มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 146 ฮ่องเต้และมือสังหาร (2)
ตัวกระบี่ที่แหลมคมและอาวุธวิเศษเสียดสีกันไม่หยุด เกิดเป็นประกายไฟออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน
ภายในประกายไฟเหล่านั้นคล้ายมองเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งกระโจนออกมาราวพยัคฆ์ที่ดุร้าย
ไป๋เชียนจวินล้มนั่งลงไปบนพื้น
แผ่นเหล็กหนาๆ แผ่นหนึ่งตกลงมาจากด้านบนตำหนัก กระแทกลงกับพื้นอย่างแรง ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย เกิดเสียงดังสนั่น กลายเป็นประตูเหล็กที่ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้
ยอดฝีมือจากกองทัพฉินสิบกว่าคนมาถึงข้างกายไป๋เชียนจวิน ตั้งโล่เหล็กขึ้นมา แน่นหนากระทั่งลมก็มิอาจลอดผ่าน
แนวป้องกันอันแข็งแกร่งทั้งสองทำให้ไป๋เชียนจวินโล่งใจ สีหน้าเผยให้เห็นถึงความรู้สึกอับอาย
จู่ๆ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนขึ้นมาอีกครั้ง เพราะมือสังหารที่ควบคุมกระบี่สังหารผู้นั้นได้ไปอยู่ตรงหน้าประตูเหล็ก — ประตูเหล็กหนาสองชุ่น ต่อให้เป็นหน้าไม้ขนาดใหญ่สำหรับใช้โจมตีกำแพงเมืองก็มิอาจแทงทะลุได้ ตามหลักแล้วน่าจะไม่ต้องกังวลอะไร แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขายังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เท้าพลันก้าวถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
เสียงตู้มดังสนั่น
คล้ายว่าสายฟ้าที่เดิมควรจะอยู่บนท้องฟ้าพลันระเบิดขึ้นมาในตำหนัก แล้วก็คล้ายค้อนเหล็กสองอันที่หนักหลายหมื่นจินกระแทกเข้าใส่กันตรงๆ
ภายในตำหนักด้านข้างเกิดคลื่นอากาศปั่นป่วน ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย
ยอดฝีมือของกองทัพฉินที่ถือโล่เหล็กเหล่านั้นถูกกระแทกจนกระเด็นไปบนพื้น กระอักเลือดสดๆ ออกมา ล้มตายไปกว่าครึ่ง
ไป๋เชียนจวินที่ถูกคุ้มกันเอาไว้อย่างแน่นหนาก็ยังได้รับบาดเจ็บจากคลื่นอากาศที่กระแทกเข้ามา ร่างกายชโลมไปด้วยโลหิต ก่อนจะถูกยอดฝีมือของกองทัพฉินที่ตามเข้ามาใหม่พยุงถอยไปด้านหลัง
ยอดฝีมือของกองทัพฉินหลายสิบคนตั้งโล่เหล็กเป็นชั้นๆ อยู่ตรงหน้าเขา ธนูจำนวนนับไม่ถ้วนเล็งไปตรงตำแหน่งที่ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย
ฝุ่นควันค่อยๆ หายไป ภาพภายในตำหนักค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
ในเวลานี้ทุกคนถึงได้พบว่าประตูเหล็กบานนั้นถูกกระแทกจนเป็นรูขนาดใหญ่!
มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ในฝุ่นควัน ศีรษะก้มลง ดูไร้เรี่ยวแรง
แขนเสื้อด้านซ้ายของเขาขาดวิ่น เผยให้เห็นแขนเหล็กที่บิดเบี้ยวจนไม่เหลือเค้าเดิม ผมเผ้ายุ่งเหยิง มีผมสีขาวแซมอยู่เล็กน้อย
นั่นคือจัวหรูซุ่ย
หนึ่งกระบี่สามารถสังหารยอดฝีมือในวังแคว้นฉินได้ หนึ่งหมัดสามารถทะลวงแผ่นเหล็กและสังหารยอดฝีมือในกองทัพฉินไป สิบกว่าคน ทำให้ฮ่องเต้แคว้นฉินบาดเจ็บสาหัส ความสามารถในการต่อสู้ระดับนี้ช่างแข็งแกร่งจนน่ากลัว แต่แน่นอนว่าเขาเองได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อยเช่นกัน ตรงหน้าอกเต็มไปด้วยคราบเลือด ที่เขาดูไร้เรี่ยวแรงมิได้เป็นเพราะง่วงนอน หากแต่เป็นเพราะเหนื่อยล้า
ยอดฝีมือของแคว้นฉินรีบตามเข้ามาในตำหนัก ทำลายมุมหนึ่งของตำหนักข้างทิ้งไป โล่เหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนถูกตั้งขึ้นมา แต่กลับไม่มีใครกล้าเดินหน้าเข้าไป
ไป๋เชียนจวินถูกพยุงขึ้นมา เขามองดูจัวหรูซุ่ยโดยมีโล่เหล็กคั่นอยู่ตรงกลาง ครุ่นคิดด้วยใบหน้าที่ขาวซีด สมแล้วที่เป็นสัตว์ประหลาดแห่งชิงซาน กระทั่งในดินแดนแห่งความฝันก็ยังร้ายกาจขนาดนี้ ไม่ต้องรอถึงอายุสี่สิบก็สามารถฝึกจนบรรลุสภาวะขั้นคเนจรได้!
สภาวะขั้นคเนจรหรือจิตก็รูปขั้นต้นนั้นคือสภาวะสูงสุดในดินแดนแห่งความฝัน
“ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
เขากล่าวกับจัวหรูซุ่ยว่า “วันนี้เจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดี”
จัวหรูซุ่ยเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ จ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องพูดมาก ถ้ามีปัญญาก็มาสู้กันตัวต่อตัว”
ไป๋เชียนจวินกล่าวอย่างเย้ยหยันเล็กน้อย “นี่เป็นการชิงแผ่นดิน มิใช่การต่อสู้เพื่อวัดความกล้าหาญ การที่พยายามใช้แรงตัวคนเดียวต่อกอนกับแคว้นทั้งแคว้น นั่นต่างหากคือสิ่งที่คนโง่ทำ”
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “เจ้าเป็นตัวแทนสำนักจงโจวในการลงประลอง แต่กลับถูกศิษย์ชิงซานไล่ต้อนจนต้องหดหัวอยู่ในกระดอง หรือไม่กลัวขายหน้า?”
ไป๋เชียนจวินแค่นหัวเราะพลางกล่าวว่า “เจ้าโง่ หรือคิดว่าข้าจะโง่ไปด้วย?”
ทันทีที่พูดจบ ลูกธนูก็พุ่งออกมาราวพายุฝน
ยอดฝีมือของกองทัพแคว้นฉินจำนวนหลายร้อยคนพุ่งเข้าไปอย่างไม่หวาดกลัวต่อความตาย ปกคลุมจัวหรูซุ่ยเอาไว้ราวสายน้ำหลาก
สายน้ำดูเหมือนน่าหวาดกลัว แต่หากคิดอยากจะกลืนกินโขดหินภายในพริบตาก็ยังเป็นเรื่องที่ยากจะทำได้
จัวหรูซุ่ยเป็นเหมือนโขดหินก้อนหนึ่ง สายน้ำเมื่อกระทบถูกร่างกายของเขาก็กลายเป็นฟองอากาศสีเลือด บางครั้งเขาจะหายตัวไป แต่สุดท้ายก็จะปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง
การล้อมโจมตีที่โหดร้ายเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดนี้ดำเนินอยู่ครึ่งวันเต็ม
ทุกที่ภายในตำหนักเต็มไปด้วยซากศพและลูกธนูที่แตกหัก
ยอดฝีมือของทางแคว้นฉินตายไปร้อยกว่าคน จัวหรูซุ่ยเองก็ไม่ไหวแล้ว
“ข้าไม่ใช่ว่าไม่ไหว เพียงแค่รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย หลายวันนี้นอนไม่พอ”
จัวหรูซุ่ยนั่งอยู่บนพื้น ด้านหนึ่งก็พูดไป ด้านหนึ่งก็ส่งเสียงไอออกมา
ทุกครั้งที่ไอออกมา เลือดที่อยู่บนตัวเขาจะกระเซ็นออกมาเล็กน้อย ยิ่งทำให้เขาดูดุร้ายน่ากลัว
ไป๋เชียนจวินมองเขาพลางกล่าวเย้ยหยันว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นมือสังหารจริงๆ อย่างนั้นหรือ ต่อให้เจ้ายังจำเรื่องราวที่ด้านนอกได้ แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังหลงทางอยู่ดี”
จัวหรูซุ่ยกล่าว “ของข้ามันยังเล็กน้อย แต่เจ้านี่สิดันคิดว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้จริงๆ นี่มันก็เป็นการลิขิตแล้วว่าเจ้าจะไม่มีอนาคตใดๆ”
ไป๋เชียนจวินกล่าวเสียงต่ำว่า “สำนักชิงซานนั้นฝึกฝนแค่ตัวบุคคล แต่สำนักจงโจวของข้ากลับยินดีที่จะนำพาเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดก้าวไปข้างหน้า นี่ต่างหากถึงจะเป็นผู้นำที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นที่นี่หรือว่าโลกด้านนอก ประวัติศาสตร์ก็ล้วนแต่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอย่างไหนกันแน่ถึงจะเป็นมหามรรคาที่แท้จริง”
จัวหรูซุ่ยกล่าวว่า “ถ้าไม่เป็นเพราะคันฉ่องฟ้ากระจ่างจำกัดสภาวะเอาไว้ ข้าคงจะฆ่าเจ้าไปนานแล้ว หรือเจ้ายังคิดจะไปนำเผ่าหมิงอีก?”
ไป๋เชียนจวินยิ้มเยาะพลางกล่าว “หรือสภาวะสูงส่งแล้วจะทำอะไรก็ได้? หรือเจ้าคิดว่าเจ้าจะเป็นผู้นำผู้คนได้?”
“หากเป็นโลกด้านนอก เมื่อข้าบำเพ็ญเพียรจนถึงทะลวงสวรรค์ขั้นสูงสุด อยากฆ่าใครก็ฆ่า ในเมื่อสำนักจงโจวของพวกเจ้าเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะ ทำไมถึงไม่ไปฆ่าเจี้ยนซีไหลล่ะ?”
จัวหรูซุ่ยเดินหน้าเข้าไป ถ่มน้ำลายที่มีเลือดปะปนลงไปบนพื้นคำหนึ่ง ก่อนจะกล่าวถามอย่างเหนื่อยล้าว่า “ถามคำถามแบบนี้ออกมาได้ เจ้าปัญญาอ่อนหรือไง?”
สีหน้าไป๋เชียนจวินแปรเปลี่ยนเล็กน้อย พยายามฝืนบังคับความโกรธเอาไว้ ก่อนกล่าวถามว่า “บอกข้ามาว่าจิ๋งจิ่วอยู่ที่ไหน?”
จัวหรูซุ่ยยิ่งรู้สึกแปลกใจ กล่าวว่า “ถามคำถามนี้กับข้า หรือเจ้าจะปัญญาอ่อนจริงๆ?”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ เขาก็ฟาดฝ่ามือไปยังกลางศีรษะ ตายไปทั้งแบบนี้
จากนั้นเขาก็ลืมตาตื่นขึ้นมาตรงริมคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่อาทิตย์อัสดงพอดี แสงสีแดงจากดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าตกกระทบลงบนคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่กำลังหมุนอย่างช้าๆ สายน้ำที่กำลังไหลอยู่เหล่านั้นดูคล้ายโลหิตอย่างไรอย่างนั้น
สายตาของผู้บำเพ็ญพรตสิบกว่าคนมองมายังเขา บ้างก็เคารพยำเกรง บ้างก็อิจฉาเคียดแค้น
ในโลกใบนั้น จัวหรูซุ่ยสังหารคนไปเยอะที่สุด ฝีมือน่ากลัวที่สุด กระทั่งตอนตายก็ตายอย่างห้าวหาญที่สุด
จัวหรูซุ่ยมิได้สนใจสายตาเหล่านี้ เขามองดูสายน้ำสีเลือดและภูเขาสีแดงที่อยู่ในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง นิ่งเงียบไปครู่ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
อาจจะรู้แจ้งอะไรขึ้นมาได้ อาจจะตัดบางอย่างไม่ขาด อาจจะรู้สึกเสียใจ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้แสดงอะไรออกมา
เขาลุกขึ้นยืน เดินเท้าเอวออกไปนอกถ้ำ พร่ำบ่นไม่หยุด
“นั่งมาตั้งนานขนาดนี้ เหนื่อยจริงๆ…ทำไมถึงไม่มีใครคิดจะทำเก้าอี้ที่มันเอาหลังพิงได้นะ…เอ้อ…เหน็บกินไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย”
………………………………………………..