มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 143 ความฉลาดมิได้อยู่ในปัจจุบัน
ตามหลักแล้ว ในเวลานี้หลิ่วสือซุ่ยควรจะหมุนตัวเดินจากไป หรือไม่ก็คิดหาวิธีติดต่อท่านเจ้าสำนัก
ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาไม่ได้เดินจากไป แต่กลับเริ่มครุ่นคิดถึงคำถามของถงเหยียนอย่างจริงจัง
ใช้เวลาไม่นาน เขาก็ให้คำตอบของตัวเองออกมา “ข้าไม่มีความเห็นอะไรต่อคำพูดของคุณชาย”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ก่อนที่จะกล่าวคำพูดประโยคนี้ในวันนี้ออกมา ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าจิ๋งจิ่วนั้นฝึกวิธีตัดขาดจากอารมณ์ หรือว่าเจ้าไม่กังวล?”
หลิ่วสือซุ่ยไม่เข้าใจ กล่าวถามว่า “กังวลอะไร?”
ถงเหยียนกล่าวว่า “วิถีไม่เหมือนกัน จะเดินไปด้วยกันอย่างไร?”
ในเวลานี้หลิ่วสือซุ่ยถึงได้เข้าใจความหมายของเขา จึงถอนหายใจออกมาพลางกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางไหน ขอเพียงขึ้นไปบนเขาได้ก็พอ ไยต้องเดินไปด้วยกันให้ได้ด้วย?”
ถงเหยียนมองดูเขาอย่างเงียบๆ อยู่ครู่ จากนั้นพลันกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าต่างหากที่เป็นคนที่เฉลียวฉลาดอย่างแท้จริง”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวอธิบาย “เดิมข้าก็ไม่ได้โง่ เพียงแต่คุณชายฉลาดเกินไป ข้าถึงได้ดูค่อนข้างโง่”
ถงเหยียนเลิกคิ้วขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าใครจะเป็นผู้ชนะในงานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ยันต์เซียนย่อมต้องเป็นของคุณชาย”
ถงเหยียนคิดในใจว่าตนเองไม่น่าถามคำถามนี้ จากนั้นพลันถามขึ้นมาว่า “เจ้าไม่กังวลว่าข้าจะเปิดเผยตัวตนของเจ้าหรือ?”
ทั่วทั้งโลกบำเพ็ญพรตต่างคิดว่าหลิ่วสือซุ่ยถูกขังอยู่ในคุกกระบี่ หากให้คนอื่นรู้ว่าเขาออกมาจากคุกกระบี่แล้ว เกรงว่ายอดเขาทั้งเก้าของชิงซานจะต้องเกิดความวุ่นวายอย่างมากแน่ อย่างเช่นฟางจิ่งเทียนผู้ซึ่งเป็นเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลที่กำลังชมงานชุมนุมอยู่ไม่ไกลจะต้องอาศัยโอกาสนี้ก่อเรื่องขึ้นมาอย่างแน่นอน
หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่าคำพูดประโยคนี้ของถงเหยียนนั้นอยากจะหยั่งเชิงอะไร อย่างเช่นเจ้าสำนักรู้เรื่องนี้หรือไม่ แต่ในเมื่อเขาไม่ได้เดินจากไป ก็แสดงว่าเขาคิดหาวิธีรับมือเอาไว้แล้ว
เขามองดูถงเหยียน ยิ้มพลางกล่าวว่า “ตอนนั้นแม่นางไป๋เจ่าเคยบอกว่าสำนักจงโจวติดค้างบุญคุณข้าอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าใช้มันตรงนี้ก็แล้วกัน”
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการตายของลั่วไหวหนาน ถงเหยียนทราบดี แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าหลิ่วสือซุ่ยจะเอ่ยมันออกมาในเวลานี้ นี่เขาแกล้งโง่หรือว่าอะไร?
เขามองดูหลิ่วสือซุ่ย พบว่ารอยยิ้มของหลิ่วสือซุ่ยยังคงดูจริงใจ จึงอดยิ้มเยาะตัวเองขึ้นมาใหม่ได้ ในใจครุ่นคิดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าความจริงใจ ความฉลาดนั้นไม่มีความหมายอะไรจริงๆ ด้วย
เขาไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วก็ไม่ได้มองดูภาพบนท้องฟ้าอีก หากแต่เหยียบอากาศบินออกไป
หลิ่วสือซุ่ยเองก็ออกไปจากริมผา ในใจครุ่นคิดถึงสิ่งที่จิ๋งจิ่วสั่งกำชับเอาไว้ จึงไม่ได้จากไปไกล
เซ่อเซ่อเช็ดน้ำตาที่อยู่บนหน้า ไม่อาจทนดูเรื่องราวที่อยู่ในโลกนั้นต่อไปได้อีก นางให้หญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยไปเดินเล่นเป็นเพื่อนตัวเอง เหล่าปลาน้อยในหุบเขาคงต้องเจอภัยพิบัติอีกแล้ว
หลังจากนั้นห้าวัน เซ่อเซ่อที่กินปลาเผา ปลาดิบ ปลาทอดไปสิบกว่าตัวก็อารมณ์ดีขึ้น จากนั้นกลับมาในหุบเขา
นางกำลังเล่าให้หญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยฟังว่าปลาย่างของเหอจานนั้นอร่อยแค่ไหน พอเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าก็เห็นใบหน้าของเหอจานพอดี
ใบหน้าที่อยู่ในท้องฟ้านั้นย่อมไม่เหมือนกับใบหน้าที่แท้จริงของเหอจานไปเสียทีเดียว หากแต่มีความสะอาดสะอ้านมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีหนวดเคราแม้แต่เส้นเดียว ดูอ่อนโยนนุ่มนวลกว่ามาก
เขาสวมเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ มองดูนายพลสิบกว่าคนที่อยู่ตรงหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกและแข็งกร้าว คำพูดที่พูดออกมานั้นยิ่งทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว
“แคว้นฉู่ อย่างมากก็ทนได้อีกห้าปี พวกเจ้าไปเตรียมตัวรับ กองทัพใหญ่ทางตะวันตกและแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ผืนนั้น แล้วก็….ตำแหน่งขุนนาง”
……
……
หนึ่งวันในโลกมนุษย์ เท่ากับหนึ่งปีในดินแดนแห่งความฝัน
เซ่อเซ่อไปเที่ยวเล่นยังเขาอวิ๋นเมิ่งเป็นเวลาห้าวัน มหาบัณฑิตจางที่อยู่ในโลกของคันฉ่องฟ้ากระจ่างได้ตายไปเป็นเวลาห้าปีแล้ว
ตอนนี้ผู้แสวงมรรคาเจ็ดคนที่ยังอยู่ในดินแดนแห่งความฝันอายุสามสิบห้าปีแล้ว ไป๋เจ่าและไป๋เชียนจวินของสำนักจงโจว ซีอี้อวิ๋นของเรือนอี้เหมา เหอจานที่เป็นตัวแทนของวัดกั่วเฉิง จิ๋งจิ่วและจัวหรูซุ่ยแห่งชิงซาน ทุกคนล้วนแต่เป็นศิษย์อัจฉริยะของสำนัก ใหญ่สำนักต่างๆ แต่สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกแปลกใจก็คือยังมีผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักที่ชื่อเจียงรุ่ยอยู่อีกคนหนึ่ง
นกชิงเหนี่ยวฉายภาพเขาเป็นบางครั้งเพื่อไว้หน้าเขา เขายังคงพยายามปีนป่ายอย่างสุดชีวิตอยู่ในเมืองเมืองหนึ่ง ดูลำบากเป็นอย่างมาก ไม่ได้มีตำแหน่งและอำนาจใดๆ สภาวะในการบำเพ็ญเพียรก็มิได้สูง ผู้คนต่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดเหอจานที่ในเวลานี้ทั้งโหดเหี้ยมและมีอำนาจล้นฟ้าอยู่ในแคว้นจ้าวถึงยังปล่อยให้เพื่อนที่ขายตัวเองคนนี้มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้
เมื่อเทียบกับเจียงรุ่ยที่น่าสงสารแล้ว ผู้แสวงมรรคาที่เหลืออีกหกคนย่อมต้องเป็นตัวละครที่มีบทบาทที่สำคัญยิ่งกว่าอยู่ในโลกของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
ฮ่องเต้ไป๋นำทัพด้วยตนเองออกไปรบอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดก็สามารถกำราบเผ่าเร่ร่อนทางเหนือได้อย่างราบคาบ สังหารผู้คนไปจำนวนนับไม่ถ้วน ยึดม้าศึกมาได้เป็นจำนวนมาก แล้วก็ยึดเอาทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์มาได้อีกหลายแห่ง เรียกได้ว่าผลงานการรบยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน กองทัพทหารม้าของแคว้นฉินในเวลานี้เป็นเหมือนกับอาวุธที่แหลมคมที่สุด นอกจากแคว้นจ้าวแล้วก็ไม่มีแคว้นไหนที่จะมีกำลังต้านท้านแคว้นฉินได้
พ่อค้าและประชาชนของแคว้นฉีดูหวาดวิตกอย่างเห็นได้ชัด พวกเขารีบเร่งออกไปสำรวจนอกทะเลอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงห้าปีก็ค้นพบเกาะเป็นจำนวนมาก ขนเอาทรัพยากรที่หายากกลับมาเป็นจำนวนมาก ในเวลาเดียวกับที่เสริมความแข็งแกร่งให้แก่อาณาจักรก็เตรียมพร้อมทางหนีทีไล่เอาไว้มากมาย เชื่อว่าในเวลาอีกไม่นาน อาจจะพบแผ่นดินประหลาดที่เล่าลือกัน
บัณฑิตที่ชื่ออวิ๋นชีผู้นั้นได้ออกจากโรงเรียนหลวง เที่ยวเดินทางบรรยายสั่งสอนไปทั่วทั้งแคว้นฉีและเมืองที่ขึ้นกับแคว้นฉี ถึงขนาดเดินทางไปยังนอกทะเลเพื่อทำให้เผ่าเร่ร่อนเจริญขึ้น เขามีชื่อเสียงและบารมีอย่างมากในหมู่ประชาชนของแคว้นต่างๆ มีศิษย์นับหลายพันคน ในนั้นยังมีผู้มีอำนาจอย่างฮ่องเต้แคว้นฉีและเสนาบดีและอำมาตย์ของแคว้นจ้าวด้วย
ความจริงทุกคนต่างรู้ถึงความคิดของเสนาอำมาตย์ที่ไปเป็นลูกศิษย์ของอวิ๋นชีเหล่านั้น พวกเขาคิดจะอาศัยเปลือกนอกที่ดูเจิดจ้านี้ทำให้ราชสำนักเกิดความยำเกรง แต่ไม่นานพวกเขาก็รู้ว่าตัวเองนั้นคิดผิด เพราะพวกเขาและทรัพย์สิน์ของตระกูลของพวกเขาถูกหน่วยสืบสวนและจับกุมเล่นงานอย่างไม่ปราณี
เหอกงกงยังคงเป็นผู้มีอำนาจของแคว้นจ้าว
คำสั่งทุกอย่างล้วนแต่ออกมาจากมือของเขา หาใช่ฮ่องเต้ไม่ แล้วก็มิใช่ไทเฮาที่อยู่หลังม่านด้วย เรื่องแบบนี้ช่างเหลวไหลยิ่งนัก ใต้หล้ายากจะยอมรับได้ ผู้ที่มีปัญญาของแคว้นจ้าวและผู้ที่มีความยุติธรรมพยายามก่อหวอดเพื่อโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าเหอกงกงมีแม่ทัพที่จงรักภักดีอยู่ทั่วทุกที่ เขามิได้สนใจการโจมตีเหล่านี้ ส่วนการลอบสังหารที่ขุนนางเหล่านั้นร่วมมือกับพ่อค้าของแคว้นฉียิ่งไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ เหล่านักฆ่าไม่สามารถที่จะฝ่าด่านป้องกันของขันทีเหล่านั้นเข้ามาถึงหน้าเหอกงกงได้
ส่วนเรื่องวางยา….หน่วยสืบสวนและจับกุมจะปล่อยให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร
อันตรายเพียงหนึ่งเดียวที่เหอจานพบเจอนั้นมาจากคนชุดดำที่กลับมาจากดินแดนตะวันตก
สถานที่ที่จัวหรูซุ่ยเลือกลงมือนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก มันมิใช่เมืองที่มีการป้องกันอ่อนแอ แล้วก็มิใช่ท้องถนนที่มีความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวง หากเป็นในหน่วยสืบสวนและจับกุม
เขารออยู่บนคานภายในห้องน้ำที่สะอาดสะอ้านและมีโถส้วมทองคำของหน่วยสืบสวนและจับกุม เป็นเพราะรู้สึกเบื่อและง่วงนอน เขาจึงนอนหลับไปกว่าสามสิบครั้ง จนกระทั่งเหอจานเดินทางมาถึง
การต่อสู้ครั้งนั้น น่าหวาดกลัวและน่าตกตะลึงอย่างมาก ภายในหน่วยสืบสวนและจับกุม เหมือนมีพายุคลุ้มคลั่งพัดผ่าน ข้าวของพังพินาศ ขันทีที่เป็นยอดฝีมือยี่สิบกว่าคนเสียชีวิตลงตรงนั้น
จัวหรูซุ่ยได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าตนเองคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้ารองจากมั่วกง
วิชาอันแปลกประหลาดและความสามารถในการต่อสู้อันยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมุ่งมั่นอันน่าหวาดกลัวที่เหอจาน แสดงออกมาในการลอบสังหารครั้งนี้ ได้ทำให้เหล่าขุนนางของแคว้นจ้าวและเหล่าพ่อค้าของแคว้นฉีต่างรู้สึกสิ้นหวังอีกครั้ง
ผลสุดท้ายคือเหอจานได้รับบาดเจ็บสาหัส หายหน้าหายตาไปยี่สิบกว่าวัน ว่ากันว่าในช่วงนี้เขาซ่อนตัวอยู่ในตำหนักของไทเฮา
จัวหรูซุ่ยเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ภายใต้การไล่ล่าของม้าเร็วจากหน่วยสืบสวนและจับกุมและแคว้นจ้าว เขาเกือบจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งอยู่ในมหาสมุทร โชคดีที่ถูกบัณฑิตผู้หนึ่งในโรงเรียนหลวงของแคว้นฉีช่วยชีวิตเอาไว้ได้
ข่าวนี้ใช้เวลาเพียงสามวันก็แพร่กระจายมาถึงแคว้นฉี แต่ข่าวนี้กลับใช้เวลาถึงสิบเจ็ดวันในการแพร่จากเมืองหลวงเข้ามายังพระราชวัง แล้วค่อยมาถึงหูของจิ๋งจิ่
การที่ฮ่องเต้ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกคิดอยากจะทราบเรื่องราวที่อยู่ด้านนอกพระราชวังนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก แต่แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่มีเรื่องที่อยากจะรู้เช่นกัน
ก่อนตายมหาบัณฑิตจางได้ทำการเตรียมพร้อมเอาไว้มากมาย เงินในท้องพระคลังก็มีอยู่เพียงพอ ขอเพียงขุนนางไม่ก่อความวุ่นวายขึ้นมา สถานการณ์ทางการเมืองก็จะกลับคืนสู่ความปกติได้ไม่ยาก
หลังชำระล้างคราบเลือดในท้องพระโรงออกไปแล้ว เจ้าเมืองโจว ก็ได้เลื่อนตำแหน่งตัวเองกลายเป็นมหาบัณฑิต — ลัญจกรถูกจิ๋งจิ่วส่งต่อมาอยู่ในมือของเขา — ขุนนางคนอื่นๆ เองก็มีหน้าที่แตกต่างกันออกไป คุณชายใหญ่ตระกูลจางที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ถูกจิ๋งจิ่วจงใจแต่งตั้งให้ไปเป็นเจ้ากรมวัดไท่ฉาง ส่วนการมอบหมายหน้าที่นี้จะมีความเกี่ยวข้องกับกั๋วกงในเมืองเจาเกอผู้นั้นหรือไม่ เรื่องนี้ก็มิอาจทราบได้เช่นกัน
ตอนนี้นายพลเผยอยู่ด้านนอก มหาบัณฑิตโจวอยู่ด้านใน ฝ่าบาทยังคงไม่สนใจเรื่องราวต่างๆ ประชาชนแคว้นฉู่ยังคงใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบาย คล้ายย้อนกลับไปอยู่ในยุคสมัยที่มหาบัณฑิตจางยังมีชีวิตอยู่ บ้านเมืองกลับคืนสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้ง แต่คนที่เข้าใจจริงๆ ล้วนแต่มองออกว่าแคว้นฉู่ใกล้จะไม่ไหวแล้ว
แคว้นนี้ภายนอกยังคงดูรุ่งเรือง แต่รูพรุนนับพันที่อยู่ภายในเริ่มปรากฏออกมาให้เห็น ความฟุ้งเฟ้อ การทำงานซ้ำซ้อน การทุจริต บกพร่องในหน้าที่ ปัญหาต่างๆ ล้วนแต่ใกล้จะระเบิดออกมา เมื่อถึงตอนนั้นใครจะเป็นคนเก็บกวาด? และที่ค่อนข้างน่าเศร้าก็คือก่อนที่ปัญหาเหล่านี้จะถูกแก้ไข แคว้นฉู่อาจจะถูกกำจัดทิ้งไปแล้วก็เป็นได้
คนที่จ้องจะเขมือบเนื้อชิ้นใหญ่อย่างแคว้นฉู่เป็นคนแรกย่อมต้องเป็นฮ่องเต้ไป๋แห่งแคว้นฉินที่ตระเวนกวาดล้างไปทั่วด้วยหวังจะรวบรวมแคว้นทั้งสี่ให้เป็นหนึ่ง
และในวันที่กองทัพม้าของแคว้นฉินกรีฑาทัพลงมาทางใต้ เหอกงกงก็มายังชายแดนที่เชื่อมต่อระหว่างแคว้นจ้าวและแคว้นฉู่เช่นเดียวกัน
เขามองดูทุ่งกว้างที่อยู่ตรงหมู่เขาทางด้านนั้นและค่ายกองทัพตะวันตกที่พอจะเห็นได้ลางๆ พลางกล่าวความคิดที่ตัวเองวิเคราะห์เอาไว้ออกมา
ทัพตะวันตกมีแม่ทัพเผยบัญชาการด้วยตัวเองอยู่ ถึงแม้แคว้นฉินจะยกทัพมาออกมาแล้ว แต่ราชสำนักก็ยังไม่ย้ายเขาไปยังทิศเหนือ หากแต่ให้เขาคอยป้องกันแคว้นจ้าวอยู่ที่นี่
เหอจานไม่รีบร้อน ต่อให้เป็นคนที่เก่งกาจแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตาย เขารอได้
เขาวิเคราะห์เอาไว้ว่าแคว้นฉู่อย่างมากก็ทนไปได้อีกแค่ห้าปี นั่นเป็นเพราะนายพลเผยมีชีวิตอยู่ได้อย่างมากแค่ห้าปี
ทุกคนคล้ายจะลืมไปแล้วว่านายผลเผยอายุน้อยกว่ามหาบัณฑิตจางแค่สามปีเท่านั้น…..
……
……
แคว้นฉินเริ่มบุกโจมตีแคว้นฉู่ แต่ที่น่าแปลกก็คือไม่รู้เป็นเพราะพวกเขากังวลถึงกำลังที่แอบซ่อนอยู่ของแคว้นฉู่ หรือว่ากังวลว่าแคว้นจ้าวจะเข้ามาฉวยโอกาสในตอนที่พวกเขาบุกโจมตีแคว้นฉู่ ครั้งนี้ทหารม้าของแคว้นฉินที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายป่าเถื่อนจึงดูระมัดระวังเป็นอย่างมาก ค่อยๆ คืบบุกเข้ามา และมักจะเป็นฝ่ายล่าถอยไปเองในตอนที่ถึงช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ใช้เวลาอยู่สี่ปีเต็มถึงจะรุกคืบเข้ามาได้สามร้อยลี้
จิ๋งจิ่วไม่สนเรื่องราวภายนอก แต่ถ้าเขายังอยากจะบำเพ็ญเพียรอยู่ในวังหลวง เขาก็จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้
เขาได้อ่านรายงานสรุปสถานการณ์ทางการทหารที่ราชสำนักสงฆ์มาให้เขาดูเป็นระยะๆ จากในรายงานเหล่านั้นเขาได้ข้อสรุปที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง นั่นคือกองทัพแคว้นฉินเหมือนจะรุกคืบเข้ามาด้วยจังหวะบางอย่าง และจังหวะที่ว่านั่นก็สามารถควบคุมระดับการโจมตีของแคว้นฉินเอาไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้พวกเขาคุมสถานการณ์บนสนามรบเอาไว้ได้
เห็นได้ชัดว่าผู้บัญชาการในระดับสูงของแคว้นฉินนั้นอยากจะได้แคว้นฉู่ในสภาพที่สมบูรณ์ มิใช่แคว้นฉู่ที่อยู่ในสภาพถูกโจมตีจนเละเทะ มีแต่ต้องทำแบบนี้พวกเขาถึงจะสามารถกลืนกินพลังของอาณาจักรและกองทัพของแคว้นฉู่ได้ในระยะเวลาสั้นๆหลังจากที่เอาชนะแคว้นฉู่ได้แล้ว และเป็นฝ่ายได้เปรียบในการทำศึกใหญ่กับแคว้นจ้าวในตอนสุดท้าย
ปัญหาอยู่ที่ว่าการจะทำให้ทหารม้าเหล็กนับหลายแสนนายทำตามจังหวะที่กำหนดเอาไว้นั้นมิใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้ มันจำเป็นต้องใช้ความสามารถในการสั่งการและความสามารถในการวางแผนที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งการความคุมที่มีความละเอียดเป็นอย่างยิ่ง ฮ่องเต้ไป๋เชี่ยวชาญการศึกดุจเทพ แต่ดุร้ายป่าเถื่อน น่าจะทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้
เขาสัมผัสได้ว่านี่น่าจะเป็นฝีมือของไป๋เจ่า
ไม่มีองค์หญิงตกยากที่ถูกขังอยู่ในตำหนักเย็นอะไรนั่นหรอก มีแค่เพียงผู้กุมอำนาจตัวจริงที่อยู่หลังม่านของแคว้นฉิน ก็เหมือนกับตัวเขาที่อยู่ในแคว้นฉู่
เมื่อมั่นใจว่าแผนการทั้งหมดเป็นฝีมือของไป๋เจ่า จิ๋งจิ่วก็ยิ่งมั่นใจว่าแคว้นฉินคิดอยากจะทำอะไร แต่ที่น่าเสียดายก็คือเขาเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนั้นได้เช่นกัน
แคว้นฉินและแคว้นฉู่ทำศึกมาจนถึงฤดูหนาวของปีที่สี่ ในวันที่ดูเหมือนปกติธรรมดาวันนึง แม่ทัพเผยได้นอนหลับไปภายในกระโจม จากลาโลกนี้ตามมหาบัณฑิตจางไป
ข่าวนี้เป็นเหมือนเปลวเพลิงที่ถูกจุดไปบนต้นหญ้าที่ไร้คนดูแลและลุกลามออกไปบนทุ่งกว้างอย่างบ้าคลั่งเป็นเวลาสี่ปี
ต้นหญ้าเหล่านั้นล้วนแต่มีความทะเยอทะยาน
ม้าเหล็กกว่าเจ็ดหมื่นตัวกรีฑาทัพออกมาจากชางโจวลงมาทางใต้ พวกเขาไม่สนใจว่ากองทัพจะเกิดการสูญเสียหรือว่าจะถูกกองทัพแคว้นฉู่ลอบโจมตีระหว่างทาง หากแต่โถมกระหน่ำเข้าใส่เมืองหลวงของแคว้นฉู่ราวคนคลุ้มคลั่ง
และสิ่งที่ทำให้คนคลุ้มคลั่งยิ่งกว่านั้นก็คือทหารม้าแสนกว่านายของแคว้นจ้าวได้แบ่งกองทัพออกเป็นสามสาย ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเจ็ดวันก็ทำการห้อมล้อมกองทัพตะวันตกเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มเปิดฉากโจมตีอย่างเงียบๆ
……………………………………………………………..