มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 148 ปลงพระชนม์
อวิ๋นซีกล่าวว่า “ข้าสนับสนุนขันทีเหอ”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ เหล่านักเรียนที่มาจากโรงเรียนหลวงของแคว้นฉีต่างตกใจ เพราะสิ่งที่พวกเขาอยากจะถามก็คือท่านอาจารย์มีความเห็นอย่างไรต่อสถานการณ์ทางการเมืองของแคว้นจ้าว มิใช่ว่าสนับสนุนใคร
เพราะพวกเขามองว่าท่านอาจารย์ไม่มีทางจะสนับสนุนขันทีเหอได้
เหอจานควบคุมราชสำนักของแคว้นจ้าวเอาไว้ รังแกและดูหมิ่นฮ่องเต้ สิ่งสำคัญก็คือเขายังเป็นเพียงขันทีผู้หนึ่ง ชื่อเสียงไม่อาจเทียบกับฮ่องเต้ไป๋ที่ดุร้ายป่าเถื่อนได้ แล้วใครจะไปสนับสนุนเขา?
ถึงแม้จะตกใจ แต่นักเรียนเหล่านั้นก็ยังตั้งใจฟัง เพราะพวกเขาเชื่อว่าท่านอาจารย์จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
ก็เหมือนอย่างปีที่แล้ว ก่อนหน้าที่ฮ่องเต้แคว้นฉู่จะจุดไฟเผาหวังและตายเพื่ออาณาจักรก็ได้รับคำชมจากอาจารย์ ตอนนั้นมีใครบ้างที่เข้าใจได้?
“เหอเจียนอ๋องเป็นจวิ้นอ๋อง ไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปอยู่ในศาลบูรพกษัตริย์”
คำอธิบายของอวิ๋นซีเหมือนกับคำพูดของเหอจานบนถนนในวันนี้
มีนักเรียนกล่าวว่า “แต่ว่าเขาเป็นพ่อแท้ๆ ของฮ่องเต้แคว้นจ้าว”
“ความสัมพันธ์พ่อลูกยากลืมได้ นี่เป็นเรื่องปกติ ปัญหาอยู่ที่ว่าหากฮ่องเต้ยืนกรานคิดว่าเหอเจียนอ๋องต่างหากที่เป็นบิดาของตน อย่างนั้นในตอนนั้นเขาก็ไม่ควรจะเข้าวัง”
อวิ๋นซีกล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นจ้าวรัชกาลก่อนเป็นคนที่เปิดกว้างและมีเมตตา หรือเขาจะกล่าวโทษเจ้าเพราะเจ้าไม่อยากเป็นฮ่องเต้? ที่เขาเข้าวังมาก็เพราะตอนนั้นคนของเรือนเหอเจียนมิอาจปล่อยให้ตำแหน่งฮ่องเต้หลุดมือไปได้เท่านั้นแหละ”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ เหล่านักเรียนก็ครุ่นคิดอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่าเป็นจริงดั่งว่า
“ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับโจรเป็นพ่อ หรือยอมรับฮ่องเต้เป็นพ่อ ขอเพียงยอมรับแล้ว เช่นนั้นก็ต้องยอมรับ”
อวิ๋นซีดื่มชาลงไป ก่อนจะพบว่ามีนักเรียนคล้ายกำลังคิดจะเอ่ยปากพูดแย้งออกมา จึงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “แต่แน่นอน คนเราเมื่อเติบโตขึ้น มุมมองที่มีต่อสรรพสิ่งก็ล้วนแต่มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลง เจ้าจะคืนคำพูดก็ได้เช่นกัน ก็แค่สละราชบัลลังก์เท่านั้น จะกลับไปเป็นอ๋องอยู่ที่เรือนเหอเจียนก็มิได้ลำบากอะไร ปัญหาก็คือตัวเขาเองนั่นแหละก็ทำใจไม่ได้”
นักเรียนผู้นั้นทำสีหน้าเหมือนจะบอกว่าเป็นเช่นนี้นี่เอง จึงมิได้กล่าวอะไรออกมาอีก
“ตอนนั้นเรือนเหอเจียนทำใจไม่ได้ ตอนนี้เป็นตัวฮ่องเต้ที่ทำใจไม่ได้ นี่ก็ทิ้งไม่ได้ นั่นก็ตัดไม่ลง นั่นก็เพราะอยากจะได้ประโยชน์จากทั้งสองฝั่งอย่างไรล่ะ”
อวิ๋นซียิ้มพลางกล่าว “คนอย่างขันทีเหอจะปล่อยให้คนอื่นมาเอาเปรียบตนเองได้อย่างไร? พรุ่งนี้พวกเราออกเดินทาง”
ในเมื่อไม่มีทางอนุญาต แคว้นจ้าวก็จะต้องเจอกับสภาพที่อึดอัดน่าหวาดกลัวในอีกไม่ช้า บัณฑิตเป็นพวกไร้เรี่ยวแรง อยู่ให้ห่างจากเรื่องนี้หน่อยจะดีกว่า
รุ่งเช้าวันที่สอง อวิ๋นซีพาเหล่านักเรียนออกมาจากเมืองหลวงของแคว้นจ้าว เตรียมจะไปยังแคว้นฉู่เพื่อดูตำหนักที่ถูกเผาจนกลายเป็นซากปรักหักพังหลังนั้น
นอกจากสายลับของหน่วยสืบสวนและจับกุมแล้วก็มีคนเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่ายอดนักปรัญชาของโรงเรียนหลวงแห่งแคว้นฉีได้เคยเดินทางมาที่นี่ แล้วก็ยิ่งไม่มีใครทราบถึงคำวิจารณ์ที่เขาพูดออกมา
คำพูดบนถนนระหว่างเหอจานและบัณฑิตผู้นั้นแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แพร่กระจายไปยังจังหวัดที่ไกลออกไป
บัณฑิตผู้นั้นกลับมายังบ้าน หลังสงบสติอารมณ์ลงได้แล้วย่อมเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เขาเชื่อมั่นในความสามารถในการวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องการเมืองของตัวเอง คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ยิ่งจัดการให้ใหญ่โตเอิกเกริก พวกคนใหญ่คนโตในราชสำนักก็จะยิ่งระมัดระวังไม่กล้าทำอะไร
เขาร่ำสุราเลิศรสพลางคิดถึงอนาคตอันสดใสของตัวเอง ก่อนจะเมามายจนหลับไป จากนั้น…ก็ตายไปทั้งแบบนี้
หลังผ่านรุ่งเช้าไปได้ไม่นาน เพื่อนบัณฑิตสองสามคนที่ทราบข่าวเมื่อวานนี้ก็หิ้วแม่ไก่มาสองตัวเพื่อแสดงความยินดีกับเขา หลังผลักประตูเข้าไปในบ้าน ภาพที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาก็คือซากศพที่บิดเบี้ยวจนจำไม่ได้และเลือดสีแดงที่เจิ่งนองเต็มพื้น เสียงกรีดร้องและเสียงอุทานตกใจทำลายความเงียบสงบลงในทันที
หัวหน้าสายตรวจ เจ้าหน้าที่ของอำเภอและเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพรวมสิบกว่าล้อมบ้านเล็กหลังนี้เอาไว้ แต่ภาพที่อยู่ด้านในกลับถูกผู้คนเล่าต่อๆ กันออกไปอย่างรวดเร็ว ว่ากันว่าบัณฑิตผู้นั้นตายได้อย่างน่าอนาถ เห็นได้ชัดว่าถูกทรมานจนตาย บนร่างกายไม่มีผิวหนังที่อยู่ในสภาพดีแม้แต่นิดเดียว ไม่มีกระดูกท่อนไหนที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่รู้ว่าก่อนตายจะทุกข์ทรมานมากเเค่ไหน
เรื่องราวยิ่งน่าเศร้าก็ยิ่งทำให้ผู้คนโกรธแค้นได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องหลังยังมีคนคอยยุยงปลุกปั่น ไม่นานเรื่องนี้ก็ทำให้เกิด คลื่นกระเพื่อมขนาดใหญ่
บัณฑิตจากโรงเรียนหลวงและเหล่าชาวบ้านเดินทางมาล้อมหน่วยสืบสวนและจับกุมด้วยความโกรธแค้น เมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนที่กำลังคุ้มคลั่ง จวนที่ดูน่าประหวั่นพรั่นพรึงก็มิได้ดูน่ากลัวเหมือนที่ผ่านมาอีก ผู้คนที่โกรธแค้นพังประตูหน่วยสืบสวนจับกุม เข้าไป แต่กลับพบว่าด้านในว่างเปล่า ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ไม่มีเจ้าหน้าที่แล้วก็ไม่มีขันที เอกสารต่างๆ และของมีค่าถูกย้ายออกไปหมด กระทั่งโถส้วมทองคำที่อยู่ในห้องน้ำที่มีชื่อเสียงนั้นก็มิได้ตั้งอยู่ที่เดิม
เหล่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบรักษาความสงบภายในเมืองหลวงไม่กล้าออกหน้า ทหารม้าของวังหลวงก็คอยรักษาการณ์อยู่ภายนอก
ทหารที่คอยเฝ้าประตูเมืองยืนมองดูเหตุการณ์วุ่นวายอีกทางด้านนั้น ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเคลื่อนไหว
เมื่อมีน้ำขึ้นย่อมต้องมีน้ำลง ฝูงชนค่อยๆ สลายตัว เหลือทิ้งไว้เพียงหน่วยสืบสวนและจับกุมที่อยู่ในสภาพเละเทะ
ในหน่วยงานต่างๆ ภายในเมืองหลวงไม่รู้ว่ามีเจ้าหน้าที่มากน้อยเท่าไหร่กำลังพูดคุยเรื่องนี้อยู่ แล้วก็กำลังปรึกษาหารืออะไรบางอย่าง
เจ้าหน้าที่จำนวนมากต่างคิดว่าเหอกงกงจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ฉลาดเท่าไรนัก การรับมือหลังจากที่เกิดเรื่องก็ค่อนข้างอ่อนแอปวกเปียก คล้ายกับราชสีห์ที่ค่อยๆ แก่ตัวลง ไม่ได้มีความน่าหวาดกลัวอีก
เพียงแต่เหอกงกงกุมอำนาจมาเป็นเวลาหลายปี สะสมบารมีเอาไว้มากมาย ขุนนางส่วนใหญ่ยังคงไม่กล้าเคลื่อนไหว คิดอยากจะดูต่อไปก่อนว่าสถานการณ์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานเท่าไหรนัก ในคืนวันนั้นเหอจานก็มีการตอบสนองออกมา
องครักษ์เสื้อแดงควบม้าไปตามตรอกซอกซอยภายในเมืองหลวง เสียงฝีเท้าม้าที่ดังเหมือนห่าฝนทำให้ผู้คนรู้สึกใจสั่น
ขันทียอดฝีมือหลายสิบคนถือหนังสือที่เหอจานเขียนด้วยลายมือตัวเอง ผลักประตูเข้าไปในคฤหาสน์หลังแล้วหลังเล่า
ภายใต้การสั่งการของทหารหลวง แม่ทัพรวมสิบสี่คนถูกจับเข้าคุก เจ้าหน้าที่ควบคุมประตูเมืองถูกจับกุม ในนั้นมีสองคนที่ถูกฆ่าตายเพราะขัดขืน
รุ่งเช้าวันที่สอง ข้าหลวงประจำเมืองหลวงลาออก โรงเรียนหลวงถูกปิด บัณฑิตที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จำนวนเจ็ดสิบเก้าคนถูกจับกุม
ในการประชุมราชการช่วงเช้าไม่มีเงาของฮ่องเต้น้อย ด้านหลังม่านมุกไม่มีใคร เหอกงกงที่น้อยครั้งจะปรากฎตัวอยู่ในการประชุมก้าวออกมาจากในเงามืด มายืนอยู่ตรงหน้าท้องพระโรง
เขามองดูเหล่าขุนนางพลางกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เรื่องที่พวกเจ้าอยากให้ข้าตายนั้นเข้าใจได้ แต่ก่อนที่ฆ่าข้าตาย หวังว่าพวกเจ้าจะรู้หน้าที่ตัวเองเสียหน่อยนะ”
หนังสือที่ร่ำเรียนก็เป็นคัมภีร์ปราชญ์ ข้าวที่กินก็เป็นข้าวหลวง มิใช่ขุนนางทุกคนที่จะทนรับการเหยียดหยามเช่นนี้ได้ ขุนนางบางคนลุกขึ้นแล้วก้าวออกมา ต่อว่าเหอกงกงอย่างรุนแรง
ขุนนางเหล่านั้นถูกเหล่าองครักษ์หามออกไปโบยด้านนอกท้องพระโรงต่อหน้าทุกคน ผ่านไปไม่นานก็มีขุนนางคนหนึ่งถูกโบยจนตาย
ในเวลานี้เรื่องราวอยู่ในขั้นวิกฤติรุนแรง เหล่าขุนนางเดินออกมาจากท้องพระโรงด้วยความโกรธแค้น เมื่อออกมาถึงหน้าพระราชวังก็คุกเข่าลงไปกับพื้น ส่งเสียงร่ำไห้ระงม โหยหาถึงฮ่องเต้พระองค์ก่อน…..
……
……
ภายในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้น้อยมองดูเหอจานด้วยใบหน้าขาวซีด ในดวงตามีความรู้สึกหวาดกลัวและแค้นเคือง เขากล่าวเสียงเบาว่า “เรื่องนี้จะต้องถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์!”
เหอจานกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “เจ้าคิดว่าข้าสนใจ?”
ชื่อของเขาจะต้องถูกจารึกลงไปในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน มีชื่อเป็นขุนนางทรราชไปอีกหมื่นปี
ฮ่องเต้น้อยฝืนสงบสติอารมณ์ กล่าวว่า “ต่อให้ข้าจะทำอะไรไม่ถูกไปบ้าง แต่ขุนนางและบัณฑิตเหล่านั้นมิรู้เรื่องราว ขอได้โปรดเมตตา”
เหอจานกล่าวว่า “จะปล่อยพวกเขาออกมาเป็นเรื่องง่าย ขอเพียงฝ่าบาทตรัสออกมาประโยคเดียวก็พอ”
ส่วนจะให้พูดอะไร ทุกคนต่างทราบดี
ฮ่องเต้น้อยจ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าว “นั่นคือพ่อของข้าพเจ้านะ!”
เหอจานกล่าว “กระหม่อมไม่คิดเช่นนี้”
ฮ่องเต้น้อยโมโห กล่าวเสียงสั่นว่า “ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ยังเป็นฮ่องเต้ ไยท่านต้องบีบบังคับถึงเพียงนี้ด้วย?”
เหอจานมองเขาเงียบๆ มิได้กล่าวกระไร
ทว่าฮ่องเต้น้อยกลับเข้าใจความหมายของเขา ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย กัดฟันกล่าวว่า “เสด็จแม่ไม่มีทางยอมให้ข้าทำอะไร เหลวไหลแน่!”
ในเวลานี้มีขันทีกล่าวด้วยความตื่นตระหนกอยู่ด้านนอกห้องทรงอักษรว่า “กงกง ไทเฮาขอเชิญเข้าเฝ้าขอรับ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ฮ่องเต้น้อยรู้สึกโล่งใจ
เหอจานหรี่ตา มองเขาพลางกล่าว “แต่เรียกเสด็จแม่ได้คล่องปากเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกล่าวจบประโยคนั้น เขาก็หมุนตัวเดินออกจากห้องทรงอักษรไปยังตำหนักหยวนกง
ไทเฮาบริหารพระราชวังมาหลายปี ยังคงดูสง่างามละเมียดละไม แต่ท่าทีที่มีต่อเหอจานย่อมต้องแตกต่างออกไป นางกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เด็กน้อยบางครั้งก็คิดถึงผู้เป็นบิดา ถึงแม้จะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ดูไม่มีเหตุผล การเจ้าแค่ว่ากล่าวตักเตือนก็น่าจะพอแล้ว ไยต้องทำอะไรใหญ่โตถึงขนาดนี้ด้วย แล้วยังมีเรื่องบัณฑิตผู้นั้นอีก…. รุนแรงไปหน่อยหรือเปล่า”
เหอจานไม่ได้อธิบายเรื่องบัณฑิตผู้นั้น เขากล่าวว่า “ในอดีตกระหม่อมเคยกล่าวกับฝ่าบาทเอาไว้ว่าเรือนเหอเจียนนั้นเป็นพวกหมาป่าที่เลี้ยงไม่เชื่อง”
เมื่อได้ยินคำว่าฝ่าบาท สีหน้าของไทเฮาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย นางกล่าวว่า “อย่างไรเสียอายเจีย ก็คิดว่าเด็กคนนี้ไม่ผิด เจ้าอย่าได้ทำอะไรเหลวไหล”
นางจ้องมองดวงตาของเหอจาน คิดอยากจะได้การรับรองอะไรบางอย่าง
เหอจานกล่าวว่า “กระหม่อมไม่มีทางทำอะไร แต่ขุนนางที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้นมิอาจปล่อยเอาไว้ได้ ขอไทเฮาได้โปรดขับพวกเขาออกไปจากราชสำนักด้วย”
ไทเฮาโมโหขึ้นมา กล่าวว่า “ขุนนางทั้งราชสำนักมีใครยินดีเชื่อฟังเจ้า? หรือจะต้องไล่จะต้องฆ่าให้หมด?”
การสนทนาครั้งนี้จบลงแบบไม่ดีนัก เรื่องนี้เข้าสู่สภาวะหยุดชะงัก นอกเสียจากเหอจานจะกวาดล้างขุนนางในราชสำนักให้สะอาด
แต่ก็เหมือนอย่างที่ไทเฮากังวล หากไล่ฆ่าขุนนางกันหมด ใครจะบริหารอาณาจักร?
ในเวลานี่เอง อวิ๋นซีกลับมาจากแคว้นฉู่ แสดงตัวขอเข้าพบเหอกงกง
ในฐานะที่เป็นผู้นำของโรงเรียนหลวงของแคว้นฉี เขาเที่ยวเดินทางสอนหนังสือมาเป็นเวลายี่สิบปี มีชื่อเสียงและบารมีในหมู่คนที่เรียนหนังสืออย่างที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้
หลายคนต่างกำลังคิดว่าคนอย่างอาจารย์อวิ๋นซีมาขอเข้าพบขันทีเหอที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ นั่นจะต้องเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้อย่างแน่นอน
เหอจานพบอวิ๋นซีที่หน่วยสืบสวนและจับกุม ภายในจวนถูกเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้าน ดังนั้นร่องรอยการถูกทุบทำลายจึงยิ่งดูชัดเจน
เขามองอวิ๋นซี พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เจ้าคิดว่าเป็นความผิดของข้าทั้งหมด?”
อวิ๋นซีกล่าว “ส่วนแรกท่านไม่ผิด ส่วนหลังท่านไม่ถูก”
เหอจานกล่าวว่า “ที่นี่เป็นสถานที่ที่ข้าสร้างมากับมือ จะให้ถูกทำลายลงอย่างนี้นะหรือ”
อวิ๋นซีกล่าวว่า “หากกงกงไม่อยากให้ที่นี่ถูกทำลาย แล้วจะมีใครทำลายที่นี่ได้? ในเมื่อแคว้นจ้าวเป็นของกงกง ท่านก็ควรจะรักและรู้ค่าของมัน”
เหอจานถอนใจ กล่าวว่า “เจ้ามิได้กลายเป็นบัณฑิตที่รู้แต่เพียงหนังสือจริงๆ ด้วย”
อวิ๋นซีมองเขานิ่งๆ พลางกล่าวถามว่า “ท่านรู้จักข้า?”
เหอจานยิ้มเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “ได้ยินว่าเจ้าลืมเรื่องราวทั้งหมด ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
อวิ๋นซีไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก เขากล่าวด้วยสีหน้าสบายๆ ว่า “ในเมื่อข้าไม่เคยจำเรื่องเหล่านั้นได้ ก็มิอาจถือว่าลืมได้”
เหอจานกล่าวว่า “คำพูดนี้มีเหตุผล อย่างไรเสียก็ต้องขอบคุณที่เจ้ามา”
เขาขอบคุณที่อวิ๋นซีมามอบทางลงให้แก่ตนเอง ทำให้เรื่องนี้เข้าสู่ช่วงต่อไปได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับบัณฑิตจากโรงเรียนหลวงและเหล่าขุนนางที่ถูกปล่อยออกมาแล้ว พวกเขายิ่งรู้สึกขอบคุณอาจารย์อวิ๋นซี
หลังผ่านเรื่องนี้ไป ชื่อเสียงและบารมีของอาจารย์อวิ๋นซีก็ยิ่งสูงขึ้น จนคล้ายจะกลายเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ลูกหนึ่ง แน่นอนว่าเหอจานมิได้ใส่ใจ
ในขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงเช่นนี้ ในที่สุดเหอกงกงก็เผยจุดอ่อนออกมา ถึงเวลาที่กลุ่มคนที่สนับสนุนฮ่องเต้จะได้ดำเนินการต่อไป….
ฮ่องเต้น้อยองค์นั้นก็ถูกยาพิษเข้า
พิษชนิดนั้นมิได้รุนแรง มิได้เหมือนสุราแรงฤทธิ์ แล้วก็มิคล้ายมีด
ยาพิษค่อยๆ ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขาอย่างช้าๆ ไม่ได้ทำให้เกิดความเจ็บปวดอะไร เพียงแต่ทำให้อ่อนแอและมีความรู้สึกสับสนมึนงงเท่านั้น
ในเวลานี้เอง เขาถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตนเองเตรียมการมาเป็นเวลาหลายปีนั้นไม่ได้มีประโยชน์ใดๆเลย
การทำดีเหล่านั้น แผนการเหล่านั้น ขันทีและองครักษ์ที่อยู่ในมือเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งหลอกลวง
ก็เหมือนอย่างตำแหน่งฮ่องเต้ที่เขานั่งมาเป็นเวลาไม่กี่ปีนี้ ดูแล้วคล้ายความฝันสีขาวดำที่แปลกประหลาด
เรื่องที่เขาทำเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่เหอจานอนุญาตให้เขาทำ รวมไปถึงเรื่องที่เขาสังหารบัณฑิตผู้นั้นด้วย
เหอจานนั่งอยู่บนม้านั่งกลมที่อยู่ตรงหน้าตั่ง มองดูเขาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าไม่สนใจว่าวิธีการของเจ้าจะโหดร้ายเพียงใด ความคิดจะชั่วร้ายเพียงใด แล้วก็ไม่สนใจเรื่องที่เจ้าไปสังหารบัณฑิตผู้นั้นแล้วป้ายความผิดมาให้ข้า เพราะเดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าอยากจะสอนเจ้าอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่อยากจะเห็นเจ้านั่งอยู่บนบัลลังก์อีกแล้ว”
ในดวงตาของฮ่องเต้น้อยเผยให้เห็นแววตาเย้ยหยัน เขากล่าวว่า “หรือเมื่อก่อนเจ้ายินดีที่จะเห็น?”
เหอจานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าพูดถูก เพียงแต่เรื่องราวในครั้งนี้ทำให้ข้ามีคำอธิบายต่อฝ่าบาทได้”
………………………………………..