิตจางกล่าวอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาทกล้าใช้กระหม่อม ไว้วางพระทัยกระหม่อม นับเป็นบุญวาสนาอย่างหาที่สุดมิได้ของกระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ๋งจิ่งกล่าวว่า “ข้าเองก็รู้สึกไม่เลวเช่นกัน”
มหาบัณฑิตจางมองดูใบหน้าของเขา คล้ายว่ามองเห็นฮ่องเต้น้อยที่ไม่ชอบพูดจาเมื่อหลายปีก่อนคนนั้น จู่ๆ พลันถามขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ทรงประสบความสำเร็จหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ถึงแม้ฝ่าบาทจะมิเคยกล่าวอธิบายอะไร แต่มีหรือที่คนเฉลียวฉลาดอย่างมหาบัณฑิตจะคาดเดาอะไรไม่ออก?
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “การบรรลุกลายเป็นเซียนจำเป็นต้องทำลายกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ ถือเป็นเรื่องที่ยากเย็นที่สุดในโลกที่สมบูรณ์แบบ ข้าอาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีถึงกลับออกไปได้”
ต่อให้เป็นโลกแห่งความเป็นจริง เขาก็แทบจะไม่เคยอธิบายเรื่องการบำเพ็ญเพียรของตนเอง มีเพียงเจ้าล่าเยวี่ยและคนแค่ไม่กี่คนที่เคยได้ยินเขาพูด
ในเวลานี้เขาพูดเพียงสั้นๆ แต่ก็ถือเป็นการตั้งใจอธิบายให้มหาบัณฑิตจางฟังแล้ว
มหาบัณฑิตจางตบหัวเข่าขอวตนเองอย่างรู้สึกเสียดาย กล่าวว่า “เสียดายที่กระหม่อมรอถึงวันนั้นมิได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ๋งจิ่วกล่าววว่า “อาจจะใช่”
มหาบัณฑิตจางมองดูใบหน้าเขา ก่อนกล่าวอย่างจริงจังว่า “ห้าแคว้นในใต้หล้าเหลือเพียงสี่แคว้น แคว้นฉีเชื่องช้าและอ่อนแอ แคว้นจ้าวแข็งแกร่งที่ขันทีเหอ หลังสิ้นขันทีเหอไปแล้วก็ไม่มีอะไรต้องกังวล กระหม่อมพยายามอยู่หลายปี แต่ก็ยังไม่อาจแก้ไขวิถีความเป็นอยู่ในสังคมได้ ราชสำนักดูผิวเผินเหมือนรุ่งโรจน์ แต่ความจริงแล้วเต็มไปด้วยรูพรุน หลังกระหม่อมตายไปแล้ว เกรงว่าคงจะพังทลายลงพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าอยากจะพูดอะไร?”
“เห็นแก่ไพร่ฟ้า ฝ่าบาทเสด็จออกมาเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ในเมื่อวุ่นวายยากแก้ไข ไยต้องแก้ไข สู้ไม่ได้แล้วยังฝืนสู้ คนตายมีแต่จะมากขึ้น”
มหาบัณฑิตจางนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “ฝ่าบาทตรัสมีเหตุผล กระหม่อมดื้อรั้นไปหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ว่าใครต่างก็มีเรื่องให้ดื้อรั้น ยกเว้นแต่เพียงคนปัญญาอ่อน”
มหาบัณฑิตจางพลันหัวเราะขึ้นมา มองเขาพลางกล่าวถามว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงเป็นอัจฉริยะหรือคนปัญญาอ่อนกันแน่พ่ะย่ะค่ะ?”
ภายใต้ดวงตาของจิ๋งจิ่วมีรอยยิ้มจางๆ เขากล่าวว่า “ข้าฉลาดมาก เพียงแต่ค่อนข้างขี้เกียจ”
เมื่อคิดถึงการใช้ชีวิตอยู่ในวังของฝ่าบาทในเวลาสามสิบปีที่ผ่านมา มหาบัณฑิตจางเกิดความรู้สึกทอดถอนใจมากมาย เขากล่าวว่า “เมื่อก่อนกระหม่อมไม่เข้าใจ คิดว่าเหตุใดในโลกนี้ถึงได้มีคนที่เกียจคร้านถึงเพียงนี้ได้ ภายหลังกระหม่อมถึงได้เข้าใจว่าฝ่าบาททรงมิใช่คนในโลกปุถุชน เพียงแต่ต้องเกิดมาในราชวงศ์ สำหรับฝ่าบาทแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “วังเหมาะสำหรับการบำเพ็ญเพียรอย่างมาก อีกทั้งเจ้าเองก็ดีมาก ดังนั้นไม่น่าเสียดาย”
เมื่อได้ยินฝ่าบาทกล่าวชมเชย มหาบัณฑิตจางรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาจนเกือบจะเสียการควบคุม เขาฝืนสงบสติอารมณ์ ก่อนกล่าวถามว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงเป็นเซียนที่จุติลงมาจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
นี่เป็นเรื่องที่เขาสงสัยที่สุดในชีวิต เป็นคำถามที่เขาอยากจะรู้มากที่สุดก่อนตาย
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ใช่”
มหาบัณฑิตจางตกตะลึงจนพูดไม่ออก กล่าวว่า “นี่…ช่าง….ชีวิตนี้กระหม่อมได้รับใช้ฝ่าบาท ไม่มีอะไรให้เสียใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ๋งจิ่วตบบ่าเขา พลางกล่าวว่า “เอาเป็นว่า หลายปีมานี้ขอบคุณเจ้ามากนะ”
มหาบัณฑิตจางไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้อีก น้ำตานองหน้า ก้มกราบลงไปกับพื้นอยู่เป็นเวลานาน
……
……
ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง มหาบัณฑิตถึงแก่กรรม
ทั่วทั้งแคว้นฉู่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ทั้งเมืองสวมชุดไว้ทุกข์ กระทั่งแคว้นฉิน จ้าวและฉีก็ยังส่งคณะตัวแทนมาแสดงความเสียใจ จากคำบอกเล่าของคนในเรือนมหาบัณฑิต เหล่าฮูหยินนั้นได้ขอให้จัดงานศพอย่างเรียบง่าย แต่ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองตัวจริงของแคว้นฉู่มาเป็นเวลายี่สิบกว่าปี คำขอนี้ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน คำว่างานศพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ยังไม่เพียงพอที่จะใช้นิยามภาพงานศพที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
เหล่าฮูหยินที่มีสาวใช้คอยพยุงพาลูกชายสามคนออกมาจัดการเรื่องงานศพอยู่หลายวัน แต่คุณชายใหญ่ที่ถูกส่งไปอยู่ทางใต้เมื่อครั้งนั้นกลับมิได้ปรากฏตัว
ในอดีตจิ๋งจิ่วเคยชี้ไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่างพลางกล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยว่าไม่ว่าจะเป็นหนทางใด ขอเพียงเดินไปจนสุดทาง สุดท้ายก็มีแต่ต้องวกกลับเท่านั้น บนโลกมีเรื่องราวมากมายที่เป็นเช่นนี้ งานศพของมหาบัณฑิตได้นำมาถึงผลกระทบด้านลบมากมาย หลุมฝังศพไม่เพียงแต่จะใหญ่เกินไป แต่สิ่งที่วุ่นวายมากที่สุดก็คือการห้ามชาวบ้านแต่งงานเป็นเวลาร้อยวัน ทำให้ความเศร้าในหมู่ประชาชนแปรเปลี่ยนเป็นเสียงก่นด่าอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศภายในเมืองหลวงค่อยๆ เปลี่ยนไป
ในรุ่งเช้าวันหนึ่ง มหาบัณฑิตเฉินได้พาขุนนางผู้ใหญ่และอ๋องจำนวนหลายคนเข้ามาในวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท ไม่รู้ว่ามีเรื่องใด
จากข่าวที่ขันทีภายในวังบอกเล่า ฝ่าบาททรงมิได้ให้คนเหล่านี้เข้าเฝ้า
จนกระทั่งในเวลานี้ขุนนางและประชาชนจำนวนมากถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าที่แท้แคว้นฉู่ยังมีฮ่องเต้อยู่ ในตอนที่มหาบัณฑิตจางยังมีชีวิตอยู่ เรื่องเหล่านี้ไม่มีใครคิดถึง แต่ตอนนี้มหาบัณฑิตตายไปแล้ว ในราชสำนักไม่อาจมีขุนนางที่มีอิทธิพลเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นคนที่สองอีก อย่างนั้นตำแหน่งฮ่องเต้จึงเปลี่ยนเป็นมีความสำคัญขึ้นมาทันที
มหาบัณฑิตจางได้เตรียมการเอาไว้มากมายก่อนจะตาย หากทุกอย่างดำเนินไปตามที่วางแผนเอาไว้ มรดกทางด้านการปกครองที่เขาทิ้งเอาไว้ให้แก่แคว้นฉู่น่าจะยังอยู่ไปได้อีกหลายปี
แต่ที่น่าเสียดายก็คือในหมู่ขุนนางนั้นมักจะมีความทะเยอทะยานอยู่ ความละโมบในอำนาจได้ทำให้ราชสำนักไม่อาจสงบสุขไปได้ตลอด
ในตอนที่ฝนฤดูใบไม้ร่วงครั้งที่สามตกลงมา ฝ่ายตรวจการก็เริ่มลงมือ ฎีกาสิบกว่าฉบับถูกส่งไปยังสำนักตรวจฎีกากลาง กล่าวหาเจ้าเมืองคนหนึ่ง
หลังมหาบัณฑิตเฉินและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้เห็นฎีกาเหล่านั้น พวกเขาก็ส่งฎีกาเข้าไปในวังโดยไม่พูดอะไร
ฝ่าบาทไม่ได้ใช้ลัญจกรมาเป็นเวลาหลายปี ครั้งนี้ดูแล้วก็คงไม่มีข้อยกเว้น แต่พฤติกรรมของขุนนางในราชสำนักเดิมมันก็เป็นการแสดงให้เห็นท่าทีอย่างหนึ่ง
เจ้าเมืองคนนี้คือคนที่มหาบัณฑิตจางเก็บเอาไว้ พูดให้ถูกก็คือเขาเป็นอัครมหาเสนาบดีที่มหาบัณฑิตจางเตรียมเอาไว้ให้จิ๋งจิ่วในอีกสิบปีหลังจากนี้
เมื่อลมฝนเกิดขึ้นพร้อมกันก็ยากจะได้พักผ่อน ไม่นานปลายหอกแห่งความขัดแย้งก็ชี้ไปยังนายพลเผย
หลังดื่มสุราไปเหยือกหนึ่ง นายพลชื่อดังแห่งแคว้นฉู่ผู้นี้ก็เดินทางทั้งวันทั้งคืนกลับมายังเมืองหลวง จากนั้นถูกจับขังเข้าคุกหลวงทันที โดยโทษที่เขาถูกกล่าวหาคือติดสินบน ทุจริต ติดต่อศัตรูและเลี้ยงดูโจร ข้อหาสามข้อหลังนั้นค่อนข้างธรรมดา ปัญหานั้นอยู่ที่ข้อกล่าวหาที่ว่าเขาติดสินบน ขุนนางที่ใหญ่พอจะให้นายพลเผยติดสินบน…มีเพียงแค่มหาบัณฑิตจางที่เสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น
ลมฝนกลายเป็นพายุฝน ขุนนางที่ยังคงมีใจรักมหาบัณฑิตจางต่างถูกกำจัดออกไปอย่างรวดเร็ว ภายในเมืองหลวงเองก็มีข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับมหาบัณฑิตจางออกมามากมาย
จริงอยู่ที่ในอดีตมหาบัณฑิตบริหารบ้านเมืองอย่างแข็งกร้าว ในหมู่ข้าราชการและประชาชนนั้นมีคำวิพากษ์วิจารณ์มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นแอบซ่อนอยู่ในความมืด จนกระทั่งในเวลานี้ถึงจะปรากฏออกมาให้เห็น
ภายในข่าวลือเหล่านั้นบอกว่ามหาบัณฑิตจางเป็นคนชอบความฟุ้งเฟ้อหรูหรา นิสัยโหดเหี้ยมเย็นชา ไม่มีความเคารพฝ่าบาท ไร้ซึ่งความเมตตาต่อประชาชน
เพียงไม่นาน ไม่สิ ควรจะบอกว่าอย่างรวดเร็ว มหาบัณฑิตก็เปลี่ยนจากขุนนางที่มีชื่อเสียงกลายเป็นขุนนางที่วางอำนาจบาตรใหญ่ จากนั้นเพียงพริบตาก็กลายเป็นขุนนางทุจริตที่ชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ในที่สุดก็มีขุนนางฟ้องร้องมหาบัณฑิตจางเก้าข้อหาใหญ่
เรือนมหาบัณฑิตถูกทหารหลวงล้อมเอาไว้ ขุนนางในราชสำนักเองก็มิได้ลืมคุณชายใหญ่แห่งตระกูลจางที่อยู่ไกลถึงทางใต้ พวกเขาส่งทหารม้าไปคุมตัวกลับมา
ราชสำนักไม่ได้ล่ามตรวนคุณชายใหญ่ แล้วก็ไม่ได้จับเขาไปขังคุก กระทั่งเชือกก็ไม่ได้มัด หากให้เขาขี่ม้าตามมา แล้วก็จงใจปล่อยข่าวออกไป
เศษผักของชาวบ้านที่โกรธแค้นและน้ำหมึกที่เหล่าบัณฑิตสาดออกมาปลิวว่อนไปมาสองข้างของถนน ดูคล้ายห่าฝน เปรอะเปื้อนเต็มใบหน้าและร่างกายของเขา
คุณชายใหญ่ตระกูลจางนั่งอยู่บนม้า กัดริมฝีปากแน่น ใบหน้าขาวซีด มิได้กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว
……
……
ในเรือนมหาบัณฑิตเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ เหล่าฮูหยินนั่งรถม้าไปยังคุกหลวง ทหารหลวงแตกตื่นเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ห้ามอะไร
เรือนมหาบัณฑิตที่ปกครองแคว้นฉู่มาหลายปี ถึงแม้จะเจอมรสุมอย่างรุนแรง แต่พวกเขาก็ยังมีขุมกำลังแอบซ่อนเอาไว้อยู่
ภายในคุกหลวงอันมืดมิด เมื่อเห็นลูกชายคนโตที่ไม่ได้เจอมานาน เหล่าฮูหยินเหมือนจะแก่ลงไปเล็กน้อย
คุณชายใหญ่คุกเข่าลงโดยมีลูกกรงเหล็กขวางกั้น กล่าวด้วยน้ำตานองหน้ามา “ท่านแม่ ลูกอกตัญญู ไม่ได้มาส่งท่านพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ตอนนี้ยังต้องมาให้ท่านเป็นห่วงอีก”
เหล่าฮูหยินนั่งลงบนเก้าอี้โดยมีสาวใช้คอยพยุง นางจ้องมองดวงตาของเขาพลางกล่าวถามว่า “คดีอาวุธนั่นเป็นเรื่องจริง?”
คุณชายใหญ่นิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะพยักหน้าออกมา จากนั้นกล่าวว่า “นั่นเป็นเรื่องเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ขอท่านแม่อย่าโกรธที่ลูกเลอะเลือน”
“ข้าให้คนส่งเอกสารมาให้ดูแล้ว คดีอาวุธเจ้าแค่รับเงินเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไรอื่น ไม่ถึงกับเลอะเลือน”
เหล่าฮูหยินค่อนข้างเหนื่อยล้า กล่าวว่า “เงินที่พ่อของเจ้ารับมาชั่วชีวิตนี้มากกว่านี้มากนัก”
คุณชายใหญ่คลานมาข้างหน้า เอามือคว้าจับลูกกรงเอาไว้ กล่าวถามว่า “พวกสารเลวในราชสำนักนั่นมันคิดจะทำอะไรกันแน่ขอรับ”
เหล่าฮูหยินแค่นหัวเราะขึ้นว่า ก่อนกล่าวว่า “จะทำอะไรล่ะ? พวกมันก็คิดจะป้ายสีพ่อเจ้า จากนั้นเหยียบให้จมดินไงล่ะ”
คุณชายใหญ่นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “จัดการข้านั้นเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าคิดจะลงโทษท่านพ่อ อาศัยเพียงพวกเขาจะทำได้ยังไงขอรับ?”
เหล่าฮูหยินจึงกล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า “พวกมันถึงได้ยกฝ่าบาทขึ้นมาอ้างไง”
คุณชายใหญ่ตกใจเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “ฮ่องเต้ปัญญาอ่อนนั่นน่ะหรือ?”
เหล่าฮูหยินกล่าวว่า “ว่ากันว่าพ่อของเจ้าสร้างคดีรัฐทายาทอ๋องจิ้งขึ้นมาก็เพื่อจะจับฝ่าบาทไปขังเอาไว้ในวัง นี่เป็นโทษหนักถึงขั้นประหารเก้าชั่วโคตร”
สีหน้าของคุณชายใหญ่ยิ่งขาวซีด เขากล่าวว่า “จริงอยู่ที่ท่านพ่อไม่เคารพต่อฝ่าบาท หรือว่า…มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอรับ?”
เหล่าฮูหยินกล่าวว่า “คนที่พ่อของเจ้าเคารพมากที่สุดในชีวิตนี้ก็คือฝ่าบาท เขาจะทำเรื่องเหลวไหลแบบนั้นได้อย่างไร?”
คุณชายใหญ่ไม่เชื่อคำพูดประโยคนี้ เขายิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายมันก็ไม่มีประโยชน์แล้วท่านแม่ ข้าไม่อยากจะถูกสารเลวพวกนี้มันดูหมิ่น…”
เหล่าฮูหยินกล่าวว่า “ที่ข้ามาหาเจ้าในคืนนี้ ก็เพราะว่ากลัวเจ้าจะทำเรื่องเหลวไหลนั่นแหละ”
คุณชายใหญ่กล่าวถามอย่างแปลกใจเล็กน้อย “หรือว่าเรื่องราวมันจะยังแก้ไขได้?”
เหล่าฮูหยินกล่าวว่า “ก่อนตายพ่อของเจ้าเคยบอกไว้ว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง”
คุณชายใหญ่ไม่เข้าใจคำสั่งเสียของผู้เป็นบิดา เขากล่าวถามว่า “นี่มันหมายความว่าอย่างไรขอรับ?”
เหล่าฮูหยินกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่ดูแล้วน่าจะเกี่ยวข้องกับลัญจกร”
คุณชายใหญ่คิดถึงข่าวลืออันนั้น จึงรู้สึกมีหวังขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “ลัญจกรหายไปแล้วจริงๆ หรือขอรับ?”
เหล่าฮูหยินกล่าวว่า “ข้าเดาว่าพ่อเจ้าน่าจะเอาลัญจกรถวายคืนให้ฝ่าบาทแล้ว ตอนนี้พวกขุนนางในราชสำนักไม่มีลัญจกร แล้วจะลงโทษตระกูลจางของพวกเราได้อย่างไร?”
……
……
ฝนปลายฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นเป็นยิ่งนัก
มหาบัณฑิตเฉินพาขุนนางชั้นผู้ใหญ่อย่างเจ้ากรมพิธีการมายืนรออยู่ด้านนอกตำหนักครึ่งชั่วยาม แต่ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาทให้เข้าเฝ้าได้
ฟ้าค่อยๆ มืดลง มหาบัณฑิตเฉินสบตาทุกคน ก่อนจะเดินออกไปเป็นคนแรก
เมื่อเดินอยู่ในอุโมงค์ประตูวัง เขาใช้เสียงที่แผ่วเบากล่าวว่า “อยู่ในตำหนักนั้นจริงๆ หรือ?”
จินเฉิงเจ้ากรมพิธีการคือศิษย์ที่มหาบัณฑิตจางให้ความสำคัญมากที่สุด ปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่า
ใครจะไปคิดถึงว่าเขาจะเป็นขุนนางคนแรกที่เล่นงานตระกูลจาง
“ตอนนั้นอาจารย์อยู่ในตำหนักนั้นครึ่งคืน ไม่มีใครรู้ว่าเขาคุยอะไรกับฝ่าบาท”
จินเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “แต่เช้าวันที่สองก็ไม่มีใครเห็นลัญจกรในตำหนักแล้วขอรับ”
มหาบัณฑิตเฉินหรี่ตา กล่าวว่า “ดูเหมือนฝ่าบาทจะเอาลัญจกรนั้นเป็นไพ่ตายสำหรับรักษาชีวิต เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
จินเฉิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฤดูใบไม้ร่วงอากาศแห้ง ควรระวังฟืนไฟ”
มหาบัณฑิตเฉินมองดูบันไดหินที่ถูกฝนตกใส่จนเปียกชื้น หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่จึงพยักหน้าออกมาเล็กน้อย
…………………………………………………….