มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 149 อยากตายแบบไหน
ฝ่าบาทของเหอกงกงนั้นมีแค่เพียงพระองค์เดียว
ฮ่องเต้น้อยทราบถึงจุดนี้ดี เขาพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่นว่า “ถ้าข้าเป็นลูกจิ้งจอกที่เลี้ยงไม่เชื่อง แล้วท่านล่ะ?”
เหอจานช่วยเขาพับมุมผ้าห่มให้เรียบร้อย มิได้กล่าวกระไร
ฮ่องเต้น้อยหอบหายใจพลางกล่าวว่า “ข้าเคารพท่านมาหลายปีเหมือนดั่งอาแท้ๆ แต่….ก็ยังไม่อาจทำให้ท่านใจอ่อนได้ ท่านไม่เคยคิดที่จะให้ข้ามีชีวิตจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่…นั่นสิ…ก็เหมือนอย่างคนที่อยู่นอกวังพวกนั้นพูดกัน ท่านจะฆ่าข้า แล้วก็เปลี่ยนฮ่องเต้คนใหม่ขึ้นมา รอเขาโตขึ้นหน่อย เขาก็จะตายไปด้วยเหตุผลที่น่าประหลาด เมื่อถึงตอนนั้นท่านก็เปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่อีกคน เพราะอย่างไรซะ…อย่างไรซะ…ราชวงศ์ก็มีเด็กอยู่มากมายอยู่แล้ว”
เหอจานกล่าวว่า “การเลือกเด็กมาเป็นฮ่องเต้นั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากจะทำ”
ไม่รู้ว่าฮ่องเต้น้อยเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เขาตะโกนอย่างโกรธแค้นว่า “แต่แบบนั้นท่านก็จะได้เป็นฮ่องเต้ตลอดไป!”
เหอจานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าผิดแล้ว ที่ข้าจะฆ่าเจ้ามิได้เป็นเพราะว่าข้าอยากจะเป็นฮ่องเต้ หากแต่เป็นเพราะเจ้าไม่ยอมรับพ่อของเจ้า”
เสียงของฮ่องเต้น้อยค่อยๆ เบาลง เขากล่าวพึมพำว่า “แต่ข้าไม่ใช่ลูกของฮ่องเต้องค์ก่อน….กระทั่งหน้าเขาข้าก็ยังไม่เคยเจอ”
“เจ้าไม่ผิด แต่เขาเป็นเพื่อนของข้า เจ้าไม่ยอมเป็นลูกของเขา เขาก็จะไร้ซึ่งผู้สืบทอด”
เหอจานกล่าวว่า “ข้าก็ได้แต่ต้องเลือกฮ่องเต้ที่ยินดีเป็นลูกเขาขึ้นมาใหม่”
ฮ่องเต้น้อยพลอยหัวเราะหึหึขึ้นมา ดูคล้ายคนบ้า ก่อนกล่าวว่า “หรือเป็นเพราะท่านมีลูกไม่ได้ ท่านถึงได้สนใจเรื่องนี้ขนาดนี้?”
เหอจานตบไหล่เขา ก่อนกล่าวว่า “พักผ่อนเถอะ”
……
……
ฮ่องเต้น้อยตายแล้ว จากไปอย่างเงียบๆ ในความฝัน มิได้รับความทุกข์ทรมานใดๆ
ราชสำนักเองก็ไม่ได้มีความวุ่นวายใดๆ กระทั่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ชาวบ้านก็แทบจะไม่มี เรือนเหอเจียนท่าทีไม่ค่อยปลอดภัย จากนั้นไม่นานก็ถูกกำจัด
จนกระทั่งในเวลานี้ ขุนนางที่อยู่ในราชสำนักและคนบางคนที่อยู่ในวังถึงจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าอำนาจในการควบคุมแคว้นนี้ของเหอกงกงนั่นแข็งแกร่งเพียงใด
หลายคนคิดถึงข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับเหอกงกงขึ้นมา
เหอกงกงไม่ดื่มสุรา ไม่แสวงหาอาหารเลิศรส ไม่สนใจความฟุ้งเฟ้อ ไม่เล่นหมากล้อม ไม่ชื่นชมภูเขา ไม่ดื่มด่ำกับทะเลสาบ ไม่มีงานอดิเรกใดๆ เลย
ทุกวันเขาจะตื่นแต่เช้า เข้านอนในเวลาดึก ว่ากันว่าเขานอนอย่างมากเพียงสองชั่วยามเท่านั้น อย่างนั้นเวลาส่วนใหญ่เขาใช้ทำอะไร?
มีเพียงคนสนิทที่อยู่ในหน่วยสืบสวนและจับกุมเท่านั้นถึงจะทราบว่าเหอกงกงนั้นขยันฝึกวิชาเพียงใด ตั้งใจบริหารงานราชการเพียงใด ทุกวันอ่านหนังสือไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
เป้าหมายในการอ่านหนังสือก็เพื่อจะรีบยกระดับสภาวะของตน และเพิ่มความสามารถในการบริหารอาณาจักร
ส่วนเรื่องการวางแผนเหล่านั้นหรือพูดอีกอย่างก็คือการมองการณ์ไกลเหล่านั้นล้วนแต่จัดอยู่ในเรื่องการศึกษาคนและรับมือคน สำหรับเหอกงกงที่มีประสบการณ์โชกโชนแล้ว ไม่ถือเป็นเรื่องที่ยากลำบากอะไร
เก่าไปใหม่มา บัลลังก์ฮ่องเต้มิอาจปล่อยว่างได้ การแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่จึงเป็นเรื่องที่เร่งด่วน
คนที่มีสิทธิ์จะปรึกษาหารือในเรื่องนี้มีเพียงแค่สองคน
ภายในตำหนักหยวนกงที่เงียบสงบ
ไทเฮามองดูเหอจาน ก่อนกล่าวด้วยใบหน้าขาวซีดว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? เป็นฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ? เจ้าคิดจะชิงแผ่นดินที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทิ้งเอาไว้อย่างนั้นหรือ?”
หลังจากนางแต่งให้ฮ่องเต้ก็ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ หลายปีมานี้คอยพาฮ่องเต้น้อยร่ำเรียนหนังสืออยู่ในวัง ฟังประชุมว่าราชการภายในท้องพระโรง ย่อมต้องมีความรู้สึกผูกพันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เหอจานไม่ได้ตอบคำถามนาง หากแต่กล่าวว่า “เลือกคนที่เล็กหน่อย จะดีที่สุดถ้ายังจำความไม่ได้”
ไทเฮาตะคอกเสียงดังว่า “ไม่ว่าจะเลือกใครมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้า! ขอเจ้าอย่าได้คิดจะสอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีก!”
เหอจานกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ไยต้องระแวงกระหม่อมถึงเพียงนี้?”
ไทเฮาจ้องมองดวงตาของเขา ก่อนจะกัดฟันกล่าวด้วยความรู้สึกเคียดแค้นว่า “เจ้าฆ่าฮ่องเต้ตายไปสองคนแล้ว หรือยังคิดจะฆ่าคนที่สาม?”
เมื่อได้ฟังคำพูดประโยคนี้ เหอจานนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ก่อนกล่าวว่า “ที่แท้ในใจของพระองค์คิดว่าเขาตายด้วยน้ำมือกระหม่อมมาโดยตลอด?”
ไทเฮากล่าวว่า “หรือว่าไม่ใช่?”
เหอจานกล่าวว่า “ตอนนั้นคนชุดดำคิดจะฆ่ากระหม่อม กระหม่อมได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่ได้สติ ได้แต่ต้องมานอนรักษาตัวอยู่ในตำหนักของพระองค์ เหตุใดตอนนั้นพระองค์ถึงไม่ลงมือ?”
ไทเฮาเบือนหน้ามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ไม่ได้กล่าวอะไร
เหอจานพลันสืบเท้าไปข้างหน้า ยื่นมือออกไปจับใบหน้านางให้หันกลับมา ก่อนจะจ้องมองดวงตาของนางแล้วกล่าวว่า “พระองค์หวาดกลัวกระหม่อม?”
ไทเฮาตะคอกอย่างตกใจและโกรธแค้นว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เหอจานกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “ตอบคำถามกระหม่อม”
ไทเฮาแค่นหัวเราะกล่าวว่า “ขันทีอย่างเจ้า สังหารกษัตริย์เพื่อฮุบอำนาจ ทำให้ราชสำนักวุ่นวาย ตัวข้าอยู่ในวัง ทุกวันตื่นขึ้นมาตอนเช้าไม่รู้ว่าจะอยู่รอดถึงเย็นหรือไม่ แล้วจะไม่ให้ข้ากลัวเจ้าได้อย่างไร?”
เหอจานส่ายศีรษะ “ไม่ ที่พระองค์ทรงหวาดกลัวกระหม่อม เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงคิดจะสังหารกระหม่อม”
ร่างกายของไทเฮาสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย
เหอจานคลายนิ้วมือ มองออกไปยังพระราชวังยามค่ำคืนที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง พลางกล่าวว่า “กระหม่อมรู้ว่าพระองค์ทรงแอบดึงเอาแม่ทัพสองสามคนมาเป็นพวก กระหม่อมรู้ว่าพระองค์ทรงติดต่อกับทางเมืองเสียนหยางมาโดยตลอด กระหม่อมรู้ว่าพระองค์ทรงเตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้ที่แคว้นฉี แล้วกระหม่อมยังรู้อีกว่าในตอนนั้นที่พระองค์ทรงรักษากระหม่อมอยู่ในตำหนัก พระองค์ยังได้วางยาพิษที่มีฤทธิ์อ่อนลงในยาด้วยตัวพระองค์เอง”
สีหน้าของไทเฮาขาวซีดยิ่งกว่าเดิม
“หยดน้ำสามารถทะลุหินได้ หยดยาพิษก็สามารถฆ่าคนได้เช่นกัน แต่แบบนั้นมันช้าเกินไป อีกทั้งยังเหนื่อยด้วย”
เหอจานมองดูก้อนเมฆที่ถูกแสงดาวสาดส่องในท้องฟ้ายามค่ำคืน ก่อนจะถอนใจพลางกล่าวว่า “อยู่แบบนี้มันช่างเหนื่อยจริงๆ”
ภายในดวงตาของไทเฮาเผยให้เห็นสายตาสิ้นหวัง กล่าวว่า “ดังนั้นเจ้าจึงคิดจะให้ข้าไปตาย”
“พระองค์ทรงคิดมากไปแล้ว กระหม่อมเคยรับปากฝ่าบาทว่าจะปกป้องพระองค์ทั้งชีวิต เพียงแต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้ว”
เหอจานกล่าวว่า “แต่กระหม่อมยังอยากจะบอกพระองค์ว่าภายในยาที่กระหม่อมต้มให้ฝ่าบาทในตอนนั้น…ไม่มียาพิษอยู่”
ครั้นกล่าวประโยคนี้จบ เขาก็เดินออกไปด้านนอกตำหนัก
ไทเฮามองดูแผ่นหลังของเขา จากนั้นจู่ๆ พลันเกิดความรู้สึกสับสนอย่างมากขึ้นมา จึงตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ฝีเท้าของเหอจานหยุดชะงัก มิได้หมุนตัวกลับมา กล่าวว่า “กระหม่อมเองก็ไม่ทราบ กระหม่อมเพียงรู้สึกเหนื่อย คล้ายไม่ได้นอนหลับสนิทมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว”
ภายใต้แสงดาวที่ทอแสงลงมา ขอบของก้อนเมฆที่อยู่บนท้องฟ้าส่องประกายสีเงิน เสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่เองก็ส่องประกายสีเงินเช่นเดียวกัน
เหอจานเดินออกมาด้านนอกพระราชวังภายใต้การอารักขาของขันทียอดฝีมือหลายสิบคน รองเท้าเหยียบย่ำไปบนพื้นหินที่เย็นยะเยือก ส่งเสียงดังทึบๆ
ก็เหมือนกับอารมณ์ของเขาในเวลานี้
การมองเห็นความจริงในภาพมายาของดินแดนแห่งความฝันคือเป้าหมายในการบำเพ็ญเพียรของผู้แสวงมรรคาทุกคน
ทว่าเหอจานกลับเห็นภาพที่แตกต่างออกไป
สิ่งที่เขามองเห็นก็คือต่อให้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงมันก็ยังไม่มีความจริง
ทุกสิ่งล้วนแต่ไร้ความหมาย
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจิ๋วจิ๋วถึงไม่มอบแคว้นฉู่ให้แก่ตนเอง เหตุใดท่านป้าถึงต้องให้ตัวเองไปยังวัดกั่วเฉิง
เพราะสักวันหนึ่งเขาจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้
……
……
“ที่แท้ข้าก็เกิดมาเพื่อเป็นพระ”
บนเหลาสุราที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง เหอจานเกาะรั้วฟังเสียงลม มือถือเหยือกสุรา กล่าวพึมพำกับตนเอง
ใต้โต๊ะมีเหยือกสุรากองอยู่สิบกว่าใบ
ด้านในและด้านนอกเหลาสุรา รวมไปถึงตรอกซอกซอยที่อยู่ไม่ไกลล้วนแต่มีขันทียอดฝีมือและองครักษ์เสื้อแดงอยู่เฝ้าอยู่
ทุกคนต่างสัมผัสได้ว่าวันนี้อารมณ์ของกงกงเหมือนจะมีปัญหา มิเช่นนั้นเขาซึ่งเป็นคนที่ควบคุมตัวเองอย่างเคร่งครัดจะดื่มสุรามากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?”
อารมณ์ของเหอกงกงไม่ดี แคว้นจ้าวอาจจะมีเรื่องได้ ใต้หล้าก็จะมีปัญหาวุ่นวาย
นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกวิตกกังวล ทหารหลวงและทหารที่คุมประตูเมืองไปจนถึงทางกองทัพได้ทำการเตรียมพร้อม
ยึดพระราชวังหรือไม่ก็ยกทัพบุกแคว้นฉิน
“ไปพาคนคนนั้นเข้ามา” จู่ๆ เหอจานก็กล่าวขึ้นมา
ลูกน้องสองสามคนสบตากัน สีหน้าดูแปลกประหลาด ในใจครุ่นคิดว่าเอาแบบนี้อย่างนั้นหรือ?
ในที่สุดกงกงก็จะพบคนผู้นั้น?
คนผู้นั้นมีความสำคัญอย่างไรกันแน่?
ในหน่วยสืบสวนและจับกุมมีความลับอยู่มากมาย แล้วก็มีเรื่องแปลกประหลาดอยู่มากมาย
สิ่งที่ทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่รู้สึกไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่งที่ชื่อว่าเจียงรุ่ย
ในหน่วยสืบสวนและจับกุมมีหน่วยงานที่คอยรับผิดชอบและควบคุมคนผู้นี้โดยเฉพาะอยู่หน่วยงานหนึ่ง หน่วยงานนี้ดำเนินการมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ว่ากันว่าตั้งแต่ตอนที่ก่อตั้งหน่วยสืบสวนและจับกุมก็มีหน่วยงานนี้อยู่แล้ว แต่ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ของหน่วยสืบสวนและจับกุมจะมองอย่างไร คนผู้นั้นก็ดูธรรมดาอย่างมาก ไม่มีอะไรให้ต้องหวาดระแวงเลย เสียเงินทองและเวลาไปกับเขามากมายขนาดนี้ สู้ฆ่าทิ้งไปเลยเสียดีกว่า
ตอนนี้ผู้บำเพ็ญพรตที่ชื่อเจียงรุ่ยผู้นั้นเป็นผู้อาวุโสอยู่ในสำนักหนึ่งของจังหวัดลู่ซาน อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกล ด้วยความสามารถของหน่วยสืบสวนและจับกุมและการจับตาดูมาเป็นเวลาหลายสิบปี จึงทำให้สามารถควบคุมตัวคนผู้นี้มาได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืนพากลับมายังเมืองหลวง
ในตอนที่เจียงรุ่ยถูกคุมตัวขึ้นไปยังเหลาสุราและคุกเข่าอยู่บนพื้น เหอจานยังคงดื่มสุราอยู่ เพียงแต่เหยือกสุราที่อยู่ใต้โต๊ะได้เปลี่ยนเป็นสามสิบกว่าใบ กองสุมกันเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ
“มาแล้วหรือ?” เหอจานมองเจียงรุ่ยพลางกล่าว
น้ำเสียงของเขาเฉยชาเป็นอย่างมาก คล้ายกับเจอเพื่อนที่ได้พบหน้ากันบ่อยๆ
หลายปีมานี้ชีวิตของเจียงรุ่ยถือว่าค่อนข้างราบรื่น อาศัยพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรและความสามารถในการหาประโยชน์ทำให้เข้าไปเป็นผู้อาวุโสในสำนักหนึ่งได้สำเร็จ ในขณะที่กำลังคิดหาทางไปแสวงหาโอกาสในเมืองหลวง ผลปรากฏว่าคืนนี้จู่ๆ เจ้าสำนักก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป เหล่าลูกศิษย์ในสำนักก็กรูกันเข้ามา จากนั้นจับเขาส่งให้คนชุดดำกลุ่มหนึ่ง พาตัวมายังเมืองหลวง
ตอนที่อยู่ระหว่างทาง เขาทั้งตกตะลึงและหวาดกลัว คาดเดาถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา แต่กลับคิดหาความเชื่อมโยงใดๆ ไม่ได้ว่าเป็นยอดฝีมือคนไหนต้องการจัดการตนเอง
เมื่อได้ยินเสียงทักทายนี้ เขาก็รวบรวมความกล้าเงยศีรษะขึ้นมา ก่อนจะมองเห็นใบหน้าที่ดูแปลกหน้าไปอย่างสิ้นเชิง หลังงุนงงอยู่ครู่ เขาก็รีบกล่าวถามอย่างถ่อมตนว่า “ขอเรียนถามนามนายท่าน? ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดกับคนป่าอย่างข้าอย่างนั้นหรือ?”
สำหรับเขาแล้ว การที่ชายหนุ่มวัยกลางคนที่หน้าตาอ่อนโยนที่สวมชุดแพรผู้นี้สามารถทำให้สำนักเชื่อฟังได้ถึงขนาดนี้ เห็นทีจะต้องเป็นคนสำคัญที่อยู่ในเมืองหลวงอย่างแน่นอน แต่การที่เขาไม่ได้สังหารตนในทันที น่าจะเป็นเพราะเขาต้องการใช้งานตัวเอง อย่างเช่นให้ตนเองไปลอบสังหารศัตรูที่อยู่ในราชสำนักอะไรทำนองนั้น
“ที่แท้เจ้าลืมไปหมดแล้ว”
เหอจานยิ้มเย้ยหยันตนเอง “เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะเล่านิทานให้เจ้าฟังเรื่องหนึ่ง”
ในนิทานเรื่องนั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนในโลกแห่งความเป็นจริง ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักสองคนที่ค่อนข้างมีพรสวรรค์ได้มาพบเจอกันที่ด้านนอกหุบเขาแห่งหนึ่ง จากนั้นก็กินปลาย่างด้วยกันตัวหนึ่ง…..
หลายปีหลังจากนั้น พวกเขาเข้ามายังคันฉ่องฟ้ากระจ่างด้วยกันและเริ่มแสวงมรรคา
……
……
เจียงรุ่ยได้ลืมเรื่องราวในโลกภายนอกเหล่านั้นไปหมดแล้ว เขาฟังจนตกตะลึงพูดไม่ออก กล่าวพึมพำว่า “ท่านจะบอกว่า พวกเราไม่ใช่คนของโลกนี้อย่างนั้นหรือ?”
เหอจานกล่าว “ถูกต้อง สำหรับคนในโลกนี้แล้ว พวกเราคือเซียนที่จุติลงมา”
“ข้าคือเซียน?”
เจียงรุ่ยเกิดความรู้สึกเหลือเชื่อ เมื่อคิดถึงความทุกข์ยากและความลำบากของตนเองในโลกนี้ เขาก็ยิ่งเกิดความรู้สึกทอดถอนใจ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือความรู้สึกยินดี
เขาหอบหายใจแรงๆ อยู่หลายครั้ง จากนั้นค่อยๆ สงบลงเล็กน้อย กล่าวถามว่า “อย่างนั้นตอนนี้ท่านคือ?”
เหอจานกล่าวว่า “ข้าทำงานอยู่ในวัง แซ่เหอ เจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องข้า”
เจียงรุ่ยตกตะลึงอีกครั้ง เรียกได้ว่าตกตะลึงเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ เพราะชื่อเสียงของเหอกงกงนั้นโด่งดังเป็นอย่างมาก!
“ท่านคือเหอกงกงอย่างนั้นหรือ! เป็นไปได้อย่างไร?”
“ใช่ๆๆ ท่านบอกว่าพวกเราเป็นเซียน อย่างนั้นพวกเราก็ย่อมต้องร้ายกาจ”
“ไม่สิ ในเมื่อพวกเราเป็นพวกเดียวกัน เหตุใดก่อนหน้านี้ท่านถึงไม่มาหาข้า?”
เจียงรุ่ยยิ่งคิดยิ่งสับสน ดังนั้นจึงยิ่งพูดยิ่งสับสนด้วย
“ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวเจ้าจะค่อยๆ นึกเรื่องราวทั้งหมดออกเอง”
เหอจานโยนเหยือกเหล้าที่อยู่ในมือทิ้งไป หยิบเอาผ้าเช็ดมือสีขาวขึ้นมาเช็ดมือ ก่อนกล่าวว่า “เพียงแต่ข้าไม่มั่นใจว่าเจ้าจะยินดีคิดถึงเรื่องเหล่านั้นขึ้นมาหรือเปล่า”
……
……
แม่ที่เลี้ยงตนเองมาถูกฆ่าตาย
ถูกพวกค้ามนุษย์จับไปเร่ขาย ถูกทุบตีอย่างโหดร้ายนับครั้งไม่ถ้วน
ถูกจับตอนเป็นขันทีเข้ามาอยู่ในวัง ใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างยากลำบาก ไม่รู้ว่าต้องพบเจอความเจ็บปวดมากน้อยเท่าไหร่
เหอจานไม่เคยลืมเรื่องเหล่านั้น ดังนั้นเจียงรุ่ยก็ต้องจำให้ได้
ใช้เวลาไม่นาน เจียงรุ่ยก็นึกว่าเรื่องเหล่านั้นออก สีหน้าพลันปลี่ยนเป็นขาวซีด
คนที่หลงทางอยู่ในโลกปุถุชน ตอนที่เจ็บปวดที่สุดนั้นไม่ใช่ตอนที่ตายลงไปอย่างมิรู้เรื่องราว หากแต่เป็นตอนที่ตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงเหล่านั้น
“ที่แท้…เจ้ายังมีชีวิตอยู่…คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้ามาในวัง…ที่แท้ เจ้าก็คือเหอกงกง”
เจียงรุ่ยอยากจะอธิบายเรื่องราวในตอนนั้น ริมฝีปากขยับขึ้นมา แต่สุดท้ายกลับพูดอะไรไม่ออก
เหอจานใช้ผ้าเช็ดมือเช็ดเก้าอี้ที่ตนเองเหยียบจนสกปรก จากนั้นนั่งลงไป มองดูเจียงรุ่ยที่คุกเข่าอยู่บนพื้นพลางกล่าวถามว่า “เจ้าชอบตายแบบไหน?”
…………………………………………………………….