มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 157 จะประลองกับกฎแห่งสวรรค์
หมู่เขาถึงเขียวขจีปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า แล้วก็ยังมีถนนที่ยาวเหยียดที่ต่อให้มองลงมาจากบนท้องฟ้าก็ยังสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตมองดูฮ่องเต้แคว้นฉินเดินขึ้นบันไดหินจนมาถึงวัดเล็กๆ ที่อยู่บนยอดเขา มองเห็นชายหนุ่มที่สวมชุดสีขาวดูราวกับเซียนผู้นั้น
ด้านนอกหุบเขาหุยอินมีเสียงสูดหายใจด้วยความตกใจ ผู้คนไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
คิดไม่ถึงว่าจิ๋งจิ่วจะมาหลบอยู่ในภูเขาปู้โจวที่เทวทูตอาศัยอยู่!
มิน่ากระทั่งดวงจิตของคันฉ่องฟ้ากระจ่างก็ยังหาร่องรอยของเขาไม่พบ เพียงแต่กฎอนุญาตให้เขาทำเช่นนี้ด้วยหรือ?
เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้ผู้คนพากันรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง
ยอดฝีมือของแคว้นฉินจำนวนหลายสิบคนที่ติดตามฮ่องเต้แคว้นฉินขึ้นไปบนภูเขาถูกฟันเป็นชิ้นๆ ฮ่องเต้แคว้นฉินได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กระบี่ของจิ๋งจิ่วคล้ายมิได้ชักออกมาเลย
ด้านนอกหุบเขาหุยอินมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญพรตที่แท้จริงอยู่เป็นจำนวนมาก สายตาล้วนไม่ธรรมดา พวกเขาย่อมต้องมองออกว่าจิ๋งจิ่วได้ปล่อยกระบี่ออกไปแล้ว เพียงแต่รวดเร็วเป็นอย่างมาก การเคลื่อนไหวพิสดารล้ำลึกยากคาดคะเนได้ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจิ๋งจิ่วใช้เพลงกระบี่อะไรกันแน่ ต่างพากันส่งเสียงอุทานตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าอัจฉริยะแห่งวิถีกระบี่ของชิงซาน แม้จะอยู่ในดินแดนแห่งความฝันก็ยังร้ายกาจถึงขนาดนี้
หลังจากนั้นเทวทูตปรากฏกาย หยิบเอากระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา
นั่นคือบันทึกการแสวงมรรคาที่ผ่านมาหลายสิบปี
นับตั้งแต่ที่เหล่าผู้แสวงมรรคาเข้าไปในดินแดนแห่งความฝัน ในระหว่างนั้นได้พบเจอกับเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปมากมาย จนกระทั่งฮ่องเต้แคว้นฉินเดินทางมากราบไหว้วัดแห่งนี้ และถูกจิ๋งจิ่วโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ในวัด
ด้านล่างสุดของกระดาษแผ่นนั้นเขียนชื่อเอาไว้ยี่สิบหกชื่อ นั่นคือผู้แสวงมรรคาทั้งยี่สิบหกคนที่เข้ามาในดินแดนแห่งความฝัน โดยจะทำการจัดอันดับตามระยะเวลาที่พวกเขาอยู่ในดินแดนแห่งความฝันและผลงานที่พวกเขาได้ทำ ในอันดับต้นๆ ของรายชื่อมีรายชื่อที่คุ้นตาอยู่ ถงเหยียนอันดับห้า ไป๋เจ่าอันดับสี่ ซีอี้อวิ๋นอันดับสาม เหอจานอันดับสอง ส่วนไป๋เชียนจวินย่อมต้องเป็นอันดับหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ด้านนอกหุบเขาหุยอินพากันวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะเหอจานที่พวกเขารู้สึกค่อนข้างเสียดาย หากเขามิได้ละทิ้งสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วเดินทางออกทะเลไป ด้วยความสามารถและการวางแผนที่เขาแสดงออกมาให้เห็นในดินแดนแห่งความฝัน เขาน่าจะแย่งชิงอันดับหนึ่งกับไป๋เชียนจวินได้
ที่น่าสนใจก็คืออันดับสุดท้ายในรายชื่อมิใช่ผู้แสวงมรรคาที่ออกมาจากดินแดนแห่งความฝันเป็นคนแรกสุด หากแต่เป็นผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักที่ชื่อเจียงรุ่ยผู้นั้น
เมื่อคิดถึงการกระทำอันเกลียดและจุดจบอันน่าหดหู่ในดินแดนแห่งความฝันของผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักผู้นั้น เหล่าผู้บำเพ็ญพรตพากันรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าไม่อาย
เยาซงซานที่เป็นศิษย์ของชิงซานเลิกคิ้วถามขึ้นมาว่า “คนผู้นั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”
มีคนตอบว่า “เหมือนจะออกไปแล้ว น่าจะกลัวเหอจานออกมาเล่นงานเขา”
ใต้ต้นไม้ใหญ่ หญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยผู้นั้นฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ นางมองไปทางเซ่อเซ่อแล้วกล่าวถามเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าคิดจะขังเขาเอาไว้แบบนี้จริงๆ หรือ?”
เซ่อเซ่อกล่าวว่า “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร”
เรื่องราวได้ทำไปแล้ว แต่ถ้าจะให้ยอมรับนั้นไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด
อันดับรองสุดท้ายในรายชื่อก็คือศิษย์สำนักคุนหลุนผู้นั้น
ชื่อของจิ๋งจิ่วและจัวหรูซุ่ยปรากฏอยู่ในตำแหน่งตรงกลางที่ไม่สะดุดตา
นี่ทำให้หลายๆ คนรู้สึกตกใจ เหล่าศิษย์ชิงซานพากันเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
พวกเขาคิดว่าจัวหรูซุ่ยสังหารผู้แสวงมรรคาไปเยอะที่สุด อาจารย์อาเล็กยิ่งยอดเยี่ยม ทำไมอันดับถึงอยู่ตรงนี้?
หากเป็นเวลาปกติ สำนักชิงซานจะต้องไม่ยอมรับอย่างแน่นอน เพียงแต่ในเวลานี้ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นกำลังรอแก้ไขอยู่
เทวทูตกล่าวไว้อย่างชัดเจน มีเพียงไป๋เชียนจวินเท่านั้นถึงจะได้ยันต์เซียนไป อย่างนั้นจิ๋งจิ่วควรจะทำอย่างไร หรือจะต้องรับปากเงื่อนไขของฮ่องเต้แคว้นฉินจริงๆ?
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปบนท้องฟ้า จับตามองจิ๋งจิ่วที่อยู่ในวัด คาดเดาว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร
ทุกคนมองว่าจิ๋งจิ่วควรจะยอมรับเงื่อนไขของฮ่องเต้แคว้นฉิน แม้แต่ฟางจิ่งเทียนและหนานว่างที่เป็นยอดคนแห่งชิงซานก็คิดแบบเดียวกัน
หากไป๋เชียนจวินตายภายใต้กระบี่ของจิ๋งจิ่ว งานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้ก็จะไม่มีผู้ชนะ ยันต์เซียนก็จะยังอยู่ที่เขาอวิ๋นเมิ่ง สำหรับสำนักจงโจวแล้วไม่มีอะไรเสียหาย
เมื่อคิดถึงผลประโยชน์ของชิงซานแล้ว จิ๋งจิ่วก็ควรรจะรับปากเขา
ไป๋เชียนจวินคิดถึงจุดนี้ได้ ถึงได้ยืนกรานเสียงแข็งเช่นนี้
ด้านนอกหุบเขาพลันมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมาอีกครั้ง เพราะพวกเขามองเห็นจิ๋งจิ่วถือกระบี่เดินเข้าไปตรงหน้าเทวทูต จากนั้นก็ได้ยินบทสนทนานั้น
ถงเหยียนและไป๋เจ่าเดินเข้ามาตรงด้านข้างคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ซีอี้อวิ๋นและผู้แสวงมรรคาคนอื่นก็เดินเข้ามาเช่นกัน
พวกเขามองดูจิ๋งจิ่วและไป๋เชียนจวินที่ยังคงนั่งหลับตา รอคอยผลลัพธ์ในท้ายที่สุด
กระดิ่งเครื่องเคลือบอันนั้นพลันส่งเสียงดังกังวานขึ้นมา
จิ๋งจิ่วยืนขึ้นมา!
ทุกคนครุ่นคิดอย่างตกใจ หรือว่าเรื่องราวในดินแดนแห่งความฝันจะจบลงแล้ว
แต่ดวงตาของจิ๋งจิ่วยังคงมิได้ลืมขึ้น ไอพลังก็มิได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เห็นได้ชัดว่ายังไม่ตื่นขึ้นมา
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ดวงจิตของเขายังอยู่ด้านในดินแดนแห่งความฝัน แต่เหตุใดร่างจริงถึงสามารถเคลื่อนไหวได้?
หรือเขาจะเชื่อมต่อดินแดนแห่งความฝันกับโลกแห่งความเป็นจริงได้?
เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนรวมไปถึงไป๋เจ่าและถงเหยียนต่างตกใจจนพูดอะไรไม่ออก รู้สึกเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
……
……
เจ้าจะข่มขู่อีกฝ่ายได้ก็ต่อเมื่อเจ้ามีความสามารถที่จะทำร้ายหรือว่าบดขยี้อีกฝ่าย
ทุกคนต่างคิดว่านี่เป็นเรื่องที่เหลวไหลเป็นอย่างมาก ก็เหมือนอย่างที่ฮ่องเต้แคว้นฉินกำลังครุ่นคิด
เทวทูตคือร่างจำแลงของกฎแห่งคันฉ่องฟ้ากระจ่าง เช่นนั้นจิ๋งจิ่วจะทำร้ายหรือว่าบดขยี้อีกฝ่ายได้อย่างไร?
“กฎเกณฑ์คือข้อบังคับที่โลกนี้ต้องกระทำตาม”
เสียงของเทวทูตยังคงเรียบเฉย
กฎเกณฑ์ที่จำเป็นต้องทำตามเหล่านั้นคือสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แล้วก็ยิ่งไม่สามารถถูกลบล้างได้
อย่างเช่นต้นไม้ในฤดูใบไม้ผลิจะเป็นสีเชียว ตอนฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นสีแดง จากนั้นร่วงหล่น เน่าเปื่อยกลายเป็นดิน
อย่างเช่นลำธารที่ต้องไหลลงข้างล่าง เมื่อเจอกับหน้าผาก็กลายเป็นน้ำตก จากนั้นรวมกันกลายเป็นบึงน้ำ
อย่างเช่นน้ำแข็งเกิดขึ้นมาจากน้ำ
อย่างเช่นสีเขียวเกิดขึ้นมาจากสีน้ำเงิน
เทวทูตกล่าวต่อว่า “พลังของข้าคือขีดจำกัดของโลกนี้ ซึ่งนี่ก็คือกฎ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ตอนนั้นมั่วกงสัมผัสได้ถึงขีดจำกัด ดังนั้นจึงได้พบทัณฑ์สวรรค์”
“ถูกต้อง เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ดังนั้นจึงเลือกที่จะล้มเลิกความคิด”
เทวทูตกล่าวว่า “ในโลกนี้ไม่มีพลังใดจะสามารถก้าวข้ามข้าไปได้ เพราะตัวข้าก็คือขีดจำกัดเส้นนั้น”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ดังนั้นเขาถึงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับโลกที่อยู่เหนือเส้นนั้นเลย”
“เจ้าเป็นบ้าอะไรกันแน่?”
ฮ่องเต้แคว้นฉินมิอาจทนฟังต่อไปได้อีก เขาหอบหายใจพลางกล่าวว่า “หากเขาสามารถถูกเอาชนะได้ แล้วพวกเรายังจะต้องแย่งชิงสิทธิ์ในการถามกระถางสัมฤทธิ์อย่างยากลำบากไปทำไม!”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าไม่เคยแย่ง”
ฮ่องเต้แคว้นฉินตกตะลึง คิดถึงเรื่องราวในช่วงหลายปีนี้ สีหน้าพลันขาวซีดขึ้นมา รู้สึกว่านี่มันไม่มีเหตุผลเลย
“ที่แท้เจ้าก็บ้ามาตั้งแต่แรกแล้ว…เจ้ามันบ้า!”
ผู้บำเพ็ญทุกคนที่มาอยู่ในดินแดนแห่งความฝันในคันฉ่องฟ้ากระจ่างต่างพากันขยันบำเพ็ญเพียรตั้งแต่เด็ก มิกล้าปล่อยเวลาให้เสียไปแม้แต่น้อย
เพราะพวกเขาอยากจะได้รับตำแหน่งและอำนาจสูงสุดและกลายเป็นเจ้าแห่งใต้หล้าที่แท้จริงในท้ายที่สุด เพื่อจะได้รับการยอมรับจากเทวทูต
จิ๋งจิ่วเกิดมาเป็นองค์ชายของแคว้นฉู่ จากนั้นกลายเป็นฮ่องเต้ได้อย่างราบรื่น ตามหลักแล้วจุดเริ่มต้นของเขานั้นดีกว่าผู้แสวงมรรคาคนอื่นเป็นอย่างมาก แต่ว่า…..
เขาไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ!
……
……
“ในอดีตมั่วกงอยู่ห่างจากสวรรค์เพียงนิดเดียว แตกต่างกับข้าก็เพียงนิดเดียวเช่นกัน ข้ากับสวรรค์สูงใกล้เคียงกัน ผ่านมาหลายสิบปี ข้าอยากจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วสวรรค์สูงกว่า หรือว่าข้าสูงกว่ากันแน่”
เมื่อจิ๋งจิ่วกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็ฟันกระบี่ไปทางเทวทูต
เทวทูตมิได้ขยับ สีหน้าเองก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
กระบี่ไม้ที่เบาบางสั่นสะเทือนด้วยความเร็วที่ยากจะจินตนาการได้ ส่งเสียงร้องดังหวึ่งๆ เพียงพอที่จะสะบั้นวัตถุที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ได้
แต่ว่ามันไม่สามารถสะบั้นหมอกควันที่ลอยขึ้นมาจากกระถางสัมฤทธิ์ได้
กระบี่ไม้แตกกระจายเมื่อสัมผัสถูกควัน กลายเป็นฝุ่นผง ปลิวกระจายไปตามสายลมคล้ายหมอกควัน
ภายในควัน เทวทูตมองดูจิ๋งจิ่วอย่างเงียบๆ ไม่ได้รู้สึกสงสาร และไม่ได้รู้สึกเห็นใจ
ต่อให้วิถีกระบี่จะแข็งแกร่งแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้ากฎเกณฑ์ก็ล้วนแต่ไร้ความหมาย
จิ๋งจิ่วยังคงสงบนิ่ง เขาทิ้งด้ามกระบี่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในมือ สืบเท้าก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปในควัน
ในที่สุดสีหน้าของเทวทูตก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ในม่านตาที่ไร้ความรู้สึกนั้นพลันมีแววตาที่รู้สึกเหลือเชื่อปรากฏขึ้นมา
ฉัวะๆๆ เสียวกระบี่ที่แหลมคมอย่างมากจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมาภายในวัด จากนั้นก็กระจายตัวออกไปทั่วทั้งภูเขาปู้โจวอย่างรวดเร็ว จากนั้นเข้าไปในหูของทุกคน
เสียงตู้มดังสนั่น!
วัดเล็กๆ แห่งนั้นกลายเป็นเศษซากชิ้นเล็กชิ้นน้อยแตกกระจายออกไป
ฮ่องเต้แคว้นฉินเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด ล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างเจ็บปวด สลบสไลไม่ได้สติ ไม่รู้เป็นหรือตาย
แสงอาทิตย์ส่องลงมาบนยอดเขา จิ๋งจิ๋วและเทวทูตหายไปแล้ว
……
……
น้ำตกที่อยู่บนภูเขาพลันไหลย้อนกลับ น้ำในลำธารยกตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ใบไม้สีแดงบนภูเขาค่อยๆ กลายเป็นสีเขียว
พื้นน้ำแข็งที่หนาวเหน็บพลันเดือดพล่านขึ้นมา เกิดเป็นไอน้ำจำนวนไม่ถ้วน
บนทะเลเกิดลมแรง ผิวน้ำกลับราบเรียบเหมือนกระจก
เมฆจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวอยู่ด้านบนภูเขาปู้โจว กลายเป็นก้อนเมฆสีดำ บดบังพระอาทิตย์
บนท้องฟ้าที่มืดสลัวพลันมีลำแสงกระบี่ที่ตรงดิ่งสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา
เสียงฟ้ากู่ก้องคำรามจำนวนนับไม่ถ้วน เปล่งอานุภาพอันน่าหวาดกลัว
สายฟ้าส่องสว่างท้องฟ้า ก่อนจะหายไปในทันที
ลำแสงกระบี่สายนั้นยังคงพุ่งขึ้นไป
รอบด้านของลำแสงกระบี่คล้ายมีเงาร่างจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา แต่ความจริงล้วนแต่เป็นคนคนหนึ่ง
……
……
ภายในโลกของคันฉ่องฟ้ากระจ่างมีปรากฏการณ์แปลกๆ จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา
ความเคลื่อนไหวตรงภูเขาปู้โจวได้ดึงดูดสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้
ภายในเรือนอ๋องแห่งหนึ่งที่อยู่ในจังหวัดเหอเจียน อ๋องวัยกลางคนผู้นั้นมองดูเศษหินเศษทรายที่ปลิวว่อนอยู่บนท้องฟ้า ใบหน้าขาวซีด หวาดกลัวจนถึงขีดสุด
ภายในภูเขาแห่งหนึ่งทางทิศใต้ คุณชายใหญ่ตระกูลจางที่แก่ชรามองดูดอกไม้ที่จู่ๆ ก็เบ่งบานขึ้นมาในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง จากนั้นมองดูลำแสงกระบี่ที่อยู่ในท้องฟ้าสายนั้น ทันใดนั้นเขาพลันคาดเดาอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงคุกเข่าลงไปกับพื้นอย่างเชื่องช้า โขกศีรษะไปสามครั้ง จากนั้นชูแขนทั้งสองข้างขึ้นมาพลางใช้เสียงที่แก่ชราตะโกนว่า “ฝ่าบาททรงยิ่งใหญ่เกรียงไกร! ฆ่าพวกมันเลยพะยะค่ะ!”
ในส่วนลึกของมหาสมุทร กองเรือทั้งหมดรีบแล่นกลับมายังที่จอดเรือบนเกาะ เหอจานอยู่บนทะเลเพียงคนเดียว เขารับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของกฎเกณฑ์ธรรมชาติ จึงก้มหน้ามิได้พูดอะไร
นกชิงเหนี่ยวยังคงอยู่บนกิ่งไม้ มองดูเมฆครึ้มที่เกี่ยวกระหวัดกับสายฟ้าและลำแสงกระบี่ที่ไม่ยอมเหลียวหน้ากลับมาสายนั้น ภายในใจรู้สึกเป็นกังวล มันกังวลว่าจิ๋งจิ่วจะทำสำเร็จหรือไม่ แล้วก็…ทุกคนต่างเห็นกันหมดแล้ว หลังจากนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดความยุ่งยากมากน้อยเท่าไร
……
……
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร
ดูเหมือนยาวนาน
แต่ความจริงแล้วสั้นนัก
ท้องฟ้าพลันสว่างสดใส กลายเป็นสีน้ำเงิน เหมือนมหาสมุทรที่อยู่ห่างออกไป
เสียงฟ้าคำรามและสายฟ้าไม่มีอยู่แล้ว ลำแสงกระบี่สายนั้นก็หายไปเช่นเดียวกัน
วัดเล็กกลายเป็นเศษซาก กระถางสัมฤทธิ์ตั้งนิ่งๆ อยู่ที่เดิม มีควันลอยออกมา
ภายในควัน ร่างกายของเทวทูตค่อยๆ ปรากฏออกมา ดูจางลงกว่าก่อนหน้านี้
จิ๋งจิ่วกลับมายังยอดเขาพร้อมกับสายลมเย็นสบาย
สายลมพัดผ่าน ควันค่อยๆ สลายไป ร่างกายของเทวทูตเองก็สลายตามไปด้วย กลายเป็นจุดแสงเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
สีหน้าของจิ๋งจิ่วค่อนข้างเหนื่อยล้า เขายืนกับที่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปตรงหน้ากระถางสัมฤทธิ์
กระถางสัมฤทธิ์คล้ายกลับคืนสู่สภาพเดิม แต่ว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมา ลวดลายบนกระถางเหล่านั้นคล้ายมีแสงส่องสว่างออกมา แล้วก็มีพลังเซียนไหลทะลักออกมาด้วย หรือยันต์เซียนจะอยู่ในกระถาง?
………………………………………………………………………