มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 147 พูดคุยถึงแคว้นจ้าว
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงล้วนแต่มองเห็นเหตุการณ์นองเลือดภายในวังเสียนหยางครั้งนี้ ไม่พลาดรายละเอียดใดๆ แม้แต่น้อย รวมไปถึงบทสนทนาสุดท้ายของไป๋เชียนจวินและจัวหรูซุ่ยด้วย
เมื่อเห็นซากศพที่กองเกลื่อนกลาดเต็มพื้นและจัวหรูซุ่ยที่นั่งอยู่ในนั้นโดยไร้ลมหายใจ ด้านนอกหุบเขาหุยอินเงียบสงัดไปเป็นเวลานาน
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตต่างครุ่นคิดถึงบทสนทนานั้นอย่างเงียบๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล สำนักจงโจวและสำนักชิงซานล้วนแต่เป็นผู้นำแห่งโลกบำเพ็ญพรต แต่นิสัยและวิธีการจัดการเรื่องราวกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สำนักจงโจวเน้นหนักเรื่องการเข้าสู่โลก พยายามทำให้อิทธิพลของตนเองแทรกซึมไปทั่วทุกมุมของโลกมนุษย์ผ่านทางราชสำนัก ขุนนางและกองทัพ พยายามจะนำเผ่าพันธุ์มนุษย์ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า แต่สำนักชิงซานกลับไม่สนใจเรื่องราวภายนอก จนกระทั่งในตอนที่จำเป็นต้องลงมือ ถึงจะลงมือ อย่างเช่นการที่ให้ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างออกไปฆ่าปีศาจ ขจัดมารและฆ่าคน….
ลูกศิษย์ของทั้งสองสำนักยังคงดำเนินชีวิตและจัดการเรื่องราวต่างๆ ในโลกของคันฉ่องฟ้ากระจ่างตามนิสัยความเคยชินนี้ เรียกได้ว่าในดินแดนแห่งความฝันและโลกแห่งความเป็นจริงนั้นไม่มีอะไรต่างกันนัก นี่ทำให้หลายๆ คนรับรู้ได้ถึงความหมายอันลึกซึ้ง แล้วก็ยิ่งรู้สึกใคร่รู้ว่าสุดท้ายแล้วฝั่งไหนจะเป็นผู้ชนะในงานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้และได้รับยันต์เซียนวัฒนะอันล้ำค่าแผ่นนั้นไป
จัวหรูซุ่ยออกมาจากดินแดนแห่งความฝัน จิ๋งจิ่วยังอยู่ข้างใน —- หลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้น คนที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝันต่างก็คาดเดาว่าเขาเป็นหรือตาย แต่คนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงย่อมต้องรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ — เขาซึ่งยังนั่งอยู่ข้างคันฉ่องฟ้ากระจ่างยังไม่ตื่นขึ้นมา กระดิ่งเครื่องเคลือบอันนั้นยังลอยนิ่งๆ อยู่ข้างหลังเขา
เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน นกชิงเหนี่ยวไม่พบร่องรอยเขามาเป็นเวลานานแล้ว นี่ช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก
ภายในพระราชวังแคว้นฉู่มีซากปรกหักพังเพิ่มขึ้นมาอีกหลังหนึ่ง ฮ่องเต้น้อยลงไปพระองค์หนึ่ง นกชิงเหนี่ยวย่อมไม่รั้งอยู่ในที่แห่งนี้อีก หลังจากนักฆ่าคนชุดดำตายไป แคว้นฉินก็เข้าสู่ช่วงพัฒนาอย่างมั่นคงเป็นเวลานาน เหล่าพ่อค้าของแคว้นฉีได้บุกเบิกเส้นทางเดินเรือใหม่ขึ้นมาหลายสาย ความคลั่งไคล้ที่มีต่อแผ่นดินแปลกหน้าทำให้เกิดการเคลื่อนพลลงไปในทะเลเป็นจำนวนมาก เหมือนดั่งคลื่นทะเลที่ซัดสาดออกไปเป็นวงกว้าง อีกทั้งเหล่าผู้บำเพ็ญพรตก็ไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้ เรื่องการถกเถียงโต้แย้งของเหล่าบัณฑิตในโรงเรียนหลวงของแคว้นฉีพวกเขาก็มิได้สนใจ แล้วก็มิได้รู้สึกสนใจอาจารย์อวิ๋นซีผู้นั้นด้วย ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วนกชิงเหนี่ยวจึงอยู่ที่แคว้นจ้าว
สถานการณ์ทางการเมืองของแคว้นจ้าวดูเหมือนจะราบรื่นมั่นคง แต่ความจริงแล้วกลับเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนร้อยแปดพันเก้า
ก็เหมือนอย่างที่ไป๋เชียนจวินได้คาดการณ์เอาไว้ สักวันหนึ่งฮ่องเต้น้อยของแคว้นจ้าวก็ต้องเติบโตขึ้น เรื่องราวย่อมต้องสนุกขึ้นอย่างแน่นอน
ในช่วงเวลาห้าปีที่ผ่านมา ฮ่องเต้น้อยคนนั้นได้เติบโตกลายเป็นเด็กหนุ่ม แล้วก็กำลังจะกลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัว เขาวางตัวได้อย่างยอดเยี่ยม กตัญญูและเชื่อฟังต่อไทเฮาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่านั่นเป็นการแสดงออกมาจากใจจริง มิได้เสแสร้งแกล้งทำแม้แต่น้อย อีกทั้งเขายังค่อนข้างให้ความเคารพต่อเหอกงกง ปฏิบัติตัวเหมือนผู้น้อยปฏิบัติต่อผู้อาวุโส และอาจจะเป็นเพราะเหตุผลเหล่านี้ ความเข้มงวดที่เหอกงกงและไทเฮามีต่อฮ่องเต้น้อยผู้นี้ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เขามีโอกาสที่จะได้ พบปะกับขุนนางในราชสำนักและนักกวีมากขึ้นเรื่อยๆ ดูคล้ายจะมีกองกำลังของตนเองอยู่ด้วย
ตามหลักแล้ว อย่างน้อยเหอกงกงก็น่าจะคอยระมัดระวังความเคลื่อนไหวเช่นนี้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขากลับมิได้สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เขาพาองครักษ์เสื้อแดงและลูกน้องลาดตระเวนไปตามจังหวัดและมณฑลต่างๆ เป็นเวลาหลายปี หรือพูดอีกอย่างก็คือท่องเที่ยว — กฎเกณฑ์ที่บอกว่าห้ามมิให้ขันทีออกจากเมืองหลวงมิได้มีความหมายใดๆ ต่อเขาเลย
ในขณะเดียวกับที่ออกไปท่องเที่ยว เหอกงกงก็แวะจัดการธุระบางอย่างไปด้วย
อย่างเช่นไปตรวจดูงานวิศวกรรมชลประทาน การจัดการชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน วางแนวป้องกันให้กองทัพ ลงโทษเจ้าหน้าที่ และหาเงินอย่างกำเริบเสิบสาน…
ประชาชนยังไม่ถึงกับโกรธแค้นจนทนไม่ไหว แต่การถูกวิพากษ์วิจารณ์กลับเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จนกระทั่งแม่ทัพเผยแห่งแคว้นฉู่ล้มป่วยและจากโลกไป กองทัพทหารม้าเจ็ดกองทัพของแคว้นจ้าวได้ล้อมโจมตีค่ายทหารทางตะวันตก รบเพียงครั้งเดียวก็ประสบความสำเร็จ ในเวลานี้ทั่วทั้งแผ่นดินถึงได้รู้ว่าที่แท้ในช่วงเวลาห้าปีที่ผ่านมา เหอกงกงได้เตรียมการสำหรับเรื่องนี้มาโดยตลอด!
ถูกต้อง ผู้ชนะในศึกครั้งนี้คือแคว้นฉิน
ฮ่องเต้ไป๋ได้พื้นที่ของแคว้นฉู่ไปมากกว่าครึ่ง แต่ทุ่งกว้างทางตะวันออกที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดและค่ายทหารทางตะวันตกที่มี ชัยภูมิทางการทหารสำคัญที่สุดกลับตกอยู่ในมือของแคว้นจ้าว
……
……
ในตอนที่ข่าวเพลิงไหม้พระราชวังแคว้นฉู่ถูกส่งมายังค่ายทหารตะวันตก เหอจานกำลังยืนปรึกษาหารือกับเหล่าแม่ทัพของแคว้นจ้าวอยู่ตรงหน้าแผนที่ในกระโจมบัญชาการว่าหลังจากนี้หากจะบุกขึ้นเหนือไปเสียนหยาง เส้นทางเก่าในภูเขาซีหมางจะใช้ประโยชน์ได้มากน้อยเท่าไร
หลังได้ทราบข่าวนี้ เขาก็นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะโบกมือบอกให้ทุกคนออกไป จากนั้นมายังห้องที่อยู่ด้านหลังกระโจม
“ฮ่องเต้ของพวกเจ้าตายแล้ว” เขากล่าวกับขันทีผู้นั้นและหญิงคณิกา
หญิงคณิกาผู้นั้นดูค่อนข้างสับสน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ขันทีผู้นั้นส่งเสียงร่ำไห้ออกมา เขาเป็นเด็กในครอบครัวยากจนที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ตอนที่อยู่ในวังก็ถูกรังแก หากมิเป็นเพราะในตอนนั้นส่งเสียงตะโกนออกมาในตอนที่เห็นคนคิดจะวางเพลิงเผาพระราชวังจนได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท เขาไหนเลยจะได้ใช้ชีวิตที่ดีมาเป็นเวลานานขนาดนี้
“ดูแล้วเหมือนฮ่องเต้ของพวกเจ้าจะชื่นชอบพวกเจ้ามาก ก่อนตายยังคิดหาทางรอดให้พวกเจ้าด้วยการส่งพวกเจ้ามาหาข้าที่นี่”
เหอจานมองพวกเขาพลางกล่าว “เดิมข้าอยากจะฆ่าพวกเจ้าเพื่อให้เขาผิดหวังเสียหน่อย แต่เพราะพวกเจ้านั้นคือของขวัญ และข้าก็ไม่เคยมีนิสัยปฏิเสธการรับของขวัญมาก่อน”
ทั่วทั้งแคว้นจ้าวและแคว้นฉีมีคนที่อยากจะมอบของขวัญให้แก่เหอกงกงมากมายจนยากจะนับได้ แต่คนที่กล้าฝืนบังคับให้เขารับของขวัญกลับมีจิ๋งจิ่วเพียงคนเดียว
เมื่อรับของขวัญมาแล้วมิได้หมายความว่าจะต้องใช้ สำหรับเหอจานแล้วการจะกำจัดของขวัญก็มิใช่เรื่องยากลำบากเช่นกัน
เขาคิดจะให้ลูกน้องนำหญิงคณิกาและขันทีผู้นี้ไปส่งให้แก่แคว้นฉี แล้วค่อยให้พ่อค้าแคว้นฉีส่งพวกเขาออกไปยังทะเล ให้ไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนเกาะเล็กๆ อย่างมีความสุข
สิ่งที่เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจก็คือในเมื่อสุดท้ายแล้วจิ๋งจิ่วให้ตัวเองมาจัดการเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นเหตุใดที่ผ่านมาถึงไม่เคยติดต่อตนเอง อีกทั้งเหตุใดจึงไม่ยอมแพ้ต่อแคว้นจ้าว แต่ดันไปยอมแพ้ต่อแคว้นฉิน? เจ้ากับข้าไม่สนิทกัน แต่ยอดเขาเสินม่อกับวัดกั่วเฉิงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ว่าดูยังไงก็ดีกว่าความสัมพันธ์กับสำนักจงโจวหรือเปล่า?
เหอจานกลับมายังเมืองหลวงของแคว้นจ้าวด้วยคำถามเช่นนี้
บนถนนที่ทอดยาว ขบวนรถได้รับการต้อนรับจากประชาชนที่อยู่สองฝั่งของถนนอย่างที่ไม่เคยได้เจอมาก่อน เหล่าองครักษ์เสื้อแดงที่อยู่ข้างขบวนรถต่างมีสีหน้าแปลกประหลาด ในใจครุ่นคิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?
การบุกเบิกพื้นที่ขึ้นมาใหม่นั้นเป็นความดีความชอบอย่างใหญ่หลวง ถึงแม้จะเป็นคนที่เกลียดเขาแค่ไหน ในเวลาแบบนี้ก็ทำได้เพียงอยู่อย่างเงียบๆ
เหอจานไม่มีความรู้สึกใดๆ แล้วก็มิได้สนใจ สำหรับเขาแล้ว เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีที่ดังมาจากด้านนอกหน้าต่างนั้นมิได้ต่างอะไรกับเสียงกรีดร้องของเหล่าเจ้าหน้าที่ในหน่วยสืบสวนและจับกุมเลย
เขายังคงคิดถึงเรื่องนั้นอยู่
เมื่อเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้น้อยเดินเข้ามาต้อนรับ พลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจว่า “ท่านอาลำบากแล้วขอรับ”
เหอจานพลันกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ฮ่องเต้น้อยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พยายามรักษาความสุขุมเอาไว้พลางกล่าวว่า “ท่านอาเข้าใจเรื่องใดหรือขอรับ”
เหอจานมิได้สนใจเขา หากแต่กล่าวกับตัวเองว่า “ที่แท้เป็นเพราะองค์หญิงตกยากผู้นั้น…”
ฮ่องเต้ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ แต่กลับไม่ได้ถามอะไรอีก
เหอจานรวบรวมสมาธิ เดินมายังหน้าตู้หนังสือในห้องทรงพระอักษร เลิกผ้าม่านผืนนั้นออก เผยให้เห็นแผนที่ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังใบนั้น
เขามองดูแผนที่ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกเอาพู่กันขึ้นมาทำสัญลักษณ์ไปบนตำแหน่งหนึ่งของชายแดนแคว้นจ้าว
บนแผนที่มีสัญลักษณ์แบบนี้อยู่มากมาย แต่ยังมีพื้นที่ว่างอยู่อีกมากกำลังรอคอยสัญลักษณ์เหล่านี้อยู่
“ทุกคนต่างพูดกันว่าชัยชนะในการรบกับค่ายทางตะวันตกครั้งนี้เป็นเพราะข้าวางแผนเอาไว้รอบคอบ มองการณ์ไกล แล้วก็สงบเยือกเย็น แต่ไม่มีใครรู้เลยว่านี่เป็นแผนการที่ข้าและฮ่องเต้องค์ก่อนวางเอาไว้ตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อนแล้ว”
เหอจานมองดูฮ่องเต้น้อยพลางกล่าว “ไม่ว่าจะทำเรื่องใดก็ควรจะวางแผนให้เรียบร้อยก่อนค่อนขยับ คิดให้เข้าใจก่อนค่อยทำ”
ฮ่องเต้น้อยนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ในใจครุ่นคิดว่าในเมื่อนี่เป็นผลงานของฮ่องเต้องค์ก่อน แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนข้า?
“แล้วก็ไม่รู้ว่าฮ่องเต้แคว้นฉู่วางเพลิงเผาตัวเองจริงๆ หรือว่าถูกขุนนางในราชสำนักวางแผนสอบสังหาร หรือว่าอาศัยเพลิงไหม้ครั้งนี้หลบหนีไป” เหอจานเดินมาหน้าโต๊ะ เทชาให้ตัวเองถ้วยหนึ่งแล้วดื่มไปจนหมด ก่อนจะกล่าวต่อว่า “แต่ไม่ว่าเขาจะตายจริงหรือไม่ สำหรับชาวฉู่ในตอนนี้แล้วเขาก็คือคนที่ตายไปแล้ว ไม่สามารถก่อปัญหาอะไรได้อีก”
ฮ่องเต้น้อยได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตกใจ รู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้เหมือนจะกำลังเตือนตัวเองอยู่ จึงไม่กล้านิ่งเงียบต่อไป เขากล่าวว่า “ท่านอาไว้พบกันพรุ่งนี้ขอรับ”
……
……
ผู้แสวงมรรคาเข้ามายังโลกของคันฉ่องฟ้ากระจ่างเป็นเวลาสามสิบเจ็ดวันแล้ว
ดอกไม้ไม่อาจแดงได้ร้อยวัน คนก็ไม่อาจดีได้พันวัน ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ของฮ่องเต้น้อยกับเหอกงกงก็ไม่มีทางที่จะดีไปได้ตลอด อันที่จริงแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยดีอย่างแท้จริง
ความสงบสุขของแคว้นจ้าวไม่สามารถคงอยู่ได้นานนัก เมื่อเวลาผ่านไป ฮ่องเต้ก็ใกล้จะบรรลุนิติภาวะขึ้นทุกที อีกไม่นานก็จะได้บริหารบ้านเมืองด้วยตัวเองแล้ว ย่อมต้องมีขุนนางจำนวนไม่น้อยที่พยายามแสดงความจงรักภักดีออกมาล่วงหน้า ปีกของฮ่องเต้น้อยค่อยๆ กล้าแข็ง ความมั่นใจก็ค่อยๆ มากขึ้น เขายังคงแสดงความกตัญญูต่อไทเฮาอยู่ กับเหอจานก็ยังคงให้ความเคารพ แต่สิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงก็คือความคิดบางอย่างที่เพิ่มขึ้นมา
ขุนนางบัณฑิตที่เพิ่งสอบผ่านคนหนึ่งได้ถวายฎีกาบอกว่าราชวงศ์ของเราปกครองบ้านเมืองด้วยความกตัญญู อ๋องเหอเจียนเป็นพระบิดาของฝ่าบาท ตามหลักแล้วควรได้รับการยกย่องให้เป็นฮ่องเต้ นำเอาป้ายวิญญาณไปตั้งไว้ในศาลบูรพกษัตริย์
ในงานประชุมว่าราชการช่วงเช้าเกิดเสียงวุ่นวายขึ้นมา แต่กลับไม่มีขุนนางคนไหนกล้าแสดงความคิดเห็น ฝ่าบาทยังคงนิ่งเงียบ ม่านลูกปัดที่อยู่บนพระมาลามิได้ขยับแม้แต่น้อย
ตามหลักแล้ว เรื่องนี้จะต้องก่อให้เกิดความวุ่นวายเป็นอย่างมาก ทั้งสองฝ่ายโจมตีใส่กันและกันเหมือนดั่งพายุฝนที่โหมกระหน่ำ แต่ภายในราชสำนักกลับเงียบสงบอย่างน่าประหลาด
ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ รถของเหอกงกงถูกบัณฑิตที่กล้าหาญผู้หนึ่งขวางทางเอาไว้
บัณฑิตคนนั้นมองข้ามสายตาอันเย็นยะเยือกขององครักษ์ชุดแดงและสายตาเป็นห่วงที่อยู่รอบๆ ก่อนกล่าวตะโกนเสียงดังว่า “นี่คือธรรมเนียมสำคัญของแคว้นเรา ขอกงกงโปรดชี้แจงด้วย!”
ไม่มีใครคิดว่าเหอกงกงจะตอบคำถามนี้ ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าเขาคิดอะไร
คำถามเช่นนี้ทันทีที่ตอบกลับไปก็เท่ากับเป็นการเปิดฝาที่ครอบเตาไฟเอาไว้ เปลวไฟจะลุกโชนขึ้นมาอย่างง่ายดาย
วิธีที่ดีที่สุดก็คือมองแต่ไม่เห็น ฟังแต่ไม่ได้ยิน
แต่ไม่ว่าใครต่างก็คิดไม่ถึง ทุกคนที่อยู่บนท้องฟ้าต่างได้ยินเสียงของเขา “เหอเจียนอ๋องเป็นจวิ้นอ๋อง จะมีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในศาลบูรพกษัตริย์ได้อย่างไร?
บัณฑิตผู้นั้นตกตะลึงเป็นอย่างมาก สีหน้าพลันเผยให้เห็นสีหน้ายินดี เขารีบตะโกนว่า “แต่เขาเป็นพระบิดาของฝ่าบาท!”
เสียงของเหอกงกงยังคงราบเรียบ “ฝ่าบาททรงมาเป็นบุตรบุญธรรมของฮ่องเต้พระองค์ก่อน มิได้มีความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกกับเหอเจียนอ๋องอีก”
บัณฑิตผู้นั้นยิ่งรู้สึกว่าวันนี้ตนเองจะต้องมีชื่อเสียงอย่างมากแน่นอน ใบหน้าแดงเรื่อ คล้ายดื่มสุราจนเมามาย กล่าวเสียงดังว่า “กงกงท่านมิอาจมีบุตรได้ ย่อมไม่ทราบถึงหลักธรรมความสัมพันธ์ระหว่างคน แล้วท่านมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินเรื่องนี้?”
บนถนนเงียบสงัดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ไม่ว่าใครต่างก็นึกว่าบัณฑิตผู้นี้จะต้องตายแน่นอน หรือไม่ก็ถูกจับขังเข้าคุก แล้วถูกตัดแขนตัดขา แล่เนื้อเถือหนัง
สายตาที่องครักษ์เสื้อแดงและขันทียอดฝีมือเหล่านั้นมองดูบัณฑิตคล้ายกับคนตายคนหนึ่ง
จากนั้นเรื่องที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
เหอกงกงมิได้พูดอะไรอีก สั่งให้รถเดินหน้าไปต่อ มิได้สนใจบัณฑิตผู้นั้นอีก
เมื่อเห็นองครักษ์เสื้อแดงเคลื่อนออกไป บัณฑิตผู้นั้นก็มิอาจยืนอยู่ได้อีก ขาทั้งสองข้างอ่อนแรง หากมิเป็นเพราะถูกคนที่กรูเข้ามารุมล้อมเอาไว้ เกรงว่าเขาคงล้มลงไปกับพื้นแล้ว เมื่อได้ยินเสียงชื่นชมที่ดังขึ้นมาจากรอบด้าน มองเห็นสีหน้านับถือของผู้คน บัณฑิตก็รู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องเป็นอย่างมาก เขาพยายามฝืนสงบสติอารมณ์ ประกบมือคารวะ พลางกล่าวคำพูดปลุกใจที่ทรงพลังอีกหลายประโยค
บัณฑิตวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านนอกฝูงชน มองดูภาพนี้พลางส่ายศีรษะ เดินนำกลุ่มคนสามสี่คนที่ดูเหมือนนักเรียนออกไป ในวันเดียวกันนี้พวกเขาได้ขอค้างพักแรมที่สำนักปัญญาชนแห่งหนึ่ง หลังเสร็จสิ้นการเรียนการสอน เหล่านักเรียนก็อดพูดคุยถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวันขึ้นมาใหม่ได้ ทุกคนต่างพูดว่าการเดินทางครั้งนี้นับว่าโชคไม่เลวเลย เพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงของแคว้นจ้าวก็ได้เห็นภาพแบบนี้แล้ว
จะพูดคุยก็เปลี่ยนเป็นถกเถียง สุดท้ายย่อมต้องกลายเป็นโต้เถียง เหล่านักเรียนโต้แย้งกันอย่างดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจึงได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางบัณฑิตวัยกลางคนผู้นั้น
วัยกลางคนผู้นั้นมีความอดทนเป็นเลิศ สีหน้าสุขุมเยือกเย็น เขาก็คือท่านอาจารย์อวิ๋นซีที่ได้รับความนับถือจากผู้คน
เหล่านักเรียนอยากจะรู้คำตอบของเขา และเชื่อว่าคนอื่นบนโลกเองก็อยากรู้เช่นเดียวกัน
รวมไปถึงฮ่องเต้น้อยของแคว้นจ้าวด้วย
………………………………………………………