มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 14 ยอดเขาข้าไม่โดดเดี่ยว
“เพราะว่า…ไม่ยอมน่ะสิ”
เจ้าล่าเยวี่ยเงยหน้าขึ้นมา จ้องมองดวงตาเขาอย่างกล้าหาญ ก่อนกล่าวว่า “ข้าอยากจะรู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำให้ปรมาจารย์อาบรรลุเป็นเซียนล้มเหลว”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ตอนที่อยู่ในเมืองเฉาหนานข้าเคยบอกแล้ว เหลยพั่วอวิ๋นแอบเอาไม้วิญญาณอัศนีส่งเข้าไปในคุกกระบี่เพื่อช่วยคนผู้นั้นออกมา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบรรลุเป็นเซียนเลย”
จั่วอี้เป็นคนของยอดเขาปี้หู น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เจ้าล่าเยวี่ยสืบเรื่องนี้ผ่านทางเจวี่ยนเหลียนเหริน หลินหวงเหยียนรู้เข้าจึงไปบอกจั่วอี้ จั่วอี้ย่อมต้องอยากจะฆ่านาง แต่กลับถูกนางและจิ๋งจิ่วสังหารกลับแทน
เบาะแสนี้ของยอดเขาปี้หู สิ้นสุดลงตั้งแต่ตอนนั้น
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าไม่เข้าใจ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “สุดท้ายเหลยพั่วอวิ๋นก็ตาย เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “หรือว่าไม่อาจใช้เบาะแสนี้สืบไปถึงฟางจิ่งเทียนจากได้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ฟางจิ่งเทียนอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่การสนทนาระหว่างเขากับเหลยพั่วอวิ๋นไม่มีทางที่จะมีคนล่วงรู้ได้”
แผนการลับของเจ้าแห่งยอดเขาสองคนไม่มีทางที่จะทิ้งหลักฐานใดๆ เอาไว้
ก็เหมือนกับที่จิ๋งจิ่วเคยบอกเอาไว้ แล้วก็ที่เขาเพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่นี้ เรื่องนี้ไม่มีหลักฐานใดๆ ให้สืบต่อไปได้ มีแต่ต้องไปถามตรงๆ
ในใจใครมีผีอยู่กันแน่ มีแต่ตัวคนที่ทำเท่านั้นถึงจะรู้ได้
……
……
ลำแสงกระบี่สายหนึ่งบินขึ้นมาอย่างรวดเร็วในยอดเขาเหลี่ยงว่าง
ทุกคนพบว่าคนที่ขี่กระบี่คือเจี่ยนหรูอวิ๋น ทำเอารู้สึกตกใจอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าที่่ผ่านมาศิษย์พี่สี่มีนิสัยใจเย็นไม่ประมาท เหตุใดวันนี้ถึงได้ใจร้อนเพียงนี้?
ลำแสงกระบี่บินลงไปยังที่ที่หนึ่ง ศิษย์ที่อยู่รอบๆ พากันรีบเข้ามา เจี่ยนหรูอวิ๋นผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าเองก็ดูไม่เรียบร้อย เขามาด้วยความรีบร้อนอย่างมาก
เจี่ยนหรูอวิ๋นเดินมาถึงหน้าถ้ำแห่งนั้น มองดูประตูหินที่ปิดสนิท สีหน้าที่ดูคร่ำเคร่งอยู่แล้วยิ่งดูแย่เข้าไปใหญ่
นอกถ้ำแห่งนั้นปลูกไผ่เอาไว้หลายกอ นี่คือไผ่ที่หลิ่วสือซุ่ยย้ายมาจากยอดเขาเทียนกวง
เขาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่ยอมกราบผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งเป็นอาจารย์อีก หลายวันมานี้พักอยู่ที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างมาโดยตลอด
เมื่อเห็นสีหน้าของเจี่ยนหรูอวิ๋น เหล่าลูกศิษย์ต่างรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ในใจครุ่นคิดว่าศิษย์พี่มาหาหลิ่วสือซุ่ยทำไม? ในตอนที่อยู่ในแม่น้ำจั๋วครั้งนั้น จริงอยู่ที่ศิษย์พี่เจี่ยนกับหลิ่วสือซุ่ยมีความขัดแย้งกัน แต่นั่นก็เป็นการแสดงเพื่อหลอกปู้เหล่าหลินมิใช่หรือ? หรือว่าระหว่างทั้งสองคนนี้จะมีอะไรกันจริงๆ?
กั้วหนานซาน กู้หานและหม่าหวา พอทราบข่าวก็รีบรุดมา ก่อนจะเห็นสถานการณ์ตรงหน้าถ้ำที่ดูวุ่นวาย กั้วหนานซานเลิกคิ้วเล็กน้อย เหล่าลูกศิษย์รีบเปิดทาง
“เกิดอะไรขึ้น?” กู้หานถาม
“หรูซาน…ตายแล้ว”
เสียงของเจี่ยนหรูอวิ๋นสั่นเครือเล็กน้อย ในดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเสียใจ
กั้วหนานซานตกตะลึงเป็นอย่างมาก กล่าวถามเสียงคร่ำเคร่งว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
เจี่ยนหรูอวิ๋นสูดหายใจ บังคับให้ตัวเองสงบลง ก่อนกล่าวว่า “เขากำลังสืบเกี่ยวกับการตายของอาจารย์อาจั่วอี้ เพิ่งจะได้เบาะแส จากนั้นก็ตายที่จังหวัดชีไห่”
กู้หานคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมา จ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าวถามว่า “ใครเป็นคนร้าย? เจ้ามาหาศิษย์น้องหลิ่วทำไม?”
เจี่ยนหรูอวิ๋นสีหน้าเศร้าโศกเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ในตอนที่เขาเพิ่งจะกลับมายังสำนักข้าก็เคยบอกแล้วว่าข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะถามเขา”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ กั้วหนานซานพลันรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงว่าเจี่ยนหรูอวิ๋นเพิ่งจะเสียน้องชายไป กำลังอยู่ในช่วงเศร้าสลด จึงทำใจว่ากล่าวตักเตือนไม่ลง
แต่กู้หานกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เขากล่าวเสียงเย็นชาเล็กน้อยว่า “หรือว่าเจ้ายังสงสัยศิษย์น้องหลิ่วอยู่อีก? กระทั่งการตายของหรูซาน เจ้าก็ยังคิดว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้อง?”
เจี่ยนหรูอวิ๋นจ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าวว่า “พวกเราต่างก็รู้ว่าในคืนที่อาจารย์อาจั่วอี้ตาย หลิ่วสือซุ่ยไม่อยู่ที่ถ้ำของตัวเอง หากท่านไม่ยอมให้ข้าถามเขา อย่างนั้นท่านก็ตอบข้ามาหน่อยสิว่าคืนนั้นเขาไปไหน?”
หม่าหวาที่ยืนนิ่งมาโดยตลอดกล่าวขึ้นมาว่า “ตอนนั้นศิษย์น้องหลิ่วบอกว่าเขาออกไปเดินเล่น”
เจี่ยนหรูอวิ๋นกล่าวเสียงสั่นว่า “เขากำลังปิดบังให้ใครอยู่? เขาไปหาใครพวกเราต่างรู้อยู่แก่ใจ คนคนนั้นก็คือจิ๋งจิ่ว! หลายวันว่านี้เขาไม่ไปยอดเขาเสินม่อ ก็เพราะกลัวคนอื่นจับได้ แต่วันนี้เขากลับไปยอดเขาเสินม่อ เพราะรู้ว่าพรุ่งนี้มีเรื่องด่วนเลยไปเตรียมคำให้การอย่างนั้นหรือ!”
ในที่สุดกั้วหนานซานก็ทนไม่ไหว เขากล่าวเสียงขึงขังว่า “เรื่องเกี่ยวพันถึงอาจารย์ หากไม่มีหลักฐานก็ห้ามพูดถึงอีก แล้วก็ห้ามแอบไปสืบด้วย”
“ศิษย์พี่คิดจะอาศัยตำแหน่งศิษย์อันดับหนึ่งบังคับให้ข้าอยู่เฉยๆ อย่างนั้นหรือ?”
สายตาของเจี่ยนหรูอวิ๋นราวกับจะลุกไหม้ขึ้นมา เขาจ้องมองกั้วหนานซานพร้อมกล่าวอย่างไม่ยอมถอยว่า “ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามาถึงตอนนี้แล้ว ยังจะมีใครเหยียบเรื่องนี้เอาไว้ได้อีก! ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์อาหรือคนที่ทำความดีความชอบให้กับชิงซาน ขอเพียงเขาทำผิด เขาก็ต้องชดใช้!”
เมื่อคิดถึงงานประชุมยอดเขาที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ สีหน้ากั้วหนานซานพลันดูคร่ำเคร่งขึ้นมา
เขาเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของชิงซาน แล้วยังเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของยอดเขาเหลี่ยงว่าง เป็นผู้นำของศิษย์ชิงซานยุคใหม่อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
แต่ในตอนนี้ เรื่องนี้ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์บางคนในยอดเขาบางยอดเขา แล้วเขาจะทำอย่างไร?
……
……
ทะเลเมฆถูกข่ายพลังพัดพาจนสลายไป แสงอาทิตย์ยามเช้าตกกระทบลงมา ต้นสนที่อยู่รอบๆ ลานหินยิ่งดูมีชีวิตชีวา
ตำหนักที่อยู่ด้านล่างยอดเขาซีไหลกำลังจะจัดงานประชุมยอดเขาขึ้น
ตำหนักหลังนี้เป็นสถานที่ที่ชิงซานใช้ต้อนรับแขกจากสำนักอื่น
สาเหตุที่เลือกที่นี่เป็นสถานที่จัดการประชุมยอดเขาของชิงซาน ก็เพื่อให้ผู้อาวุโสของแต่ละยอดเขารู้สึกสะดวก
ไม่ต้องขึ้นไปบนยอดเขา ก็จะไม่ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนเป็นแขกผู้มาเยือนมากนัก
นี่คืองานสำคัญของชิงซาน ไม่มีผู้ดูแลปรากฏตัวแม้แต่คนเดียว การดูแลภายในงานทั้งหมดล้วนแต่เป็นศิษย์ของยอดเขาซีไหลเป็นผู้รับผิดชอบ
คนที่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประชุมล้วนแต่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาและผู้อาวุโสของแต่ละยอดเขา ขอเพียงยินดีเข้าร่วมก็สามารถเข้าร่วมได้ทั้งสิ้น
นอกจากกั้วหนานซานที่เป็นตัวแทนยอดเขาเหลี่ยงว่างแล้ว ภายในตำหนักมีศิษย์หนุ่มยืนอยู่เพียงคนเดียว นั่นก็คือหลิ่วสือซุ่ยซึ่งเป็นประเด็นที่จะทำการประชุมกันในวันนี้
ศิษย์ชิงซานที่เหลือล้วนแต่ยืนรออยู่ด้านนอกตำหนัก คนหลายร้อยคนยืนอยู่บนลานหินที่มีต้นสนล้อมรอบ แต่กลับไม่มีการส่งเสียงใดๆ ออกมา
กู้ชิง หยวนฉวี่พาเสี่ยวเหอมายืนอยู่ตรงมุมหนึ่งตรงหน้าตำหนัก ดูไม่เป็นที่สะดุดตา
ในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน ยอดเขาเสินม่อโดดเดี่ยวที่สุด คำพูดประโยคนี้หมายถึงนิสัยของยอดเขาเสินม่อ แล้วก็เป็นการบรรยายสภาพที่แท้จริงของยอดเขา
นับตั้งแต่สมัยที่นักพรตจิ่งหยางยังอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อนจนมาถึงตอนนี้ คนบนยอดเขาเสินม่อล้วนแต่มีจำนวนน้อยมาก เพียงแค่เปลี่ยนจากหนึ่งคนเป็นสี่ห้าคน
เหล่าศิษย์ชิงซานต่างรู้ว่าเหตุผลในการเรียกประชุมวันนี้เป็นเพราะยอดเขาซีไหลต้องการจะข่มยอดเขาเสินม่อเอาไว้
ทุกคนต่างมองหลิ่วสือซุ่ยเป็นคนของยอดเขาเสินม่อไปโดยปริยาย ยิ่งไปกว่านั้นหลายวันมานี้ปีศาจจิ้งจอกแห่งเมืองอิ้งเฉิงตัวนั้นก็อาศัยอยู่แต่บนยอดเขาเสินม่อ
หลายคนมองว่านี่เป็นเพราะยอดเขาเสินม่อควบคุมได้ไม่ดี ต่อให้เจ้าล่าเยวี่ยและคนอื่นๆ จะเป็นอัจฉริยะอย่างไร สุดท้ายเวลาที่ใช้บำเพ็ญเพียรก็ยังน้อยเกินไป สภาวะไม่สูงส่งพอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรากฐานของยอดเขาเลย
ในเวลานี้เมื่อมองไปแล้ว คนที่อยู่บนยอดเขาเสินม่อช่างอ้างว้างโดดเดี่ยวเสียจริง
เสี่ยวเหอรู้สึกไม่สบายใจ นางเงยหน้าขึ้นมามองกู้ชิง
กู้ชิงไม่มีการตอบสนองใดๆ
แต่ในกลุ่มคนกลับมีการตอบสนองออกมา
เยาซงซานและศิษย์คนอื่นๆ ของยอดเขาเหลี่ยงว่างเดินเข้าไปพูดคุยกับกู้ชิงสองสามประโยค
จากนั้นศิษย์น้องอวี้ซานจากยอดเขาซั่งเต๋อก็เดินเข้าไป ก่อนจะยิ้มอย่างเขินอายขึ้นมา ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
หยวนฉวี่ยิ้มเล็กน้อย มิได้ว่าอะไร แสดงออกว่าข้าเข้าใจเจ้า เจ้าเพียงแค่หน้าบางไปหน่อย ไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายก้าวออกมาก่อน
ศิษย์หนุ่มสาวทยอยเดินเข้าไป บ้างก็พูดคุยกับกู้ชิงและหยวนฉวี่สองสามประโยค บ้างก็แสร้งทำเป็นสอบถามถึงความเป็นมาของเสี่ยวเหออย่างสงสัยใคร่รู้
หลินอู๋จือไม่ได้เข้าไป หากแต่มองดูยิ้มๆ มิได้กล่าวกระไร เขารู้ว่าศิษย์หนุ่มสาวเหล่านี้กำลังแสดงออกว่าสนับสนุนยอดเขาเสินม่อ
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยยังอายุน้อย ถือเป็นเรื่องร้ายแล้วก็เรื่องดีสำหรับยอดเขาเสินม่อ
ในฐานะที่เป็นอาจารย์ที่มีอายุน้อยที่สุด หากพวกเขาไม่มีคุณสมบัติดีพอสำหรับตำแหน่ง ย่อมต้องดึงดูดสายตาริษยาเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน แต่เจ้าล่าเยวี่ยเป็นคนที่บรรลุสภาวะขั้นคเนจรที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สำนักชิงซาน สภาวะของจิ๋งจิ่วหยุดนิ่งมาหลายปี แต่ชื่อเสียงบารมีกลับมีมากขึ้น ดังนั้นความริษยาและการไม่ยอมรับได้กลายเป็นความนับถือและความคิดที่อยากจะใกล้ชิด
อดีตยอดเขาเหลี่ยงว่างเคยเป็นสถานที่ที่ศิษย์หนุ่มสาวอยากจะไปมากที่สุด แต่ตอนนี้ศิษย์หนุ่มสาวจำนวนมากต่างรู้สึกชื่นชอบยอดเขาเสินม่อมากขึ้น
กระทั่งในยอดเขาเหลี่ยงว่างก็ยังมีผู้สนับสนุนจิ๋งจิ่วอย่างคุ้มคลั่งอย่างเหลยอี้จิงปรากฏตัวขึ้นมา
หากเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ หลังผ่านไปอีกหลายสิบปีหรือยาวนานกว่านั้น ยอดเขาเสินม่อจะมีอิทธิพลเป็นอย่างไร?
………………………………….