มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 145 เดินทางลำบาก
ขุนนางของแคว้นฉินผู้นั้นเป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง รูปร่างอ้อนแอ้นอรชร สายตาเป็นประกาย ให้ความรู้สึกงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ
คำพูดเพียงประโยคเดียวของนางก็สามารถไล่ขุนนางของแคว้นฉิน โดยเฉพาะอดีตคนของชางโจวเหล่านั้นให้ออกไปจากท้องพระโรงได้ สถานะของนางในเสียนหยางย่อมต้องสูงส่งอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้จักกับถงเหยียนด้วย
นี่ก็ทำให้ทราบได้ว่านางเป็นใคร แต่แน่นอนว่านางเองก็ไม่เคยคิดปิดบังจิ๋งจิ่วว่าตนเองเป็นใครเช่นกัน ไม่อย่างนั้นนางคงไม่เสี่ยงมาที่นี่
เมื่อเห็นจัวหรูซุ่ยที่โผล่ออกมาจากด้านหลังเสา ไป๋เจ๋าเอียงหน้าเล็กน้อย ก่อนถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
จัวหรูซุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
เมื่อคิดถึงคำพูดของจัวหรูซุ่ย นางก็คาดเดาอะไรได้บางอย่าง ก่อนจะมองไปทางจิ๋งจิ่วอย่างไม่มั่นใจ พลางกล่าวว่า “ท่านกำลังรอเขาอยู่?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง”
ไป๋เจ่ารู้สึกไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “เขาเป็นฮ่องเต้แคว้นฉิน ตอนนี้แคว้นฉู่ไร้ซึ่งกำลังต่อกร แล้วไยเขาต้องเสี่ยงมาที่นี่ด้วย?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ศิษย์พี่ของเจ้าเป็นคนหยิ่งทะนง เขาน่าจะยินดีมาที่นี่เพื่อดูสภาพของข้าในตอนที่ยอมแพ้”
ไป๋เจ๋าส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “หยิ่งทะนงไม่ได้แปลว่าจะได้ใจจนลืมตัว”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “จากที่คาดการณ์เอาไว้ เขาอาจจะไม่มีทางได้ใจ แต่เขาได้ลืมตัวไปบ้างแล้ว”
คำพูดประโยคนี้มีความหมายอื่นแฝงเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด
ไป๋เจ่านิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ท่านคาดเดาได้อย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “คาดการณ์มิใช่คาดเดา”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “แต่สุดท้ายท่านก็ยังคาดการณ์ผิดพลาด”
จัวหรูซุ่ยที่อยู่ข้างๆ พยักหน้าอย่างจริงจัง
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หากเจ้าไม่มา บางทีเขาอาจจะมา แต่แน่นอนว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่แน่นอนเช่นกัน”
ไป่เจ้าคิดถึงตอนที่ตนเองถกเถียงกับศิษย์พี่อยู่ในตำหนักของเมืองเสียนหยาง จึงนิ่งเงียบไปครู่ก่อนกล่าวว่า “หากเขามา พวกท่านคิดจะทำอะไร?”
จัวหรูซุ่ยกล่าวด้วยความรู้สึกประหลาดใจ “หรือพวกข้ายังต้องเชิญเขากินข้าว? ก็ต้องตัดหัวเขาน่ะสิ”
ไป๋เจ่ามองเขาพลางกล่าวว่า “ท่านแน่ใจหรือว่าพวกท่านจะฆ่าเขาได้?”
“ข้าแข็งแกร่งมาก” จัวหรูซุ่ยกล่าว “อีกทั้งที่นี่ไม่ใช่เสียนหยาง เขาไม่มีทหารหุ้มเกราะสามพันนายมาเป็นกระดอง จะต้องตายอย่างแน่นอน”
คำพูดประโยคนี้มิได้มีการเอ่ยถึงใคร แต่เขาและไป๋เจ่าต่างทราบดี นั่นก็คือจิ๋งจิ่วเองก็แข็งแกร่งอย่างมาก
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “ตอนนี้ข้ามาแล้ว พวกท่านฆ่าข้าได้”
หากนางเป็นเพียงเจ้าหญิงตกยากของราชวงศ์ก่อน การสังหารนางย่อมไม่มีความหมายใดๆ แต่หากนางเป็นเพียงองค์หญิงตกยากจริงๆ เหตุใดขุนนางของแคว้นฉินเหล่านั้นถึงต้องเชื่อฟังนางด้วย?
จิ๋งจิ่วคิดได้นานแล้ว การเดินหมากของแคว้นฉินน่าจะเป็นแผนการของนางและถงเหยียน ในช่วงหลายปีมานี้ กลยุทธ์ในการบุกลงใต้ของแคว้นฉินน่าจะเป็นฝีมือของนางมากกว่า สถานะและประโยชน์ของนางมีความสำคัญต่อแคว้นฉินเป็นอย่างมาก ฉะนั้นการสังหารนางหรือใช้นางข่มขู่ฮ่องเต้ไป๋ก็จะกลายเป็นประโยชน์อย่างมากต่อแคว้นฉู่
เพียงแต่เขาไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ไม่ได้ลงมือ
“ตอนแรกข้าเคยบอกแล้ว ในเมื่อคนที่มาเป็นเจ้า เช่นนั้นก็จบสิ้นแล้ว”
จัวหรูซุ่ยกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ถึงแม้ข้าจะเก็บตัวอยู่บนยอดเขาเทียนกวง แต่ข้าก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเจ้า แล้วเขาจะฆ่าเจ้าได้อย่างไร?”
ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน หรือว่าผู้บำเพ็ญพรตที่เป็นเหมือนดั่งเทพธิดา เมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ก็มักจะเกิดความรู้สึกไม่ค่อยพอใจ หรือพูดอีกอย่างก็คืออับอาย
แต่ไป๋เจ่ากลับชื่นชอบ นางแอบชูนิ้วโป้งไปทางจัวหรูซุ่ย แสดงออกถึงการชมเชย
เมื่อเห็นนิ้วมือที่ดูคล้ายต้นหอมนิ้วนั้น จัวหรูซุ่ยยิ่งรู้สึกหมดคำพูด เขาหมุนตัวกลับมากล่าวกับจิ๋งจิ่วว่า “หลายปีมานี้ข้าอยู่ข้างนอกฆ่าคน ท่านคุมอำนาจอยู่ในแคว้นฉู่ เราสองคนต่างทำสิ่งที่ตนเองถนัด ไม่ว่าดูยังไงก็มีแต่ได้ไม่มีเสีย แต่ตอนนี้แคว้นของท่านกำลังจะล่มสลายแล้ว ตัวข้าเองก็ค่อยๆ แก่ลงไปเช่นกัน หลังจากนี้เราควรจะทำอย่างไร?”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ข้าเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “ตอนนี้ดูแล้วเหมือนวิธีการของท่านจะไม่ถูกต้องเสียแล้ว อย่างน้อยก็ไม่มีเวลามากพอที่จะพิสูจน์ได้ ดังนั้นข้าจำต้องทำตามแผนของตัวเองก่อนล่ะ”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็หมุนตัวเดินออกไปด้านนอกท้องพระโรง สายลมแผ่วเบาพัดโชยแขนเสื้อที่ว่างเปล่าและเส้นผมของเขา ด้านในเผยให้เห็นผมสีขาวที่แซมขึ้นมาหลายเส้น
ร่างของจัวหรูซุ่ยหายไปในแสงแดดยามเช้า ภายในท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบ
ไป๋เจ่าเดินไปอยู่ตรงหน้าจิ๋งจิ่ว มองดูดวงตาเขาพลางกล่าวถามว่า “วิธีการที่เขาพูดหมายถึงอะไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าฉลาดขนาดนี้ น่าจะเดาได้”
คนที่เข้าใจเรามากที่สุดมักจะมิใช่คนรักของเรา แล้วก็มิใช่ศัตรูทุกคนของเรา หากแต่เป็นคนที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเราได้เหล่านั้น
ในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง คนที่คาดเดาความคิดของจิ๋งจิ่วได้เป็นคนแรก อีกทั้งยังมีความสามารถขัดขวางไม่ให้เขาเดินตามแผนการที่วางเอาไว้ก็คือถงเหยียน
ในปีนั้นจิ๋งจิ่วยอมที่จะเสียชางโจวให้แก่แคว้นฉินเพื่อที่จะสังหารถงเหยียน ก็ด้วยเพราะอยากจะยื้อเวลา
เขายื้อเวลามาได้สิบปี แต่น่าเสียดายที่มันยังไม่สำเร็จ
ไป๋เจ่าเผยให้เห็นสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ นางกล่าวว่า “ท่านคิดจะบรรลุสภาวะที่นี่?”
จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไร หากแต่หมุนตัวเดินไปด้านหลังตำหนัก
ไป๋เจ่าตามอยู่ด้านหลังเขา กล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้….ต่อให้ท่านเป็นคนที่อัจฉริยะที่สุดในโลกที่ไม่ยินยอมเดินบนเส้นทางปกติ แต่กฎมันก็ต้องเป็นกฎ”
จิ๋งจิ่วยังคงไม่กล่าวกระไร เขาเดินมาถึงห้องนอน ถอดเอาที่รัดผมออก ก่อนจะนั่งลงไปบนตั่งแล้วหยิบเอากระดาษสองสามแผ่นออกมา
ผมสีดำแผ่กระจายราวน้ำตก เกิดเป็นสีสันที่ตัดกันอย่างเห็นได้ชัดกับกระดาษที่ขาวราวหิมะ
ไป๋เจ่ามองดูภาพนี้ ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงไปบนตั่งพลางกล่าวว่า “ไม่ว่าท่านจะคิดอย่างไร สุดท้ายคนชนะก็เป็นข้า”
จิ๋งจิ่วมองดวงตาของนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ก็ไม่แน่”
ไป๋เจ่ารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว แต่กลับยังฝืนจ้องมองดวงตาอย่างกล้าหาญ
เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขากับนางยังเป็นเด็กน้อยอายุสองสามขวบ ก็ได้มาเจอกันบนตั่งตัวนี้
ตอนนี้พวกเขาเติบโตแล้ว ตั่งตัวนี้ย่อมต้องเล็กลงไปมาก ต่างฝ่ายต่างอยู่ตรงหน้า ค่อนข้างใกล้ชิด
จิ๋งจิ่วเอากระดาษที่อยู่ในมือยื่นส่งให้นางพลางกล่าวว่า “เงื่อนไขของข้า”
ไป๋เจ่าไม่ได้รับเอากระดาษเหล่านั้นมา นางเพียงแต่มองใบหน้าของเขา ฝืนสะกดความขวยเขินแล้วกล่าวออกไปว่า “ล้วนฟังท่าน”
นี่มิใช่ความเมตตาที่ผู้ชนะพยายามจะโอ้อวดออกมา หากแต่เป็นเพราะนางรู้ว่าเมื่อจิ๋งจิ่วตัดสินใจยอมแพ้ เขาก็ย่อมไม่มีทางยื่นข้อเสนอที่ยากจะทำได้
นางอธิบายให้ตัวเองฟังอยู่ในใจเช่นนี้
นกชิงเหนี่ยวที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ด้านนอกหน้าต่างเหลียวหน้ามองออกไปอีกด้านหนึ่ง
ภายในโรงเก็บสินค้าที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง จัวหรูซุ่ยกำลังตัดผมของตัวเอง ตัดจนผมทั้งสั้นและยุ่งเหยิง จากนั้นก็เริ่มติดแขนเหล็กให้แก่ตัวเองอย่างระมัดระวัง
……
……
การเจรจาสงบศึกจบลงอย่างรวดเร็ว เพราะทางแคว้นฉินตกลงยอมรับเงื่อนไขส่วนใหญ่ของแคว้นฉู่ แต่ในเมื่อเป็นการยอมแพ้ เช่นนั้นเงื่อนไขก็เป็นเพียงแค่รายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น
ชื่อแคว้นย่อมต้องเปลี่ยน กองทัพย่อมต้องทำการยุบแล้วจัดตั้งขึ้นมาใหม่ เมืองหลวงของแคว้นฉู่เปลี่ยนเป็นนครหลวงทางใต้ มีกองทัพของชางโจวคอยรักษาการณ์
จิ้งอ๋องถูกแต่งตั้งให้เป็นอ๋องแห่งนครทางใต้ อาจจะเข้าไปอยู่อาศัยในวัง
ประโยชน์ที่ทางแคว้นฉู่ได้รับอย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่เรื่องภาษีและทางด้านขอบเขตอำนาจทางกฎหมาย หรือพูดอีกอย่างก็คือประโยชน์ทั้งหมดตกไปอยู่กับประชาชน
ด้วยชื่อเสียงอันโหดร้ายของฮ่องเต้ไป๋ การที่สุดท้ายสามารถเจรจาออกมาได้ผลเช่นนี้นับว่าดีมากแล้ว แต่ในตอนที่ผลการเจรจาเริ่มแพร่กระจายไปในเมืองหลวงของแคว้นฉู่และกระจายออกไปยังสถานที่ที่ไกลออกไป มันก็ยังก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างมาก เพราะสุดท้ายนี่ก็ยังถือเป็นการสูญสิ้นอาณาจักร เป็นความอับอายและความเจ็บปวดที่หลายคนยากจะยอมรับได้
จิ๋งจิ่วที่ถูกแต่งตั้งให้กลายเป็นหลินซานอ๋องได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความอัปยศ ถูกคนทั่วทั้งแผ่นดินหัวเราะเยาะ
ทุกที่ในเมืองหลวงของแคว้นฉู่เต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้และเสียงด่าทอ นักกวีทุกคนในเมืองต่างเริ่มแสดงความสามารถของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ ร่ายบทกลอนบรรยายความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียอาณาจักร และความโกรธแค้นที่มีต่อฮ่องเต้ที่ไร้ความสามารถ แต่กระทั่งพวกเขาเองก็คงรับรู้ไม่ได้ว่าเบื้องหลังบนกวีเหล่านั้นแฝงความรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกเอาไว้อยู่
……
……
หอหลิวอวิ๋นคือหอนางโลมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงของแคว้นฉู่ แม่นางเย่อวิ้นเองก็เป็นหญิงคณิกาที่มีชื่อเสียงที่สุดภายในหอเย่อวิ้น
คนที่สามารถทำให้นางอยู่ค้างคืนเป็นเพื่อนได้จะต้องเป็นคุณชายที่มีเงินมากที่สุด หรือไม่ก็มีอำนาจมากที่สุด
คืนนี้นางอยู่เป็นเพื่อนรัฐทายาทแห่งเรือนเฉิงจวิ้นอ๋อง
รัฐทายาทผู้นั้นดื่มสุราไปมากมาย ขณะที่เมามายด้วยฤทธิ์สุราก็วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมืองอยู่ครึ่งคืน ส่วนใหญ่เป็นการกล่าวโทษฮ่องเต้ที่เลอะเลือนและไร้ความสามารถ ทำเอาแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ต้องตกเป็นของคนอื่น
หากเป็นแต่ก่อน ต่อให้ฮ่องเต้จะได้ชื่อว่าปัญญาอ่อน ถูกขังอยู่ในตำหนักเย็น ไม่เคยสนใจบ้านเมือง ก็ไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์เขาเช่นนี้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้แตกต่างไปจากเดิม ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าแคว้นฉู่กำลังจะล่มสลาย ฮ่องเต้เกรงว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่กี่ปี แล้วใครยังจะสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้อยู่อีกล่ะ
ก่อนที่จะเมาจนหลับไป รัฐทายาทผู้นี้ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยถึงความสัมพันธ์ฉันเครือญาติของตระกูลตัวเองกับจิ้งอ๋อง
เมื่อนับดูแล้ว พวกอ๋องและขุนนางที่อยู่ในเมืองหลวงล้วนแต่เป็นญาติของจิ้งอ๋อง แต่เมื่อดูจากคำพูดที่ภาคภูมิใจของเขา พ่อของเขาที่เป็นเฉิงจวิ้นอ๋องนั้นคือพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันกับจิ้งอ๋อง ค่อนข้างมีความใกล้ชิดกัน กระทั่งจิ้งอ๋องทรยศไปเข้ากับแคว้นฉินแล้วก็มิได้ตัดขาดการติดต่อ เชื่อว่าในราชวงศ์ใหม่หลังจากนี้จะต้องมีตำแหน่งของเขาอยู่เป็นแน่….
แม่นางเย่อวิ้นมองดูรัฐทายาทที่กำลังนอนหลับ หลังนิ่งเงียบเป็นเวลาครู่ใหญ่ จู่ๆ ก็หยิบมีดเล่มเล็กออกมาแล้วปาดไปที่ลำคอของเขา
จากนั้นนางหยิบเอาพู่กันออกมาจุ่มไปบนโลหิตของเขา แล้วเขียนบทกลอนสั้นๆ ออกมาบทหนึ่ง
บทกลอนนั้นบรรยายถึงความเจ็บปวดที่อาณาจักรล่มสลายและความโกรธแค้นที่มีต่อขุนนางในราชสำนักและฮ่องเต้แคว้นฉู่
ในนั้นมีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งบอกว่า “ไม่มีใครสักคนที่เป็นผู้ชาย”
รัฐทายาทของจวิ้นอ๋องถูกหญิงคณิกาคนหนึ่งสังหาร ต่อให้เป็นช่วงเวลาอาณาจักรกำลังล่มสลายหรือฟ้าถล่มดินทลาย มันก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
แม่นางเย่อวิ้นถูกจับเข้าคุก ต่อให้กลอนบทนั้น โดยเฉพาะประโยคนั้นจะแพร่กระจายไปในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว นางก็หนีไม่พ้นจุดจบที่จะถูกจับแยกแขนขาเชือดเนื้อเถือหนัง
ในเวลานี้เอง ขันทีผู้หนึ่งได้เข้ามาในคุกอย่างเงียบๆ แล้วพานางออกมา
ขันทีพานางนั่งรถม้าออกมาจากเมืองหลวงในเวลาค่ำคืน เดินทางต่อเนื่องเป็นเวลาหลายคืนจนมาถึงด้านนอกค่ายตะวันตก มาสวามิภักดิ์เข้ากับกองทัพแคว้นจ้าว
รถม้าคันนั้นถูกพาเข้าไปในกระโจมบัญชาการที่อยู่ตรงกลาง
เหอจานกงกงที่คลุมเสื้อคลุมสีดำเดินมาตรงหน้ารถพลางเลิกผ้าม่านขึ้น เมื่อเห็นหญิงคณิกาที่มีใบหน้างดงาม สีหน้าขาวซีดผู้นั้น เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร
……
……
เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็ก แคว้นฉู่ล่มสลายต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่
เดิมจิ๋งจิ่วก็เป็นฮ่องเต้ปัญญาอ่อนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งตอกย้ำถึงสถานะราชาปัญญาอ่อนของเขา และฉายาที่เขาไม่มีทางสลัดหลุดได้ก็คือราชาแห่งแคว้นที่ล่มสลาย
คนแคว้นฉู่ถนัดเรื่องบทกวี เพียงพริบตาก็มีบทเพลงและบทกวีที่ด่าทอเขาปรากฏขึ้นมาเป็นจำนวนมาก บทกวีเหล่านั้นงดงามยอดเยี่ยม เร่งเร้าอารมณ์และกระแทกกระทั้นความรู้สึกเป็นที่สุด กระทั่งโรงเรียนหลวงของแคว้นฉีที่อยู่ห่างไกลก็ยังเขียนฟู่[1]ป่าวประกาศความผิดของเขาเอาไว้หลายบท เปรียบเปรยแคว้นฉู่กับแคว้นจ้าว
สิ่งที่ทำให้คนตกใจมากกว่านั้นก็คืออวิ๋นซีกลับมิได้มีแนวคิดเช่นนี้ ในทางกลับกัน เขากลับให้คำวิจารณ์ฮ่องเต้แคว้นฉู่เอาไว้ดีมาก เรียกได้ว่าเป็นการกล่าวชมเชย
คณะทูตจากแคว้นฉินได้แอบกลับไปยังเสียนหยางอย่างเงียบๆ
ผ่านไปอีกหลายสิบวัน ท่ามกลางฝนในฤดูใบไม้ร่วงที่ตกลงมา จิ้งอ๋องพากองทัพแคว้นฉินมายังเมืองหลวงของแคว้นฉู่เพื่อเตรียมรับมอบงานต่างๆ ของราชสำนักอย่างเป็นทางการ
ในเวลานี้เอง ผู้คนที่อยู่นอกเมืองพลันเห็นควันสีดำสายหนึ่งลอยขึ้นมาจากในเมือง ดูทิศทางแล้วน่าจะเป็นพระราชวัง
เบื้องหน้ามหาบัณฑิตโจวกลายเป็นสีดำ ก่อนจะเป็นลมสลบไป
จิ้งอ๋องหรี่ตา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
ถูกต้อง ในช่วงเวลาที่ฝนในฤดูใบไม้ร่วงโปรยปรายลงมาไม่หยุด ไฟที่มหาบัณฑิตเฉินและเจ้ากรมจินในอดีตจุดอย่างไรก็จุดไม่ติดกำลังโหมกระหน่ำขึ้นมาในพระราชวัง
………………………………………………………………..
[1]ฟู่ เป็นบทกวีที่ผสมผสานกันระหว่างบทกลอนและความเรียง