มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 151 ถามคำถาม (1)
เมื่อได้ยินข่าวนี้ กองทัพของแคว้นฉินต่างพากันดีอกดีใจ บนหนทางพิชิตใต้หล้า รวมหกทิศให้เป็นหนึ่ง สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องเป็นกังวลก็คือแคว้นจ้าว หรือพูดให้ถูกยิ่งกว่านั้นก็คือขันทีเหอ แต่ตอนแรกฮ่องเต้แคว้นฉินกลับมิเชื่อข่าวนี้ คิดว่าจะต้องมีอุบายอะไรซ่อนอยู่อย่างแน่นอน รากฐานของขันทีเหอหยั่งลึกในแคว้นจ้าว ฝีมือมิได้ด้อยไปกว่าตน เพิ่งจะแต่งตั้งเด็กน้อยคนหนึ่งให้เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่รุ่งเรือง จะเป็นไปได้อย่างไรที่จู่ๆ มาทิ้งทุกอย่างไปแล้วหายไปแบบนี้?
สายลับและยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนถูกส่งออกไปจากเมืองเสียนหยาง เที่ยวค้นหาข่าวคราวของขันทีเหอตามที่ต่างๆ บนโลก แต่กลับไม่พบเบาะแสใดๆ นอกจากฮ่องเต้แคว้นฉินแล้ว ยังมีกลุ่มต่างๆ อีกมากมายที่พยายามหาเบาะแสของขันทีเหอ หรือไม่ก็พยายามครอบครองมรดกทางการเมืองและการทหารที่เขาเหลือทิ้งเอาไว้บนโลก หรืออย่างน้อยก็ต้องการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาเป็นหรือตาย แต่พวกเขาเหล่านั้นก็หาได้พบเบาะแสใดๆ ไม่
ขันทีเหอจึงหายตัวไปเช่นนี้ เหมือนอย่างจิ๋งจิ่ว
ถึงแม้คนยิ่งใหญ่จะจากไป แต่พระอาทิตย์ก็ยังลอยขึ้นเหมือนอย่างปกติ เวลายังคงเดินหน้าต่อไป เพียงพริบตาก็ผ่านไปอีกหลายปี จนถึงตอนนี้การแสวงมรรคาดำเนินมาสี่สิบสองปีแล้ว
แควันจ้าวที่อยู่ภายใต้การปกครองของไทเฮาไม่ได้เกิดความวุ่นวายใดๆ แต่ก็ไม่สามารถแข็งแกร่งรุ่งเรืองเหมือนอย่างในอดีตได้เช่นกัน ความแข็งแกร่งค่อยๆ ลดลง ไม่สามารถต่อกรกับแคว้นฉินได้อีกต่อไป
ในทางกลับกัน แคว้นฉินที่กลืนกินแคว้นฉู่ยิ่งทวีความแข็งแกร่ง กองทัพม้าเหล็กไร้ซึ่งผู้ต่อกร
ในรุ่งเช้าวันหนึ่ง ดวงอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า ฮ่องเต้แคว้นฉินลุกจากเตียงเดินไปริมหน้าต่าง ได้กลิ่นเหม็นไหม้ของน้ำยาเคลือบที่ลอยมาจากด้านนอกวัง คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับศึกใหญ่หลังจากนี้ ทางแคว้นฉินได้ทำการเตรียมอาวุธและชุดเกราะมาอย่างต่อเนื่อง กลิ่นเหล่านี้และควันไฟเหล่านั้นคือสิ่งที่ต้องแลกมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ฮ่องเต้แคว้นฉินเคยชินกับกลิ่นนี้ตั้งนานแล้ว เรียกได้ว่าค่อนข้างมีความสุขเวลาที่ได้กลิ่นของมัน แต่หลายวันมานี้อาการไอของเขากลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นเงาดำที่ปกคลุมอยู่บนหัวใจของเขา
เขาเป็นยอดฝีมือในการบำเพ็ญพรต ย่อมต้องรู้ว่าตัวเองไม่ได้ป่วยเป็นอะไร แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรู้สึกไม่ค่อยสบาย
ฮองเฮายกน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวชามหนึ่งเดินเข้ามา ด้านข้างชามมีน้ำตาลลูกแพรวางอยู่สามก้อน นางกล่าวถามอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่าบาท ถ้าอย่างไรให้หม่อมฉันไปตามหมอหลวงมาดีไหมเพคะ”
คิ้วฮ่องเต้แคว้นฉินยิ่งขมวดหนักขึ้น เขามองนางอย่างหงุดหงิดพลางกล่าวว่า “ผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องอะไร ทำไมถึงพูดมากเช่นนี้?”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
ฮองเฮายืนหน้าซีดอยู่กับที่ งุนงงเล็กน้อยก่อนจะได้สติขึ้นมา จึงรีบวางถาดอาหารลงแล้วคุกเข่าส่งฮ่องเต้
นางรู้ว่าฝ่าบาทจะไปตำหนักซูกงเพื่อพบองค์หญิงองค์นั้น
ทุกครั้งที่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมา ฝ่าบาทจะเสด็จไปที่นั่น ต่อให้ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร ฝ่าบาทก็จะชอบไปนั่งเสวยชาที่นั่น ฝ่าบาทไปพบองค์หญิงองค์นั้นบ่อยกว่าพบนางเสียอีก แต่นางไม่กล้าแสดงความไม่พึงพอใจใดๆ เพราะนางรู้ว่าในพระทัยของฝ่าบาท องค์หญิงองค์นั้นมีความสำคัญมากกว่าตนเองหลายเท่านัก
……
……
ตำหนักซูกงยังคงเงียบสงบและสวยงามเหมือนที่ผ่านมา ดอกบัวที่เหี่ยวแห้งในสระน้ำมิได้ให้ความรู้สึกเสื่อมโทรม อาจเป็นเพราะในโคมไฟที่แขวนอยู่ริมทางเดินยังคงมีกลิ่นธูปเทียนของเมื่อคืนหลงเหลืออยู่
ฮ่องเต้แคว้นฉินถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออก ก่อนจะโยนไปให้นางกำนัลที่เดินเข้ามา จากนั้นนั่งลงตรงหน้าพิณ สูดหายใจลึกๆ รู้สึกอารมณ์สงบลงไปไม่น้อย
ไป๋เจ่านั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของพิณ นิ้วมือวางเรียงลงบนสายพิณ ผมสีดำถูกรวบไปไว้ข้างหลังอย่างง่ายๆ ให้ความงดงามที่เป็นธรรมชาติ เหมือนผ้าแพรสีขาวที่ห้อยอยู่บนแขน
“ขันทีเหอคงจะออกทะเลไปแล้วจริงๆ อย่างน้อยก็คงไม่กลับมาในเร็วๆ นี้ ส่วนฮ่องเต้แคว้นฉู่ต่อให้ยังมีชีวิตก็คงไม่กล้าโผล่หน้ามาเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นก็เหมือนกับที่เจ้าได้บอกเอาไว้ในตอนนั้น คนเพียงคนเดียวไม่สามารถสร้างปัญหาอะไรได้” ฮ่องเต้แคว้นฉินนยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม ก่อนกล่าวต่อว่า “ข้าอยากจะเดินหน้าต่อไปอีก”
ไป๋เจ่าเงยหน้าขึ้นมา มองเขาพลางกล่าว “วันนี้ท่านดูค่อนข้างใจร้อนนะ”
น้ำเสียงแบบนี้ทำให้ฮ่องเต้แคว้นฉินรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร เขากระแอมเล็กน้อย กล่าวว่า “เรื่องที่ควรทำ สุดท้ายก็ต้องทำ ทำให้เสร็จเร็วหน่อยมันก็ดีเหมือนกัน”
ไป๋เจ่าก้มหน้ามองดูสายพินที่อยู่ใต้นิ้ว กล่าวถามว่า “แคว้นฉีล่ะ?”
“ตอนนี้อวิ๋นซีชื่อเสียงบารมีสูงส่ง ในแคว้นฉี จ้าว อดีตแคว้นฉู่ หรือกระทั่งในเมืองเสียนหยางของข้าพเจ้าก็ยังมีสาวกของเขาอยู่ไม่น้อย แต่เขากลับเอาแต่พูดว่าไม่เอาสงคราม”
ฮ่องเต้แคว้นฉินวางถ้วยชาลง กล่าวด้วยสายตาเย็นเยือกเล็กน้อยว่า “ข้าพเจ้าจะรวมแผ่นดิน เขาและคำสอนของเขาจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากหลายอย่าง”
ไป๋เจ่าไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา นางกล่าวว่า “ท่านคิดจะทำอย่างไร? คนเช่นนี้ไม่อาจสังหารส่งเดชได้ มิเช่นนั้นประชาชนจะเทใจออกห่าง คิดอยากจะพิชิตใต้หล้ามันจะยิ่งลำบาก”
ฮ่องเต้แคว้นฉินกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยากลองดูว่าจะสามารถกล่อมเขาได้หรือไม่”
“บัณฑิตของเรือนอี้เหมายากจะถูกเกลี้ยกล่อมได้ เพราะหลักการของพวกเขามีความชัดเจนเป็นอย่างมาก”
ไป๋เจ่าลูบสายพิณอย่างแผ่วเบา กล่าว “ถึงแม้ซีอี้อวิ๋นจะลืมไปแล้วว่าตนเองเป็นใคร แต่ดูแล้วก็คงยากที่จะเกลี้ยกล่อมเขาได้”
ฮ่องเต้แคว้นฉินกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะใช้ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้บอกเขาว่าหาคิดต่อต้านกองทัพม้าเหล็กของข้าพเจ้า นั่นกลับจะทำให้ประชาชนนับหมื่นยิ่งพบเจอกับหายนะและความเจ็บปวด สู้ยอมแพ้เสียจะดีกว่า”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “หากท่านคิดจะใช้วิธีนี้มาเกลี้ยกล่อมเขา ท่านคิดว่าเขาจะยอมมาเสียนหยางหรือ?”
ผลงานการรบของฮ่องเต้แคว้นฉินนั้นยิ่งใหญ่เกรียงไกร แต่กลับไม่เคยออกมาจากพระราชวังในเมืองเสียนหยางแม้เพียงครึ่งก้าว โดยเฉพาะหลังจากที่ถูกคนชุดดำลอบสังหารครั้งนั้น
“ข้าพเจ้าจะประกาศไปทั่วแผ่นดิน รับรองความปลอดภัยของเขา หากทำเช่นนี้แล้วอวิ๋นซียังไม่กล้ามา อย่างนั้นก็ช่างเขาแล้วกัน” ฮ่องเต้แคว้นฉินกล่าว
ไป๋เจ่าเงยหน้าขึ้นมา มองดูดวงตาเขาอย่างเงียบๆ มองดูอยู่เป็นเวลานาน พลางกล่าวว่า “แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน”
……
……
ปลายฤดูใบไม้ร่วง อาจารย์อวิ๋นซีแห่งแคว้นฉีได้พาลูกศิษย์จำนวนร้อยกว่าคนเดินทางมายังเมืองเสียนหยาง
ประตูเมืองเสียนหยางเปิดออก ประชาชนจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามาห้อมล้อมดูเหตุการณ์สำคัญที่ยากจะเกิดขึ้นได้บนแผ่นดิน กระทั่งแคว้นจ้าวและอดีตแคว้นฉู่ก็ยังมีบัณฑิตเดินทางมาเป็นจำนวนไม่น้อย
อาจารย์อวิ๋นซีและเหล่าลูกศิษย์ส่วนชุดคลุมยาวแขนเสื้อกว้าง เหน็บกระบี่เล่มยาว กิริยาท่าทางดูไม่ธรรมดา ก้าวเดินไปบนถนน ไม่รู้ว่าดึงดูดสายตาเอาไว้มากน้อยเท่าไหร่
ประชาชนแคว้นฉินยืนอยู่สองข้างของถนน มองดูบัณฑิตที่ผู้คนพากันเล่าลือเหล่านี้อย่างอยากรู้อยากเห็น
มีบางคนไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่ากระบี่เล่มยาวขนาดนี้ เวลาชักออกมาก็คงจะทำได้ลำบาก แล้วเวลาต่อสู้จะมีประโยชน์อะไร?
มีคนกล่าวอธิบายว่า กระบี่ยาวของอาจารย์อวิ๋นซีและเหล่าลูกศิษย์นั้นเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่ง ใช้สำหรับแสดงตัวตนของตนเอง ไม่ได้เอาไว้ใช้ต่อสู้
เหล่าชาวบ้านที่ถามคำถามก่อนหน้านี้ต่างพากันพยักหน้า ในใจคิดว่าสมแล้วที่เป็นเหล่าอาจารย์ของโรงเรียนหลวงแห่งแคว้นฉี ช่างมีความพิถีพิถัน เพียงแต่….มันก็ยังดูเกะกะไปหน่อย
ลูกศิษย์จำนวนร้อยกว่าคนถูกเชิญเข้าไปในโรงเรียนหลวงของเมืองเสียนหยาง นั่งสนทนาอยู่กับบัณฑิตของแคว้นฉิน แล้วก็ยังมีบัณฑิตจากแคว้นจ้าวและอดีตแคว้นฉู่
การสนทนากลายเป็นการโต้เถียง ทั้งดุเดือดและยอดเยี่ยม แต่ความจริงแล้วเหล่าบัณฑิตจากแคว้นจ้าวและอดีตแคว้นฉู่เหล่านั้นกลับให้ความสนใจสถานที่อีกแห่งหนึ่งมากกว่า
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนต่างมองเข้าไปในหมู่ตำหนักสีดำ
บัณฑิตผู้มีความรู้ทั่วทั้งแผ่นดินต่างกำลังรอคอยอย่างตื่นเต้น พวกเขากำลังรอดูว่าอาจารย์อวิ๋นซีจะกล่อมให้ฮ่องเต้แคว้นฉินล้มเลิกความทะเยอทะยานที่จะรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งได้หรือไม่
หากอาจารย์อวิ๋นซีล้มเหลว ผ่านไปอีกไม่กี่ปีแผ่นดินนี้ก็จะตกอยู่ในไฟสงคราม
……
……
พระราชวังเมืองเสียนหยางและโรงเรียนหลวงแคว้นฉีคือสองหมู่ตำหนักที่มีสิ่งก่อสร้างเยอะที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า
อวิ๋นซีใช้ชีวิตและสอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนหลวงของแคว้นฉีมาเป็นเวลาหลายสิบปี เคยชินกับความยิ่งใหญ่ตระการตา แต่ในตอนที่เดินอยู่ในพระราชวังเมืองเสียนหยาง เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน
ตำหนักสีดำเหล่านั้นเป็นเหมือนกับโขดหินจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตั้งตระหง่านอย่างเงียบๆ อยู่ในทะเลอันคลุ้มคลั่ง มีความรู้สึกแข็งแกร่งอย่างที่ไม่อาจสั่นคลอนได้
อวิ๋นซีไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายได้หรือไม่ ความจริงแล้ว เขาไม่ได้มีความหวังใดๆ กับการเดินทางมาครั้งนี้เลย
เมื่อเดินเข้าไปในท้องพระโรง เขาหรี่ตาเล็กน้อยเพื่อปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของแสง มองไปยังฮ่องเต้แคว้นฉินที่นั่งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุด แล้วก็เป็นส่วนที่สูงที่สุดในท้องพระโรง
……………………………………………………..