มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 144 พายุชั่วร้าย
การตายของแม่ทัพเผยได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์บนแผ่นดินไป
กองทัพม้าเหล็กของแคว้นฉินบดขยี้แนวป้องกันของกองทัพแคว้นฉู่อย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็ข้ามจังหวัดไป๋เหอมา เมืองหลวงอยู่ไม่ไกล
ที่กองทัพแคว้นฉินสามารถบุกโจมตีเข้ามาได้อย่างราบรื่น นอกจากจะเป็นเพราะกองทัพแคว้นฉินมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมากและกองทัพแคว้นฉู่แข็งแกร่งไม่มากพอแล้ว มันยังมีสาเหตุที่สำคัญอีกสาเหตุหนึ่งด้วย
—–กองทัพที่เป็นแนวหน้าของกองทัพแคว้นฉินก็คือกองทัพของอ๋องจิ้ง พวกเขารู้จักแคว้นฉู่เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีความเคียดแค้นต่อราชสำนักของแคว้นฉู่ด้วย
ภายใต้การโจมตีอย่างเงียบๆ ของแคว้นจ้าว ทัพทางตะวันตกนั้นไม่สามารถยื้ออยู่ได้นาน กองทัพที่เคยกรำศึกมาหลายร้อยศึกสูญเสียหัวใจสำคัญของกองทัพไป กองทัพจึงพังทลายลงไปอย่างรวดเร็ว เหนือไปจากที่ทุกๆ คน รวมไปถึงเหอจานและแม่ทัพแคว้นจ้าวได้จินตนาการเอาไว้ ในตอนที่กองทัพแคว้นฉู่ถอนกำลังออกไป ภายในค่ายทหารยังมีธงสีขาวที่ใช้ไว้อาลัยนายพลเผยแขวนเอาไว้อยู่เลย
ไม่ว่าจะมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงของแคว้นฉู่จากฝั่งจังหวัดไป๋เหอหรือว่าค่ายทางตะวันตก ระหว่างทางเหล่านั้นก็ล้วนแต่เป็นทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ แต่กลับไม่มีอุปสรรคใดๆ มาขวางกั้น ในเวลานี้ความแข็งแกร่งของแคว้นฉู่ได้เสื่อมถอยลงแล้ว
ข่าวสารการรบของแนวหน้าถูกส่งกลับมายังเมืองหลวงอย่างต่อเนื่อง ภายในอากาศอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ตื่นตระหนกและสิ้นหวัง
เหล่าชาวบ้านยืนอ่านประกาศอยู่ที่หัวถนน สีหน้าด้านชาและสับสน สายตาของเจ้าหน้าที่ในราชสำนักและหน่วยงานต่างๆ เหม่อลอย ไม่รู้ว่ากำลังมองไปทางไหน เหล่าบัณฑิตในสำนักปัญญาชนก็มิได้ฮึกเหิมเหมือนอย่างแต่ก่อน หากแต่ถือม้วนหนังสือทอดตามองออกไปคล้ายวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง ไม่รู้กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ทว่าการค้าของหอนางโลมกลับคึกคักเป็นอย่างมาก ทุกคืนภายในหอที่อยู่ริมทะเลสาบจะส่องสว่างไปด้วยแสงไฟ ทุกที่เต็มไปด้วยผู้คน
ในขณะที่อาณาจักรกำลังล่มสลาย เมื่ออยู่ต่อหน้าความเศร้าโศกและความสิ้นหวัง จึงได้แต่ต้องร้องรำทำเพลงทุกคืน ได้แต่ต้องร่ำสุราจนเมามาย เรื่องเหล่านี้คล้ายจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับคนแคว้นฉู่
นกชิงเหนี่ยวบินมาจากทางท้องฟ้ายามค่ำคืนของเมืองหลวง มันก้มลงมองดูผู้คนและภาพอันแปลกประหลาดเหล่านี้ ก่อนจะบินเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของพระราชวัง
ภายในตำหนักไม่ได้จุดไฟ มืดสลัวเป็นอย่างยิ่ง สามารถมองเห็นแสงไฟในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่ด้านนอกพระราชวังได้อย่างชัดเจน
นกชิงเหนี่ยวเดินมายังปลายตั่ง มองดูดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “เจ้าไม่มีเวลาแล้ว”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม ไม่ได้พูดอะไร
หากไม่มีแคว้นอื่นๆ อย่างแคว้นฉิน แคว้นจ้าวและแคว้นฉี คนแคว้นฉู่จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย แต่เมื่อมีศัตรูรายล้อมอยู่รอบด้าน เช่นนั้นก็ย่อมต้องมีปัญหา
หากมหาบัณฑิตจางยังมีชีวิตอยู่ วันนี้อาจจะมาถึงช้าอีกหน่อย
แต่เขาตายไปแล้ว ตอนนี้กระทั่งนายพลเผยก็ตายไปแล้วเช่นกัน
ความเป็นความตายไม่มีใครสามารถควบคุมได้ กระทั่งจิ๋งจิ่วก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน
แม้จะอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงด้านนอกคันฉ่องฟ้ากระจ่าง เขาก็ทำได้เพียงพยายามยื้อความตายของตัวเอง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความตายของผู้อื่นได้
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวตระกูลจิ๋งที่อยู่ในเมืองเจาเกอ หรืออย่างเช่นสองสามีภรรยาตระกูลหลิ่วที่อยู่ในหมู่บ้านบนภูเขา สุดท้ายก็พวกเขาก็ต้องตายจากไป
นกชิงเหนี่ยวมองดูดวงตาของเขาอย่างเงียบๆ ไม่ได้เปลี่ยนร่างกลับไปเป็นสาวน้อย
ไม่นานมันก็จากไปอีกครั้ง ไปดูภาพอันยิ่งใหญ่ของกองทัพแคว้นฉินที่รุกลงมาทางใต้แทนเหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในโลกภายนอก
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ นิ้วมือดีดขึ้นมาเบาๆ ตะเกียงที่อยู่บนเสาระเบียงทางเดินถูกจุดขึ้นมา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ด้านนอกตำหนักก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา ขันทีน้อยผู้นั้นคุกเข่าอยู่ตรงหน้ารอเขาสั่งการ
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “บอกคนที่อยู่นอกวัง พรุ่งนี้ข้าจะเข้าประชุมตอนเช้า”
……
……
ฟ้ายังไม่สาง ท้องฟ้ายังคงอยู่ในความมืดมิด มีเพียงบางแห่งที่ยังมีแสงไฟแห่งความรื่นรมย์และสิ้นหวังหลงเหลืออยู่
บนถนนมีเสียงล้อรถที่บดไปบนพื้นหิน รถหลายคันมุ่งหน้าออกมาจากทางใต้ของเมือง ทยอยไปรวมตัวอยู่บนถนนที่จะมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง
รถบางคันหยุดลง เหล่าขุนนางเลิกผ้าม่านขึ้นมาสบตากันหรือไม่ก็พูดคุยกันเสียงเบาๆ ต่างคนต่างคาดเดาความคิดของอีกฝ่าย และที่สำคัญกว่านั้นก็คือคาดเดาความคิดของฝ่าบาท
ความจริงแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าสถานการณ์ในตอนนี้ ภายในใจของขุนนางหลายๆ คน รวมไปถึงเหล่าชาวบ้านและบัณฑิตต่างก็มีความคิดนั้นผุดขึ้นมา นั่นก็คือการยอมแพ้
ภายใต้การกระหนาบโจมตีของแคว้นจ้าวและแคว้นฉิน แคว้นฉู่ไม่มีทางต้านทานต่อไปได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้กระทั่งกองทัพตะวันตกซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายก็ไม่มีเหลืออยู่แล้ว ฮ่องเต้ไป๋ที่ดุร้ายป่าเถื่อน ขันทีเหอโหดเหี้ยมวิปริต หากแคว้นฉู่ฝืนดึงดันที่จะสู้ต่อไปจนทำให้สองคนนี้โกรธเกรี้ยวขึ้นมา เมื่อถึงตอนนั้นอาจจะเกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างคนทั้งเมืองขึ้นมาก็เป็นได้
ตอนนี้ทัพหน้าของแคว้นฉินคือกองทัพของอ๋องจิ้ง ภายในกองทัพส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนแคว้นฉู่ การยอมแพ้ต่อพวกเขา อย่างไรเสียก็ดีกว่าไปยอมแพ้ต่อคนแคว้นอื่น ถึงอย่างไรอ๋องจิ้งและคนของเขาก็ไม่มีทางที่จะโหดเหี้ยมเกินไปนัก เผลอๆ แคว้นฉินอาจจะช่วยคนแคว้นฉู่ป้องกันทหารม้าของแคว้นจ้าวที่มาจากทางค่ายตะวันตกด้วยซ้ำ หากพวกเขายังคิดอยากรวมแผ่นดินอยู่ล่ะก็
ไม่ว่าจะมองอย่างไรการยอมแพ้ก็เป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้ของแคว้นฉู่ อีกทั้งยิ่งยอมแพ้เร็วก็ยิ่งดี
ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจของขุนนางทุกคน
แต่พวกเขาไม่ได้ไปบอกเล่าความคิดนี้กับเพื่อนร่วมงานของตน แล้วก็ไม่ได้ไปพูดกับเพื่อนฝูงของตน แม้แต่คนที่ใกล้ชิดที่สุดก็ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไร เพราะหากใครเอ่ยถึงเรื่องยอมแพ้ขึ้นมาก่อน คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนทรยศในประวัติศาสตร์ของแคว้นฉู่ไปในทันที ไม่มีใครอยากจะตายไปโดยมีชื่อเสียงแบบนี้ — ดังนั้นสู้ตายอยู่ในโถเหล้าของหอนางโรงเสียดีกว่า
นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่สำคัญที่สุดอีกปัญหาหนึ่ง นั่นก็คือฝ่าบาทจะทรงทำอย่างไร?
การเจรจายอมแพ้กับอ๋องจิ้งถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของแคว้นฉู่ แต่อ๋องจิ้งจะต้องสังหารฝ่าบาทเพื่อล้างแค้นให้แก่ลูกชายของตนอย่างแน่นอน….
เหล่าขุนนางเดินเข้าไปในพระราชวังอย่างเงียบๆ คล้ายปลาที่กำลังขาดอากาศหายใจ ภายในหัวครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆ และพยายามคาดเดาความคิดของฝ่าบาท ก่อนจะไปยืนเรียงเป็นแถวสองแถวอยู่ในท้องพระโรง
บนบัลลังก์ที่อยู่ในจุดสูงสุด ชายหนุ่มผู้นั้นสวมฉลองพระองค์สีเหลือง ผมสีดำถูกผ้ารัดผมรัดเอาไว้ด้านหลังอย่างง่ายๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงาม
เป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้เห็นภาพแบบนี้ นี่จึงทำให้ขุนนางบางคนคิดถึงเหตุการณ์นองเลือดเมื่อห้าปีก่อนขึ้นมา บางคนใบหน้าขาวซีดเพราะรู้สึกหวาดกลัว บางคนรู้สึกมีหวังขึ้นมา บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยเลือดฝาด อย่างเช่นมหาบัณฑิตโจวที่เหนื่อยล้าจากการบริหารบ้านเมืองและเรื่องศึกสงครามจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง ไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเวลาห้าสิบวัน
สายตาของจิ๋งจิ่วกวาดมองไปบนใบหน้าของทุกคน
เขามองเห็นถึงความหวาดผวา นั่นคือเจ้าหน้าที่ทหารที่หวาดกลัวว่าจะถูกเรียกชื่อให้ไปปฏิบัติหน้าที่ เขามองเห็นความตื่นเต้น นั่นคือผู้ตรวจการที่คิดว่าเขาเตรียมจะออกไปบัญชาการรบด้วยตัวเอง เขามองเห็นความหวาดกลัว นั่นคือคนที่คิดไม่ซื่อที่กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นมาอีกครั้ง และสิ่งที่เขามองเห็นมากที่สุดก็คือความด้านชา นั่นคือความเบื่อหน่ายหลังจากที่ สิ้นหวังและยอมรับในชะตากรรม
ภายในท้องพระโรงเงียบสงัด ไม่มีเสียงใดๆ จนกระทั่งเขาเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ร่างพระราชโองการเลยแล้วกัน ข้าพเจ้าอนุญาต”
เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างตกใจ สบตากันมิพูดอะไร ไม่เข้าใจความหมายของฝ่าบาท จะร่างพระราชโองการอะไร พระองค์ทรงอนุญาตเรื่องอะไร?
“จะเจรจาอย่างไรก็ได้ แต่ไม่เจรจากับทางชางโจว ให้คนจากเสียนหยางมา”
จิ๋งจิ่วกล่าวจบประโยคนี้ก็ลุกขึ้นจากบัลลังค์ ก่อนจะเดินออกไปจากท้องพระโรง
ภายในท้องพระโรงยังคงเงียบสงัด จนกระทั่งร่างสีเหลืองร่างนั้นหายไปในส่วนลึกของท้องพระโรง เหล่าขุนนางถึงได้สติขึ้นมาว่าตนเองได้ยินอะไรกันแน่
ฝ่าบาท…ทรง…ยอมแพ้หรือ?!
เหล่าขุนนางตกตะลึงจนพูดไม่ออก ภายในใจเกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมามากมาย ต่างคนต่างสบตากัน ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
มหาบัณฑิตโจวถอนใจออกมา ภายในดวงตาเต็มไปด้วยสายตาเจ็บปวดและรู้สึกผิด
เขาคิดว่าตนเองได้ทำให้มหาบัณฑิตจางผิดหวัง รู้สึกผิดต่อประชาชนแคว้นฉู่ ทำให้ฝ่าบาทต้องตกอยู่ในสภาพที่ยากลำบากเช่นนี้ ตายไปหมื่นครั้งก็มีอาจชดเชยได้
เขาทราบดีว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงเรียกประชุมในตอนเช้าและกล่าวประโยคนี้ต่อเหล่าขุนนางในราชสำนัก
แคว้นฉู่ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน การยอมแพ้คือทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ไม่มีขุนนางคนไหนกล้าตัดสินใจเช่นนี้
ก็เหมือนกับเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ทุกคนต่างทราบดีว่าสองแคว้นทำศึกกัน ขุนนางและประชาชนยอมแพ้ได้ แต่ฮ่องเต้ยอมแพ้ไม่ได้…. การที่ฝ่าบาททรงเสนอให้ยอมแพ้ด้วยตัวพระองค์เอง ก็เนื่องด้วยไม่อยากให้เหล่าขุนนางในราชสำนักต้องแบกรับความรับผิดชอบอันหนักหนาสาหัสนี้ แล้วก็เพื่อรีบแก้ไขสถานการณ์อันวุ่นวายในปัจจุบัน
การตัดสินใจนี้ทั้งชาญฉลาดและชัดเจน แต่ปัญหาก็คือจะมีฮ่องเต้พระองค์ไหนยินดีทำเช่นนี้?
เรื่องที่มหาบัณฑิตโจวสามารถคิดได้ เหล่าขุนนางในราชสำนักที่ชาญฉลาดเหล่านี้มีใครบ้างที่คิดไม่ได้? หลังจากเงียบสงัดเป็นเวลานาน จู่ๆ ภายในท้องพระโรงก็เสียงร่ำไห้ดังขึ้นมา
กระทั่งขุนนางที่ไม่ได้ร่ำไห้ออกมา ในเวลานี้สองตาก็ยังแดงก่ำเช่นเดียวกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความเจ็บปวด ถึงแม้ไม่รู้ว่านั่นออกมาจากใจจริงหรือเป็นการเสแสร้ง
เจ้ากรมวัดไท่ฉางหมุนตัวมาจ้องมองดูขุนนางที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้ พลางกล่าวตะคอกว่า “จะร้องไห้ทำไม! ฝ่าบาทยังทรงมีชีวิตอยู่นะ!”
มารดาของคุณชายใหญ่ตระกูลจางลาโลกไปตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน ตอนนี้เขาเป็นชายชราคนหนึ่ง ศีรษะกลายเป็นสีเทา แต่บารมีกลับมีมากกว่าแต่ก่อน ดูมีเค้าลางของผู้เป็นบิดาในอดีตเล็กน้อย
สิ้นเสียงตะคอกของเขา ในที่สุดเสียงร่ำไห้ภายในท้องพระโรงก็หยุดลง เหล่าขุนนางได้สติขึ้นมา พากันมองไปทางมหาบัณฑิตโจว
ริมฝีปากของมหาบัณฑิตโจวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวคำพูดประโยคหนึ่งออกมาอย่างยากลำบาก “เจรจาสงบศึกกับแคว้นฉิน ให้ทหารหลวงทั้งหมดเดินทางไปยังค่ายตะวันตก”
เขาใช้สายตาที่แข็งกร้าวที่สุดจ้องมองดูเหล่าขุนนาง พลางกล่าวด้วยเสียงเย็นยะเยือก
“ห้ามไม่ให้ใครออกไปพูดเรื่องนี้ข้างนอก อย่ามาอ้างกับข้าว่าปิดไม่อยู่ ต่อให้ปิดได้วันเดียวก็ต้องปิด ได้ยินไหม!”
……
……
คณะทูตของแคว้นฉินคณะหนึ่งเดินทางเข้ามายังเมืองหลวงของแคว้นฉู่อย่างเงียบๆ
จากคำขอของทางแคว้นฉู่ อ๋องจิ้งไม่ได้ปรากฏตัว แต่ในคณะทูตยังคงมีคนของชางโจวอยู่หลายคน ขุนนางบางคนในราชสำนักเกิดความคิดขึ้นมาหลายอย่าง พวกเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะผูกสัมพันธ์กับคนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันหรือว่าคนบ้านเดียวกัน เพื่อที่จะได้ปกป้องชีวิตตัวเอง บางคนถึงขนาดหวังเอาไว้ว่าจะมีตำแหน่งดีๆ ในราชวงศ์ใหม่หลังจากนี้
อดีตคนชางโจวเหล่านั้นล้วนแต่เป็นอดีตขุนนางของแคว้นฉู่ แต่กลับเป็นคนที่ถงเหยียนซึ่งเป็นรัฐทายาทของอ๋องจิ้งเป็นคนคัดเลือกขึ้นมา พวกเขาติดต่อกับขุนนางแคว้นฉู่ด้วยรอยยิ้มจอมปลอม มีเพียงตอนที่ทอดตามองไปยังพระราชวัง บนใบหน้าถึงจะเผยให้เห็นสีหน้าเและเคียดแค้น
ต่อให้เป็นคณะทูตที่ลับแค่ไหนก็ไม่สามารถปิดบังคนทุกคนได้ ข่าวคราวค่อยๆ แพร่กระจายออกไปนอกวังหลวง ความวุ่นวายค่อยๆ ก่อตัว ในที่สุดครั้งนี้มหาบัณฑิตโจวที่ได้ชื่อว่ามีเมตตาก็มีความกล้าเหมือนอย่างมหาบัณฑิตจางเมื่อในอดีต เขาสั่งประหารขุนนางไปสามคนอย่างเด็ดขาด ถึงควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้
การเจรจาสงบศึกที่ว่าก็คือการยอมแพ้ ทางแคว้นฉู่ไม่มีอะไรจะไปต่อรองได้ แคว้นฉินค่อยๆ รุกคืบเข้ามา ยากจะเจรจาให้ชัดเจนได้ในเวลาสั้นๆ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องเจรจาอะไร เพราะทั้งฝ่ายล้วนแต่ทราบดี นั่นก็คือฮ่องเต้แคว้นฉู่จะต้องสละราชบัลลังก์
พระอาทิตย์มิอาจมีสองดวง อาณาจักรก็มิอาจมีราชาสองคน
ฮ่องเต้ไป๋จะกลายเป็นเจ้าชีวิตแห่งใต้หล้า เขาย่อมมิอาจยอมให้จิ๋งจิ่วนั่งอยู่บนบัลลังก์ได้
จุดจบที่ดีที่สุดในอนาคตของจิ๋งจิ่วก็น่าจะเป็นตำแหน่งจวิ้นอ๋องปลอมๆ ตำแหน่งหนึ่งโดยมีทหารคอยเฝ้าดูเอาไว้ กระทั่งประชาชนแคว้นฉู่ค่อยๆ ลืมเลือนเขาไปแล้ว เขาถึงจะถูกวางยาพิษให้ตายอย่างช้าๆ หรือปล่อยให้อดตาย หรือไม่ก็ประสบอุบัติเหตุตกน้ำตายเหมือนอย่างพ่อของเขา
ในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีพระราชโองการออกมาจากในส่วนลึกของวัง ฝ่าบาททรงต้องการเจรจากับคณะทูตของแคว้นฉินด้วยตัวพระองค์เอง
เมื่อพระราชโองการออกมา ขุนนางหลายๆ คนและคนของชางโจวที่อยู่ในคณะทูตของแคว้นฉินต่างก็เกิดความคิดดูถูกขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าตัวเจ้าที่เป็นราชาของแคว้นที่กำลังจะล่มสลายยังคิดจะขอร้องอะไรอีก? บ้านหลังใหญ่หรือว่าผ้าไหม? หรือว่าสาวใช้อายุสิบหกกับสุราชั้นดีที่กองเต็มบ้าน?
ในรุ่งเช้าวันหนึ่ง ขุนนางสองสามคนในคณะทูตของแคว้นฉินก็เดินทางเข้าไปในวัง มาถึงหน้าท้องพระโรงที่เงียบสงัด
จิ๋งจิ่วโบกมือบอกให้ขันทีและนางกำนัลทั้งหมดออกไป
ขุนนางของแคว้นฉินเหล่านั้นคิดถึงข่าวลือเรื่องหนึ่งขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดขึ้นมาทันทีที่ต่อให้เจ้าสังหารพวกข้าจนหมดแล้วจะมีประโยชน์อะไร?
ในเวลานี้เอง ขุนนางแคว้นฉินที่ดูธรรมดาผู้หนึ่งพลันกล่าวออกมา “พวกเจ้าทั้งหมดถอยออกไปก่อน”
ขุนนางแคว้นฉินเหล่านั้นมีสีหน้าไม่สบายใจ แต่กลับไม่กล้าคัดค้านอะไร พากันถอยออกไปตามที่ขุนนางคนนั้นบอก
จิ๋งจิ่วมองดูขุนนางแคว้นฉินผู้นั้นพลางกล่าว “ข้าคิดไม่ถึงว่าคนที่มาจะเป็นเจ้า”
ขุนนางแคว้นฉินผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมา แกะเอาเครื่องพรางใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามใบหน้านั้น มองดูเขาพลางยิ้มขึ้นมา
“หากครั้งนี้ไม่มา ข้าคิดว่าอาจจะไม่ได้พบท่านอีก”
“จบแล้วสินะ”
ด้านหลังเสาพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ครั้งนี้มิใช่เสียงที่ฟังดูเกียจคร้านอีก หากแต่เป็นเสียงที่ฟังดูค่อนข้างรำคาญ
จัวหรูซุ่ยเดินออกมา มองดูจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ในเมื่อคนที่มาคือนาง อย่างนั้นก็รีบเก็บข้าวของแล้วไปกันเถอะ”
……………………………………………………….